“คุณป้าเม่า” เล่าเรื่องหุ้น...ตอนที่ 6 ดอยหุ้น IPO ตัวแรกกว่า 80% จากทุน 6.5 แสนบาท

นักลงทุนรายย่อยหรือเม่าอย่างเรา ๆ คงจะต้องรู้จักหรือหลายคนคงเคยรวยและเคยเจ๊ง
จากหุ้น IPO (Initial Public Offering) กันมาบ้างไม่มากก็น้อยแหละนะป้าฯ ว่า

รู้ป่าว? ก่อนจะมาเป็นหุ้น IPO บริษัทที่เตรียมแต่งตัวเข้าตลาดหุ้นจะต้องมีทีมผู้สอบบัญชี
ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน ว่าจะออกหุ้นเพื่อขายครั้งแรกที่ราคาเท่าไร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เมื่อประเมินราคาได้แล้วบริษัทก็จะนำหุ้นออกเสนอขายในตลาดแรก (Primary Market)
ให้แก่บุคคลในวงจำกัด หรือ Private Placement (PP) และประชาชนทั่วไปในวงกว้างก่อน
แล้วยื่นขอ Filing กับ ก.ล.ต. เพื่อนำไปจดทะเบียนเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หรือที่เรียกว่าตลาดรอง (Secondary Market) เพื่อให้เหล่านักลงทุนเช่นเราซื้อขายผ่านโบรกเกอร์
โดยเราสามารถซื้อขายกันในพอร์ตหุ้นได้เลยโดยไม่ต้องไปเข้าคิวจองซื้อ
หรือรอรับโควต้าการซื้อหุ้น IPO จากโบรกเกอร์ให้เสียเวลา

ถ้ายังมึน ๆ กันอยู่และนึกภาพยังไม่ออก ป้าฯ ขอคั่นรายการด้วยการยกตัวอย่าง
หุ้นที่เคยเป็นข่าวใหญ่ตามหน้าหนังสือพิมพ์และจอทีวีเมื่อเดือนเมษายน 2557
ว่ามีประชาชนล้นหลาม แห่ต่อคิวจองซื้อหุ้นอิชิตัน (ICHI) นั่นแหละ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ซึ่งตอนนั้นอิชิตันเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป
หรือขายหุ้น IPO ที่ราคาหุ้นละ 13 บาท และอีก 2-3 สัปดาห์ต่อมา
หุ้น ICHI ก็ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ราคาเปิด 16.50 บาท

พอนักลงทุนมีความคาดหวังกับผลประกอบการของหุ้นตัวนี้เป็นอย่างมาก
ก็มีการเข้ามาเก็งกำไรอย่างท่วมท้นจนทำให้ราคาหุ้นตัวนี้เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุด
ที่ราคา 29.75 บาทเมื่อเดือนสิงหาคม 2557 หลังจากเข้ามาซื้อขายได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น

จากนั้นราคาหุ้น ICHI ก็ถูกเทขายทิ้งดิ่งลงอย่างต่อเนื่องจนทำ All Time Low
ที่ 4.26 บาทในเดือนกรกฎาคม 2561เนื่องจากจากมีรายได้ที่ลดฮวบติดต่อกันตลอดตั้งแต่เข้าตลาดฯ

“เหล่าเอี๊ยป๋อห่อ” (คุกเข่ากราบเจ้าที่งาม ๆ 3 ครั้ง)
โชคดีที่ป้าฯ เป็นคนไม่ชอบเกาะกระแส ทำตัว In Trend อดตาหลับขับตานอน
ไปแห่เข้าคิวจองซื้อหุ้น IPO ที่บริษัทฯ กับเขาด้วย มิเช่นนั้นก็คงเจ็บตัวเหมือนกัน

ป้าฯ เรียนมาว่าหุ้น IPO ที่เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหุ้นจะถูกเรียกเป็นหุ้น IPO แค่วันเดียว
โดยคุณสมบัติพิเศษของหุ้น IPO ที่ซื้อขายวันแรกคือราคาสามารถถูกกระชากขึ้นไป
ได้ถึง 200% ของราคา IPO หรือราคาจองซื้อและสามารถถูกตบไปกองเลือดสาดกับพื้น
ให้เหลือ 0.01 บาทได้เฉพาะในวันแรกเท่านั้น

ในขณะที่การซื้อขายในวันที่ 2 และวันต่อ ๆ ไปราคาขึ้นลงจะเป็นไปตามเกณฑ์
ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ราคาจะสามารถขึ้นสูงสุด (Ceiling) ได้ไม่เกิน 30%
และราคาจะถูกเทขายทิ้งต่ำสุด (Floor) ได้ไม่ต่ำกว่า 30% ของราคาปิดวันก่อนหน้า

นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักลงทุนสายซิ่งชอบเล่นหุ้น IPO เพราะอยากรวยเร็ว
ซึ่งหากโชคดีมีโอกาสที่จะรวยได้ถึง 200% ภายในชั่วข้ามวันได้ง่าย ๆ

แต่ถ้าโชคร้ายดวงตกมรณะเงินก็จะหายวับไปกับตา มีร้อยหายร้อย มีล้านหายล้าน
หรือเงินทั้งก้อนลอยหายไปในอากาศเหลือไม่กี่สตางค์ภายในวันเดียวได้เช่นกัน

แล้ววันหนึ่งป้าฯ ก็ฝันอยากจะรวยเร็วเหมือนที่เคยอ่านเจอว่าคนโน้นคนนี้
ได้กำไรและร่ำรวยจากหุ้น IPO จนกลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนเหมือนคนอื่นบ้าง

วันเกิดเหตุในปีที่ 2 นับจากวันที่ป้าฯ เข้าสู่วงการตลาดหุ้น
ได้มีหุ้น IPO ตัวหนึ่งเข้ามาในตลาดฯ ชื่อของหุ้นมันช่างเตะตาโดนใจป้าฯ ยิ่งนัก
ซึ่งก็คือ “อั่งเปา แอสเสท” และชื่อย่อที่ใช้ในการซื้อขายคือ “PAO”
เป็นไงล่ะ? ชื่อเป็นมงคลจริง ๆ อย่างที่ป้าฯ โม้เอาไว้ชิมิ?
แถมชื่อยังไปคล้องกับท่านเปาฯ (เปาบุ้นจิ้น) ที่ป้าฯ ชื่นชอบซะด้วย ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บมจ.อั่งเป่า แอสเสท(PAO) เดิมชื่อ บมจ.ไทยเกรียง กรุ๊ป (TDT)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ป้าฯ เชื่อว่าการมีชื่อดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ชื่อที่ดีจะเป็นศรีแก่พอร์ตซึ่งจะช่วย
นำพาความเป็นศิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ป้าฯ ได้อย่างแน่นอน

คิดได้ดังนั้นแล้วป้าฯ ก็ไม่รอช้า ไม่ได้อ่านงบการเงินหรือศึกษาปัจจัยพื้นฐานใด ๆ ทั้งสิ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ใช้แค่หลักวิชาสิงห์ปืนไวกระโจนเข้าไปร่วมตะลุมบอนกับกลุ่มสหายเม่าอยากรวยทั้งหลาย
ในช่วง ATO (At The Open 1) หรือช่วงตลาดสุ่มเปิดในตอนเช้าในวันซื้อขายวันแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอตลาดเปิดปุ๊บป้าฯ ก็ได้หุ้นจำนวน 95,000 หุ้นที่ราคา 1.15 บาทเข้าพอร์ตหุ้นปั๊บทันที
แล้วหัวใจของป้าฯ ก็พองโตแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นราคาหุ้นวิ่งต่อไปทำ High ที่ 1.25 บาท
เฮ้ยยย  “ตรูกำลังจะรวยจริง ๆ แล้วหรือนี่?”
ป้าฯ แอบร้องตะโกนก้องอย่างตื่นเต้นในใจคนเดียว

ป้าฯ ฝันหวานถึงราคาที่กำลังจะวิ่งขึ้นต่อไปถึงจุดสูงสุดที่ 200% ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
แต่อีกใจหนึ่งคิดว่าถ้าราคาขึ้นไปที่ 2 บาทได้กำไรแค่เกือบ ๆ 1 เด้งป้าฯ ก็จะเผ่นแระ

แต่อนิจา...ในชีวิตการลงทุน ตลาดหุ้นฯ ช่างโหดร้ายกับคนโลภหวังรวยเร็วอย่างป้าฯ เสมอ
เพราะดีใจได้แค่แว๊บบบเดียวไม่ถึงชั่วโมงราคาหุ้นก็ถูกตบหัวทิ่มลงอย่างแรงและเร็วมาก
ป้าฯ มือไม้สั่น ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ รีบตัดสินใจตั้งซื้อหุ้นเพิ่มอีก 105,000 หุ้นที่ราคา 1.01 บาท
เพื่อถัวเฉลี่ยราคาให้ต่ำลงและเพื่อให้มีหุ้นจำนวนตัวเลขกลม ๆ 2 แสนหุ้น
แล้วราคาก็ทิ้งดิ่งลงมาให้ป้าฯ ซื้อได้แบบง่าย ๆ ไม่ต้องลุ้นนาน
อิอิ ได้ถัวต้นทุนถูกลงอีกเยอะเลยตรู ^^

แอบกระหยิ่มยิ้มมุมปาก ดีใจได้ไม่ถึงอึดใจใหญ่ ราคาหุ้นก็ไหลกราวรูดดิ่งเหวลงต่อ
ป้าฯ รีบตั้งคำสั่งซื้อเพิ่มอีก 2 แสนหุ้นที่ 0.82 บาทด้วยมือที่สั่นเทาใจเต้นระทึก

ตั้งซื้อเสร็จเห็นราคาดิ่งลงต่อแบบไม่ลืมหูลืมตา ป้าฯ รีบใช้ปฏิภาณไหวพริบที่มี
ยกเลิกคำสั่งที่ราคา 0.82 บาทและตั้งซื้อใหม่ที่ราคา 0.70 บาทอย่างรวดเร็ว
โชคดีได้หุ้นเข้าพอร์ตมาอย่างเฉียดฉิวเส้นยาแดงผ่าแปดที่ต่ำลงอีกตั้ง 12 ตังค์

สุดท้ายได้หุ้นรวม 400,000 หุ้นที่ราคาเฉลี่ย 0.8898 เป็นเงินทั้งสิ้น 355,900 บาท  
ราคาปิดท้ายวันที่ 0.73 บาท พอร์ตขาดทุนในวันนั้นวันเดียว 63,900 บาท หรือ 17.95%!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ฮือ ๆๆๆๆๆๆ ป้าฯ กะว่าจะหาเงินค่าหมากพลูแค่วันเดียว
แต่ดันต้องมาเสียค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ BKK-USA อดไปเยี่ยมลูกเบยยย แงๆๆๆๆๆ

สัปดาห์ต่อมาหุ้นตัวนี้ก็ถูกติดคุกหรือเข้าไปอยู่ในรายการ Cash Balance ซึ่งหมายถึง
การซื้อขายที่ต้องใช้เงินสดซื้อเท่านั้นไม่สามารถใช้บัญชีมาร์จิ้นหรือซื้อก่อนผ่อนทีหลังได้
เนื่องจากมียอดซื้อขายมากผิดปกติในขณะที่งบการเงินยังแสดงผลขาดทุน

หลังจากนั้นราคาหุ้นค่อย ๆ ซึมลงจนในวันที่ 29/9/53 หรืออีก 20 วันต่อมาจากวันที่เข้าตลาดฯ
ป้าฯ เห็นว่าราคาลงมา 50% ของต้นทุนแล้ว ก็เข้าไปซื้อเพิ่มอีก 2 แสนหุ้นที่ราคา 0.41 บาท
รวมมีหุ้นทั้งหมด 6 แสนหุ้นที่ทุนเฉลี่ย 0.73 บาท

พอหุ้นออกจากคุกหรือ Cash Balance List ราคาก็ค่อย ๆ ขยับขึ้น
ป้าฯ ก็เริ่มมีความหวังว่าราคาหุ้นมีโอกาสวิ่งกลับขึ้นไปได้
ตามที่ผู้บริหารได้โม้ไว้ว่าจะขึ้นแท่นเป็น TOP 5 ในวงการอสังหาฯ ให้ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ป้าฯ เคลิ้มตามและได้กระโจนเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีก 4 แสนหุ้นที่ราคา 0.45 บาทเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนอีก

ในที่สุดป้าฯ ก็ได้หุ้นครบ 1,000,000 หุ้นและมีต้นทุนเฉลี่ยสุดท้ายที่ 0.61 บาท
ในใจป้าฯ รู้สึกว๊าวมาก ตื่นเต้นกับการได้ถือหุ้นตั้ง 1 ล้านหุ้นในพอร์ตของตัวเอง
เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่เข้าสู่วงการตลาดหุ้นแล้วมีหุ้นในพอร์ตเป็นล้านหุ้นแบบเน้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

มันรู้สึกได้ถึงใจที่พองโตมากที่ได้เป็น “เศรษฐีล้านหุ้น” ถึงแม้จะยังขาดทุนอยู่
ตอนนั้นป้าฯ โลกสวยคิดเพียงแค่ว่าเงินเย็นซะอย่าง ทนอึด ทนถือไปสักพัก
เดี๋ยวราคาก็จะกลับมาให้ได้ร่ำรวยเองแหละน่า

จากหุ้นที่ป้าฯ ฝันว่าเป็นชื่อที่เป็นศิริมงคลว่า Angpao และได้ตัดสินใจเข้าซื้อด้วยความภาคภูมิใจ
แต่ครึ่งปีต่อมาในวันประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2555
หนึ่งในวาระการประชุมคือ “เปลี่ยนชื่อบริษัทจากอั่งเปาแอสเสทเป็นณุศาศิริ”
และเปลี่ยนชื่อหุ้นจาก “PAO” เป็น “NUSA”!!

วันนั้นป้าฯ เข้าประชุมผู้ถือหุ้นด้วยใจสลายเตรียมคัดค้านการเปลี่ยนชื่อ
แต่เสียงของรายย่อยอย่างป้าฯ มิอาจต้านทานความตั้งใจของผู้ถือหุ้นใหญ่
โดยประธานฯ ที่ประชุมให้เหตุผลเพียงแค่
เปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมและให้ชื่อสอดคล้องกับธุรกิจที่ทำอยู่

ใจจริงป้าฯ อยากจะโวยอยากจะวีนในที่ประชุมว่า
ทำไมไม่คิดให้รอบคอบก่อนตั้งชื่อฟระ???
แต่ก็คิดว่าไม่มีประโยชน์และไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศการประชุม จึงได้แต่ทำใจ หึหึ

จากวันนั้นเมื่อวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2554 จนถึงวันนี้วันที่ 2 เดือน 10 ปี 2561
กว่า 7 ปีตั้งแต่เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หุ้น NUSA ประกาศเพิ่มทุนมานับสิบรอบ
มีการรวมพาร์ทำให้หุ้น 1 ล้านหุ้นของป้าฯ เหลือไม่ถึงครึ่งและราคาทุนถูกปรับเป็น 1.51 บาท
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

หุ้น NUSA ยังไม่เคยได้สร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนเลยแม้แต่เงินปันผลก็ไม่ได้สักสตางค์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทั้งที่ผู้บริหารให้สัญญาทุกปีว่าจะจ่ายเงินปันผลเป็นอั่งเปาให้ผู้ถือหุ้นปีแล้วปีเล่า
"NUSA" จ้องแต่สูบ (เงิน) / สุนันท์ ศรีจันทรา
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9600000114982

ในขณะที่ราคาหุ้นซึมลงอย่างต่อเนื่องป้าฯ ไม่ได้ทำอะไรแต่กลับ Let Loss Run
จนทุนหายไปกว่า 80% ในวันที่ราคาเคยลงไป All Time Low ที่ 0.20 บาท
และล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561 ราคาปิดอยู่ที่ 0.33 บาท
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

สรุปว่าป้าฯ พลาดอย่างแรงกับการกระโจนเข้าซื้อหุ้น IPO ตัวนี้โดยไม่ได้ศึกษาอะไรเลย
ทั้งที่ในยามปกติก่อนซื้อหุ้นป้าฯ จะต้องศึกษางบ นิสัยผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยหรือFree Float และอื่น ๆ อย่างดีก่อนเข้าซื้อเสมอ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ที่บรรลัยหนักกว่านั้นก็คือการที่ป้าฯ ซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนตลอดขาลงของหุ้นตัวนี้
และที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการลงทุนในครั้งนี้ก็คือการไม่ได้ตั้งจุด CUT LOSS
ป้าฯ ทำทุกอย่างกับการเข้าซื้อหุ้น IPO ตัวนี้สวนทางกับเคล็ดวิชาที่เรียนรู้มาทั้งหมด

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่