(ไม่สปอยด์)
หนังที่เล่าเรื่องคนชราสองคนในห้องเดียวแทบทั้งเรื่อง ไร้ดนตรีประกอบ ไร้การเร้าอารมณ์แบบนิยาย แต่กลับเป็นหนังที่มีพลังที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต งดงาม แสดงถึงความหมายของรักและการเดินทางของชีวิตได้หมดจด
ผมเป็นแฟนเดนตายของ Michael Haneke ผู้กำกับที่ใช้องค์ประกอบของภาพยนต์เล่นกับจิตใจคนดูได้แสกหน้าและฝังลึกที่สุด หลัก ๆ ตั้งแต่ Funny Games (1997), The Piano Teacher (2001), Cache (2005) เป็นต้น หนังทุกเรื่องของเขาเหมือนการใช้องค์ประกอบทุกอย่างของภาพยนต์ทดลองเล่นสนุกกับจิตใจคนดู ทั้งการแช่ภาพนิ่ง, การตัดเหตุการณ์ให้คิดเอาเอง, ฉากกระชากอารมณ์โดยไม่ทันตั้งตัว ฯลฯ ราวกับพ่อมดที่กุมจังหวะอารมณ์คนดูและฝังความรู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ให้คาในใจไปนานแสนนาน
มาถึง Amour หนังชื่อง่าย ๆ ว่า "รัก" เรื่องนี้ ด้วยวัย 70 ของ Haneke กลับทำให้มาตรฐานงานของเขาสูงขึ้น และอาจจะสูงสุดแล้ว ไม่ต้องนับรางวัลทั้งคานส์หรือออสการ์ที่ได้มา แต่สิ่งที่ผมรู้สึกจากแต่ละฉากเมื่อทิ้งเวลาให้ตะกอนความคิดตกผลึก ยิ่งเวลาผ่านไปจากความมัวหม่นกลับยิ่งพบว่าหนังเรื่องนี้ช่างงดงามมากขึ้นเหลือเกิน และกาลเวลาจะพาให้หนังเรื่องนี้เป็นความพิเศษในที่สุด
ฉากของเรื่องทั้งหมด (ยกเว้นต้นเรื่องฉากเดียวที่ทำให้ผมกลับไปนึกฉากจบของเรื่อง Cache) เกิดขึ้นภายในห้องของคู่สามีภรรยาชนชั้นกลางสองคน พล็อตที่แสนง่ายและเฉลยจุดจบตั้งแต่เปิดเรื่องแล้ว คือ ชีวิตของไม้ใกล้ฝั่งสองคนที่ภรรยาเริ่มป่วยจากความชรา เป็นอีกครั้งที่ Haneke เล่นกับจิตใจของมนุษย์และทำให้คนดูกลายเป็นพยานในเหตุการณ์ชีวิตมนุษย์ที่เล่นกับศีลธรรมและจิตใจ
ต่างที่ครั้งนี้มันช่างลุ่มลึก เรียบง่าย ลึกซึ้ง และทรงพลัง ทุกฉากทุกองค์ ผ่านการแสดงของดาราสองคนที่ดึงเราไปอยู่ในโลกของเขาโดยเฝ้าดูและเข้าใจอย่างเงียบงัน
Haneke ยังทิ้งฉากให้เราต้องตีความ ใช้เทคนิคเล่าเรื่องข้ามจุดให้เราไปคิดเอง และฉากที่เข้ามาให้เราไม่ทันตั้งตัว แต่ครั้งนี้เราต่างรู้จุดจบจากต้นเรื่องแล้ว มันจึงไม่ใช่ความช็อคเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ ของเขา แต่เป็นความนิ่งงันและดำดิ่งไปกับการตัดสินใจของตัวละคร
สิ่งที่ผมสังเกตจากเรื่อง Haneke ใช้สัญลักษณ์ผ่านประตูและหน้าต่างเยอะมาก การเปิดปิดประตูหรือหน้าต่าง การผ่านจากประตูห้องหนึ่งไปอีกห้อง การเปิดรับแขกหรือเชิญแขกออกไป บานประตูทุกบานเปรียบเหมือนชีวิตของคนทั้งคู่ ทุกการผ่านทุกการเลือกจากเปิดหรือปิดประตูให้ใครเข้ามาออกไป แทบจะบอกเล่าถึงชีวิตที่ทั้งคู่ผ่านมาด้วยกันได้ทั้งสิ้น
แล้วหน้าต่างล่ะ ในเรื่องจะมีหน้าต่างบานเดียวที่ถูกเปิด และกลายเป็นนกพิราบที่บินเข้ามา นกตัวนี้คือสัญลักษณ์หลักของเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจได้ว่า Haneke ทำหนังเรื่องนี้ด้วยความรักและคุณตาคนนี้รักคู่ชีวิตของเขามากเพียงใด ครั้งแรกที่นกบินเข้ามาเขาไล่นกออกไป และเมื่อใกล้จบ นกตัวนี้บินเข้ามาอีกครั้ง เขาเลือกที่จะจับมัน แต่แล้วเราก็ได้รู้ว่าท้ายสุดแล้วเขาก็เลือกที่จะปล่อยมันไป หากฉากสุดท้ายที่ฝ่ายหญิงกลับมาดูรูปเก่า ๆ ในชีวิต และเอ่ยปากว่าชีวิตสวยงามเพียงใด ก่อนจะทรุดหนัก ผมคิดว่าฉากสรุปเรื่องนกตัวนี้คือที่สุดของการใช้สัญลักษณ์ในการสรุปเรื่องราวคลุมเครือของเรื่องและจิตใจที่แท้จริงของ ว่าที่จริงแล้ว "ปีศาจ" คิดอะไรกับทุกอย่างที่เขาทำมาตลอด
ผมไม่เสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปหนังจากชมจบ ยิ่งมีหลากหลายความรู้สึกให้ตระหนักว่า "ความจริง" ใน "หนัง" เรื่องนี้ มันช่างตราตรึงและทำให้เราจมกับหลายคำถามในชีวิต ความรู้สึก และคำถามว่า "เราจะหาชมหนังรักที่เงียบงันแต่สวยงามได้ขนาดนี้อีกสักครั้งในชีวิตหรือไม่?"
เป็นน้อยคนที่อยากขอบคุณที่เกิดมาทำหนังให้เราได้ดู Mr.Haneke
10/10
Amour (2012): หน้าต่างแห่งรักประตูแห่งชีวิต
หนังที่เล่าเรื่องคนชราสองคนในห้องเดียวแทบทั้งเรื่อง ไร้ดนตรีประกอบ ไร้การเร้าอารมณ์แบบนิยาย แต่กลับเป็นหนังที่มีพลังที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต งดงาม แสดงถึงความหมายของรักและการเดินทางของชีวิตได้หมดจด
ผมเป็นแฟนเดนตายของ Michael Haneke ผู้กำกับที่ใช้องค์ประกอบของภาพยนต์เล่นกับจิตใจคนดูได้แสกหน้าและฝังลึกที่สุด หลัก ๆ ตั้งแต่ Funny Games (1997), The Piano Teacher (2001), Cache (2005) เป็นต้น หนังทุกเรื่องของเขาเหมือนการใช้องค์ประกอบทุกอย่างของภาพยนต์ทดลองเล่นสนุกกับจิตใจคนดู ทั้งการแช่ภาพนิ่ง, การตัดเหตุการณ์ให้คิดเอาเอง, ฉากกระชากอารมณ์โดยไม่ทันตั้งตัว ฯลฯ ราวกับพ่อมดที่กุมจังหวะอารมณ์คนดูและฝังความรู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ให้คาในใจไปนานแสนนาน
มาถึง Amour หนังชื่อง่าย ๆ ว่า "รัก" เรื่องนี้ ด้วยวัย 70 ของ Haneke กลับทำให้มาตรฐานงานของเขาสูงขึ้น และอาจจะสูงสุดแล้ว ไม่ต้องนับรางวัลทั้งคานส์หรือออสการ์ที่ได้มา แต่สิ่งที่ผมรู้สึกจากแต่ละฉากเมื่อทิ้งเวลาให้ตะกอนความคิดตกผลึก ยิ่งเวลาผ่านไปจากความมัวหม่นกลับยิ่งพบว่าหนังเรื่องนี้ช่างงดงามมากขึ้นเหลือเกิน และกาลเวลาจะพาให้หนังเรื่องนี้เป็นความพิเศษในที่สุด
ฉากของเรื่องทั้งหมด (ยกเว้นต้นเรื่องฉากเดียวที่ทำให้ผมกลับไปนึกฉากจบของเรื่อง Cache) เกิดขึ้นภายในห้องของคู่สามีภรรยาชนชั้นกลางสองคน พล็อตที่แสนง่ายและเฉลยจุดจบตั้งแต่เปิดเรื่องแล้ว คือ ชีวิตของไม้ใกล้ฝั่งสองคนที่ภรรยาเริ่มป่วยจากความชรา เป็นอีกครั้งที่ Haneke เล่นกับจิตใจของมนุษย์และทำให้คนดูกลายเป็นพยานในเหตุการณ์ชีวิตมนุษย์ที่เล่นกับศีลธรรมและจิตใจ
ต่างที่ครั้งนี้มันช่างลุ่มลึก เรียบง่าย ลึกซึ้ง และทรงพลัง ทุกฉากทุกองค์ ผ่านการแสดงของดาราสองคนที่ดึงเราไปอยู่ในโลกของเขาโดยเฝ้าดูและเข้าใจอย่างเงียบงัน
Haneke ยังทิ้งฉากให้เราต้องตีความ ใช้เทคนิคเล่าเรื่องข้ามจุดให้เราไปคิดเอง และฉากที่เข้ามาให้เราไม่ทันตั้งตัว แต่ครั้งนี้เราต่างรู้จุดจบจากต้นเรื่องแล้ว มันจึงไม่ใช่ความช็อคเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ ของเขา แต่เป็นความนิ่งงันและดำดิ่งไปกับการตัดสินใจของตัวละคร
สิ่งที่ผมสังเกตจากเรื่อง Haneke ใช้สัญลักษณ์ผ่านประตูและหน้าต่างเยอะมาก การเปิดปิดประตูหรือหน้าต่าง การผ่านจากประตูห้องหนึ่งไปอีกห้อง การเปิดรับแขกหรือเชิญแขกออกไป บานประตูทุกบานเปรียบเหมือนชีวิตของคนทั้งคู่ ทุกการผ่านทุกการเลือกจากเปิดหรือปิดประตูให้ใครเข้ามาออกไป แทบจะบอกเล่าถึงชีวิตที่ทั้งคู่ผ่านมาด้วยกันได้ทั้งสิ้น
แล้วหน้าต่างล่ะ ในเรื่องจะมีหน้าต่างบานเดียวที่ถูกเปิด และกลายเป็นนกพิราบที่บินเข้ามา นกตัวนี้คือสัญลักษณ์หลักของเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจได้ว่า Haneke ทำหนังเรื่องนี้ด้วยความรักและคุณตาคนนี้รักคู่ชีวิตของเขามากเพียงใด ครั้งแรกที่นกบินเข้ามาเขาไล่นกออกไป และเมื่อใกล้จบ นกตัวนี้บินเข้ามาอีกครั้ง เขาเลือกที่จะจับมัน แต่แล้วเราก็ได้รู้ว่าท้ายสุดแล้วเขาก็เลือกที่จะปล่อยมันไป หากฉากสุดท้ายที่ฝ่ายหญิงกลับมาดูรูปเก่า ๆ ในชีวิต และเอ่ยปากว่าชีวิตสวยงามเพียงใด ก่อนจะทรุดหนัก ผมคิดว่าฉากสรุปเรื่องนกตัวนี้คือที่สุดของการใช้สัญลักษณ์ในการสรุปเรื่องราวคลุมเครือของเรื่องและจิตใจที่แท้จริงของ ว่าที่จริงแล้ว "ปีศาจ" คิดอะไรกับทุกอย่างที่เขาทำมาตลอด
ผมไม่เสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปหนังจากชมจบ ยิ่งมีหลากหลายความรู้สึกให้ตระหนักว่า "ความจริง" ใน "หนัง" เรื่องนี้ มันช่างตราตรึงและทำให้เราจมกับหลายคำถามในชีวิต ความรู้สึก และคำถามว่า "เราจะหาชมหนังรักที่เงียบงันแต่สวยงามได้ขนาดนี้อีกสักครั้งในชีวิตหรือไม่?"
เป็นน้อยคนที่อยากขอบคุณที่เกิดมาทำหนังให้เราได้ดู Mr.Haneke
10/10