มรรค 8 แบบลัดสั้น
ภิกษุทั้งหลาย !
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ ตามที่เป็นจริง ;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง ;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง ;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง ;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม ตามที่เป็นจริง ;
บุคคล ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักษุ
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูปทั้งหลาย
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุวิญญาณ
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุสัมผัส
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม
เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดยินดีแล้ว
ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่หลงใหลแล้ว มีปกติเห็นโทษอยู่
ปัญจุปาทานขันธ์ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อขึ้นอีกต่อไป
และ ตัณหา อันเป็นเครื่องนำมาซึ่งภพใหม่ ประกอบอยู่ด้วยความกำหนัด
ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน ทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ ของบุคคลนั้น ย่อมละไป
ความกระวนกระวายทางกาย และทางจิต ก็ละไป
ความแผดเผาทางกาย และทางจิต ก็ละไป
ความเร่าร้อนทางกาย และทางจิต ก็ละไป
บุคคลนั้นย่อมเสวยความสุขทั้งทางกาย และทางจิต
ทิฏฐิ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ
ความดำริ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสังกัปปะ,
ความเพียร ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาวายามะ,
สติ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสติ,
สมาธิ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสมาธิ.
ส่วน กายกรรม วจีกรรม และอาชีวะ ของเขา บริสุทธิ์มาแล้วแต่เดิม ;
( สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ )
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า
อริยอัฏฐังคิกมรรค ( อริยมรรคมีองค์ 8 ) แห่งบุคคลผู้รู้อยู่เห็นอยู่เช่นนั้น
ย่อมถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ด้วยอาการอย่างนี้
( กรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มนะ พึงแจกแจงโดยละเอียด เช่นเดียวกัน )
- อุปริ.ม. 14 / 523–525 / 828–830.
" มรรค 8 แบบ ลัด สั้น "
ภิกษุทั้งหลาย !
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ ตามที่เป็นจริง ;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง ;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง ;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง ;
เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม ตามที่เป็นจริง ;
บุคคล ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักษุ
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูปทั้งหลาย
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุวิญญาณ
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุสัมผัส
ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม
เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดยินดีแล้ว
ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่หลงใหลแล้ว มีปกติเห็นโทษอยู่
ปัญจุปาทานขันธ์ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อขึ้นอีกต่อไป
และ ตัณหา อันเป็นเครื่องนำมาซึ่งภพใหม่ ประกอบอยู่ด้วยความกำหนัด
ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน ทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ ของบุคคลนั้น ย่อมละไป
ความกระวนกระวายทางกาย และทางจิต ก็ละไป
ความแผดเผาทางกาย และทางจิต ก็ละไป
ความเร่าร้อนทางกาย และทางจิต ก็ละไป
บุคคลนั้นย่อมเสวยความสุขทั้งทางกาย และทางจิต
ทิฏฐิ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ
ความดำริ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสังกัปปะ,
ความเพียร ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาวายามะ,
สติ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสติ,
สมาธิ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสมาธิ.
ส่วน กายกรรม วจีกรรม และอาชีวะ ของเขา บริสุทธิ์มาแล้วแต่เดิม ;
( สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ )
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า
อริยอัฏฐังคิกมรรค ( อริยมรรคมีองค์ 8 ) แห่งบุคคลผู้รู้อยู่เห็นอยู่เช่นนั้น
ย่อมถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ด้วยอาการอย่างนี้
( กรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มนะ พึงแจกแจงโดยละเอียด เช่นเดียวกัน )
- อุปริ.ม. 14 / 523–525 / 828–830.