" วิธี ละ อวิชชา โดย ตรง "

วิธีละอวิชชาโดยตรง 1

ภิกษุรูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่หรือไม่หนอ
ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้นพระเจ้าข้า ?”


ภิกษุ !

เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักษุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น

เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งรูปทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น

เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุวิญญาณ โดยความเป็นของไม่เที่ยง
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น

เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุสัมผัส โดยความเป็นของไม่เที่ยง
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น

เมื่อภิกษุ รู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งเวทนาอันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น

( ในกรณีแห่งโสตะ ฆานะ ชิวหา กาย และมโน ทุกหมวด มีข้อความอย่างเดียวกัน )

ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น


- สฬา. สํ. 18 / 61 / 95.





วิธีละอวิชชาโดยตรง 2

ภิกษุรูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่หรือไม่หนอ
ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้นพระเจ้าข้า ?”

พระผู้มีพระภาค ทรงรับสั่งว่า
ภิกษุ ! ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่แล
ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น


ภิกษุรูปนั้น ทูลถามต่อว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว
อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น นั้นคืออะไรเล่าหนอ ?”

พระผู้มีพระภาค ทรงรับสั่งว่า
ภิกษุ ! อวิชชานั่นแล เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว
อวิชชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้น.


ภิกษุรูปนั้น ทูลถามต่อว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร
อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น พระเจ้าข้า ?”

พระผู้มีพระภาค ทรงรับสั่งว่า

ภิกษุ ! หลักธรรมอันภิกษุในกรณีนี้ได้สดับแล้ว ย่อมมีอยู่ว่า
“สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” ดังนี้

ภิกษุ ! ถ้าภิกษุได้สดับหลักธรรมข้อนั้น อย่างนี้ว่า
“สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” ดังนี้ แล้วไซร้
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง

ครั้นรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว
ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง

ครั้นรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว
ภิกษุนั้น ย่อมเห็นซึ่งนิมิตทั้งหลายของสิ่งทั้งปวง โดยประการอื่น

ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ โดยประการอื่น
ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย โดยประการอื่น
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ โดยประการอื่น
ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส โดยประการอื่น ;
ย่อมเห็นซึ่ง เวทนาอันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยประการอื่น.

( ในกรณีแห่งโสตะ, ฆานะ, ชิวหา, กาย, มโน ก็ทรงตรัสเช่นเดียวกันกับกรณีจักษุ )

ภิกษุ ! เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น


- คิลานวรรค สฬา. สํ. 18/62/96.



บาลี ในส่วนที่สำคัญของพระสูตรนี้ เพื่อใช้ศึกษาอ้างอิง

( สพฺเพ ธมฺมา นาลํอภินิเวสาย )
“สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”

( สพฺเพ ธมฺมา นาล อภินิเวสายาติ ฯ สพฺพ ธมฺม อภิชานาติ )
ถ้าภิกษุได้สดับหลักธรรมข้อนั้น อย่างนี้ว่า
“สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” ดังนี้
แล้ว ไซร้ ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง

( สพฺพ ธมฺม อภิฺาย สพฺพ ธมฺม ปริชานาติ )
ครั้นรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง

( สพฺพ ธมฺม ปริฺาย สพฺพนิมิตฺตานิ อฺโต ปสฺสติ )
ครั้นรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ภิกษุนั้น ย่อมเห็นซึ่งนิมิตทั้งหลายของสิ่งทั้งปวง โดยประการอื่น ฯ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่