เห็นข่าวพยาบาลล่าสุดแล้วอยากแชร์ความรู้สึกครับ ยาวหน่อย อาจจะเหมือนเพ้อๆ แต่ก็อยากแชร์ครับ ประสปการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ก่อนที่จะมาเป็นตัวแทน ผมไม่ได้ขายอะไรให้ใครหรอกนะครับ กลับกันผมอยากให้ทุกคนตระหนักถึงประโยชน์ของประกันในบริบทของประเทศนี้ หรือเป็นอีกเสียงเล็กๆที่อยากให้คุณภาพทางการแพทย์เพิ่มขึ้น
มุมมองเรื่องประกันของผมมันเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะรายได้
ผมจะเล่าให้ฟัง
เป็นเพราะบรรยากาศในวันที่ผมป่วย ผมเป็นข้าราชการ ผมมีสวัสดิการรักษาพยาบาลแบบจ่ายตรงในสถานพยาบาลของรัฐ ผมไม่ต้องจ่ายเงินค่าหมอเลย
แต่
ณ วันที่ผมป่วย ปวดหลังจนลงขา จนขาชา ผมไปหาหมอตอนบ่าย ผมต้องนั่งอดทนรอคิวเรียกเกือบชั่วโมง มันทรมาน ผมถูกเรียกเข้าไปซักถามโดยพยาบาลก่อนในครั้งแรก แต่ลืมวัดความดัน พยาบาลจึงให้ผมเดินไปวัดความดัน
ครับ
ผมต้องลากตัวเองกะโผลกกะเผลกไปวัดความดันกับเครื่องอัตโนมัติที่ห่างออกไปราวๆ 20 เมตร โคตรจะไกลเลยกับสภาพตอนนั้น เสร็จจากโต๊ะพยาบาล ผมต้องนั่งรอหมอตรวจอยู่หน้าห้อง ตอนนั้นก็เกือบจะสี่โมง คนไข้ก่อนหน้าผมออกมา ผมได้เข้าไปหาหมอในห้องตรวจ สิ่งที่ผมได้คือ หมอทำเอกสารให้ผมไปตรวจในคลีนิคนอกเวลาตอนหกโมงเย็น เพราะตอนผมเข้าไปคือเวลาเลิกงานแล้ว ซึ่งคลีนิคอยู่ชั้นสอง
ผมออกจากตรงนั้นสี่โมงกว่า อาจจะยังไม่ทันสี่โมงครึ่งมั้ง ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจคือ ผมต้องลากสภาพตัวเองกะโผลกกะเผลกขึ้นบันไดไปชั้นสอง
รอจนหกโมง ข้าวก็ไม่ได้กิน เพราะต้องรอยื่นคิวให้เป็นคนแรกๆ บวกกับเจ็บขา ลงไปกินข้าวลำบาก ผมต้องจ่ายเพิ่มห้าสิบบาท เสร็จทุกอย่างตอนทุ่มครึ่ง
ลากสังขารตัวเองไปมา
สุดท้ายผมต้องพึ่งคลีนิคเฉพาะทาง ทุกครั้งที่หาหมอ ผมต้องจ่ายครั้งละ 450 ถึง 980 บาท ไม่นับที่หมอนัด กับตอนที่เจ็บขึ้นมาอีก
มันน่าเศร้าสำหรับผมนะครับ
ตอนผมป่วย เงินก็ต้องหา งานก็ต้องทำ ค่าโน่นนั่นนี่ สารพัด ลำพังเงินเดือนก็ไม่ได้สูงอะไร ไหนจะค่าน้ำมันไปทำงาน หนี้บัตร หนี้สินต่างๆ อาชีพเสริมจึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ แต่ก็นั่นแหละครับ ป่วยแล้วมันจะทำอะไรได้ ผมสอนพิเศษก็ต้องเดิน
เพราะฉะนั้นแล้ว การรักษาพยาบาลที่ดีกว่าจึงเป็นตัวเลือกที่ต้องศึกษา
ผมเป็นข้าราชการที่กล้าพูดว่าผมมีประสบการณ์เดียวกันกับทุกท่านที่เคยไปหาหมอโดยใช้สิทธิสวัสดิการนั่นแหละครับ
ผมซาบซึ้งดี ว่าบรรยากาศและความรู้สึกเป็นอย่างไร ผมจึงไม่ขอฝากชีวิตอันเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพที่สำคัญไว้กับอะไรแบบนี้
ถ้าราคาที่ต้องจ่ายมันเหมาะสมก็ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี ลองคิดดูเถอะครับ ทุกคนเองก็ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเราจะป่วยวันไหน แต่ป่วยแล้วอุ่นใจ ป่วยแล้วยิ้มได้ มันดีกว่ามากครับ
แชร์ประสบการณ์ก่อนจะตัดสินใจซื้อประกัน
มุมมองเรื่องประกันของผมมันเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะรายได้
ผมจะเล่าให้ฟัง
เป็นเพราะบรรยากาศในวันที่ผมป่วย ผมเป็นข้าราชการ ผมมีสวัสดิการรักษาพยาบาลแบบจ่ายตรงในสถานพยาบาลของรัฐ ผมไม่ต้องจ่ายเงินค่าหมอเลย
แต่
ณ วันที่ผมป่วย ปวดหลังจนลงขา จนขาชา ผมไปหาหมอตอนบ่าย ผมต้องนั่งอดทนรอคิวเรียกเกือบชั่วโมง มันทรมาน ผมถูกเรียกเข้าไปซักถามโดยพยาบาลก่อนในครั้งแรก แต่ลืมวัดความดัน พยาบาลจึงให้ผมเดินไปวัดความดัน
ครับ
ผมต้องลากตัวเองกะโผลกกะเผลกไปวัดความดันกับเครื่องอัตโนมัติที่ห่างออกไปราวๆ 20 เมตร โคตรจะไกลเลยกับสภาพตอนนั้น เสร็จจากโต๊ะพยาบาล ผมต้องนั่งรอหมอตรวจอยู่หน้าห้อง ตอนนั้นก็เกือบจะสี่โมง คนไข้ก่อนหน้าผมออกมา ผมได้เข้าไปหาหมอในห้องตรวจ สิ่งที่ผมได้คือ หมอทำเอกสารให้ผมไปตรวจในคลีนิคนอกเวลาตอนหกโมงเย็น เพราะตอนผมเข้าไปคือเวลาเลิกงานแล้ว ซึ่งคลีนิคอยู่ชั้นสอง
ผมออกจากตรงนั้นสี่โมงกว่า อาจจะยังไม่ทันสี่โมงครึ่งมั้ง ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจคือ ผมต้องลากสภาพตัวเองกะโผลกกะเผลกขึ้นบันไดไปชั้นสอง
รอจนหกโมง ข้าวก็ไม่ได้กิน เพราะต้องรอยื่นคิวให้เป็นคนแรกๆ บวกกับเจ็บขา ลงไปกินข้าวลำบาก ผมต้องจ่ายเพิ่มห้าสิบบาท เสร็จทุกอย่างตอนทุ่มครึ่ง
ลากสังขารตัวเองไปมา
สุดท้ายผมต้องพึ่งคลีนิคเฉพาะทาง ทุกครั้งที่หาหมอ ผมต้องจ่ายครั้งละ 450 ถึง 980 บาท ไม่นับที่หมอนัด กับตอนที่เจ็บขึ้นมาอีก
มันน่าเศร้าสำหรับผมนะครับ
ตอนผมป่วย เงินก็ต้องหา งานก็ต้องทำ ค่าโน่นนั่นนี่ สารพัด ลำพังเงินเดือนก็ไม่ได้สูงอะไร ไหนจะค่าน้ำมันไปทำงาน หนี้บัตร หนี้สินต่างๆ อาชีพเสริมจึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ แต่ก็นั่นแหละครับ ป่วยแล้วมันจะทำอะไรได้ ผมสอนพิเศษก็ต้องเดิน
เพราะฉะนั้นแล้ว การรักษาพยาบาลที่ดีกว่าจึงเป็นตัวเลือกที่ต้องศึกษา
ผมเป็นข้าราชการที่กล้าพูดว่าผมมีประสบการณ์เดียวกันกับทุกท่านที่เคยไปหาหมอโดยใช้สิทธิสวัสดิการนั่นแหละครับ
ผมซาบซึ้งดี ว่าบรรยากาศและความรู้สึกเป็นอย่างไร ผมจึงไม่ขอฝากชีวิตอันเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพที่สำคัญไว้กับอะไรแบบนี้
ถ้าราคาที่ต้องจ่ายมันเหมาะสมก็ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี ลองคิดดูเถอะครับ ทุกคนเองก็ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเราจะป่วยวันไหน แต่ป่วยแล้วอุ่นใจ ป่วยแล้วยิ้มได้ มันดีกว่ามากครับ