“มืดเหลือเกิน ทำไม ความมืดมนเช่นนี้หรือ คือสิ่งที่ฉันปรารถนาจากโลกใบนี้”
“ตื่นเถอะสน หยุดคร่ำครวญได้แล้ว”
“นั่นใคร! ที่พูดกับผม”
น้ำเสียงการุณย์เหมือนเช่นมือที่เอื้อมลงมา แต่เขาไม่อาจจะไขว่คว้าได้
“ฉันกำลังรอคอยอะไรอยู่ ฉันจะคงอยู่เพื่ออะไร ทำไมมันไม่สิ้นสุดเสียที...”
ผู้คนในชุดแต่งดำไว้ทุกข์ในคืนสวดอภิธรรมศพของคุณยายเศรษฐีนีกับหลานชายที่เสียชีวิตกะทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของทุกสำนักพิมพ์ ทิ้งไว้แต่ทรัพย์มรดกก้อนโตไว้กับหลานสะใภ้แต่เพียงผู้เดียว
ญาติคอยส่งขันน้ำให้แขกที่คอยคิวรดน้ำศพ สะใภ้สาวไม่อาจทนรับกับการสูญเสีย มือปิดหน้าร้องไห้วิ่งลงศาลาไป ต่างต้องรีบตามไปปลอบใจ การตายของคู่ยายหลานมันเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ มีเสียงซุบซิบนินทาในที่ลับตาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เป็นสะใภ้เรื่องชู้สาว ก่อนหน้าทีจะเกิดเหตุร้าย
หลายครั้งที่ญาติฝ่ายสามีได้พบเห็นชายหนุ่มลึกลับในชุดนักศึกษาปรากฏตัวอยู่ในบ้าน ที่ไม่อาจจับได้ไล่ทัน มูลเหตุของการหวาดระแวง จนนำไปสู่การทะเลาะจนถึงขั้นขอหย่าร้าง จะมีเพียงคุณนายบุญเรือนคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความจริง ท่านสุขภาพย่ำแย่ด้วยโรคภัยรุมเร้า ได้แต่พักฟื้นอยู่ที่บ้าน เรื่องไม่ทันไปถึงไหนก็มีเหตุมาตายหนึ่งจากไปเสียก่อน
ผู้คนยังคงทยอยเข้ามาภายในศาลาวัดอย่างเนืองแน่น พวงรีดถูกยกมาอย่างรีบเร่งก่อนพระขึ้นอาสน์ ด้วยผู้ตายครั้งที่มีชีวิตอยู่เป็นเศรษฐีใจบุญชอบช่วยเหลือสังคม ทำธุรกิจค้าส่งรายใหญ่ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าใหญ่น้อยภายในจังหวัด ที่ลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะความเอื้อเฟือของคุณนาย
ลานวัดมีตอไม้เก่าผุพังของต้นทองกวาว ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อสร้างวัด เป็นผืนนาโล่งกว้างใหญ่ รถยนต์ของผู้มาร่วมงานศพ ขับไม่ระวังเหยียบมันเข้าพลันพังสลาย
ไม่มีใครสนใจหญิงสาวนางหนึ่งที่เดินสวนทางมา ใบหน้ารูปไข่ เส้นผมดำเป็นมันเงาในทรงบ๊อบสั้นแค่คอดูสวยเก๋แต่เรียบง่าย สวมชุดไทยประยุกต์ลายลูกไม้สีขาว ปกคอตั้ง มีผ้าแพรหรือผ้าห่มสไบเฉียงทับตัวเสื้ออีกที นุ่งโจงกระเบน สวมถุงเท้าและรองเท้าส้นสูง ทำให้ดูงามสง่าเลอค่าอย่างไทย ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้รับตำแหน่งนางงามประจำตำบลมาแล้ว
กาลเวลาเปลี่ยนไป ความงามเช่นนี้กลับหาได้มีใครสนใจอีกไม่
ทอดสายตาดูผู้คนที่สวนทางมา แม้จะเจอคนรู้จัก พยายามกวักมือเรียก เขาเหล่านั้นหาได้สนใจ ไม่แม้จะเหลียวหันมามอง
ช่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางผู้คน
“บุญเรือน...”
เสียงทุ้มนุ่ม ขานเรียกชื่อของเธอ พอหันไปตามน้ำเสียงทางต้นศรีมหาโพธิ์ ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวใจกลางลานวัด แผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาครึ้มบดบังแสงจันทร์นวลผ่องในคืนพระจันทร์เต็มดวง ร่างนั่นแม้จะมองเห็นใบหน้าไม่ชัด สวมชุดนักศึกษากำลังกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ ราวถือสนิทยิ่ง น้ำเสียงเรียกขานชื่อของเธอคล้ายแว่วมาตามลม ทำให้รู้สึกเหยียบเย็นยิ่งนัก
ใครกันผู้ชายคนนี้ สำเนียงช่างคุ้นหูเหลือเกิน บุญเรือนพลันนึกทบทวนเหมือนเคยเจอในความฝัน หรือในกาลเวลาที่ผ่านมานานแสนนาน ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างบอกไม่ถูกจนอดยิ้มตอบรับไม่ได้
“สน นั่นเพื่อนใช่ไหม” เธอจำเขาได้แล้ว มิมีใครเลย ที่มีสำเนียงเหน่อแบบสุพรรณได้น่าฟังเช่นนี้
กริ่ง กริ่ง กริ่ง
ยามเมื่อลมพัดกระดิ่งชายคาอุโบสถ ส่งเสียงประสานแหลมดัง กิ่งไม้โยกครืน ใบไม้ปลิดปลิวจากขั้ว ฝุ่นผงตลบอวล
เมฆที่บดบังพระจันทร์กำลังจะเคลื่อนผ่าน ทำให้แสงนวลใยจับใบหน้าคมสันต์ ชายในชุดนักศึกษาเดินอย่างองอาจเข้ามาใกล้ทุกที เส้นผมที่หวีเรียบชโลมด้วยน้ำมันจนขึ้นเงา จมูกโด่ง ผิวเนื้อคมเข้ม เวลายิ้มทำให้ดูมีเสน่ห์ ตามแบบฉบับลูกชาวนาที่กรำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาตั้งแต่อายุน้อย แม้ยามโตเป็นหนุ่มอาจหาญไม่กลัวเกรงใคร
“สน ใช่สนจริงๆ ด้วย” เธอยิ้มอย่างโล่งอก
มืออันหยาบกร้านของสนเข้ามาประคองใบหน้าสวยหวาน เธอหลบอย่างขวยเขิน แม้หน้าจะดำแต่ยิ้มทีเห็นฟันขาว นานแค่ไหนเธอไม่มีวันลืม เจ้าของรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์เช่นนี้ได้ ทำให้น้ำตามันเอ่อล้นมาโดยไม่รู้ตัว ความคิดถึงมันประดาประดังเข้ามา จนดวงใจน้อยๆ ไม่อาจจะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้
ริมฝีปากที่กำลังจะสัมผัสแก้มขาว บุญเรือนสำนึกได้ ตนเองแต่งงานมีสามีแล้วเป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม การแสดงความรักกับชายอื่นเป็นสิ่งที่ผิด เจ้าของใบหน้าคมเข้มรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่เธอก้าวถอยห่างออกมาอย่างสงวนตัว
“ไม่นะ อย่าเข้ามา”
“บุญเรือน”
เขาคำราม คราวนี้เข้ามากางแขนกอดรวบรุกประชิดตัว จมูกซุกซอนตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย เหมือนอยากจะกลืนกินหญิงสาวไปทั้งตัว
“อย่านะ! ได้โปรดที่นี่มันในวัดนะ”
“บุญเรือน ฉันคอยเพื่อนนานเหลือเกิน นานเกินจะทนไหวแล้ว”
สองแขนแข็งแรงรั้งเอวคอดเอาไว้ หญิงสาวเหมือนเทียนต้องไฟลน ปล่อยให้ชายหนุ่มซุกซอนไปตามผิวกายเนียนนุ่ม สมดังใจปรารถนา มือหยาบยังเล้าโลมทั่วจุดกระสัน ทำให้ลมหายใจขาดห้วง ยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้เขารุกรานมากยิ่งขึ้น ก่อนที่อารมณ์จะถลำเข้าสู่ห้วงลึกของอำนาจตัณหา เสียงพระสงฆ์บนศาสาให้ศีลโยมเริ่มดังขึ้น แว่วมากระทบโสตของทั้งคู่
กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณีปะทัง สะมาทิยามิ...
“เธอได้ยินไหมสน เรากำลังทำผิดนะ”
มือผลักใบหน้าของเขาออกไป เธอหลุดพ้นออกมาได้ สนแยกเขี้ยวด้วยความไม่พอใจ มองตามหญิงสาวไปบนศาลา ภาพพระสงฆ์กำลังตั้งหน้าเปล่งเสียงสวดคาถาที่ไม่เป็นมงคลหูเอาเสียเลย มือหยาบจับคางของเธอให้มองเฉพาะแต่เขาเท่านั้น
“อย่าไปฟังคำพวกโล้นห่มเหลือง พร่ำเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผิดศีลกาเมอะไรกัน ผิดลูกผิดเมียใครกัน เป็นพระก็อยู่ส่วนพระสิ โลกของเรามันไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ขอเพียงมีใจรัก อยากจะทำอะไรก็ทำ เวลานี้มีเพียงเราเท่านั้น เมื่อเจ้าคนนั่นมันตายไปความรักของเราจะไม่มีใครมาขวางได้อีก เราไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้ว!”
ยามนี้เธอควรยู่ในอารมณ์เศร้าโศก ที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว มิใช้เวลามารื้อฟื้นความสัมพันธ์แต่หนหลังกับเขา ศพบนศาลาพึ่งจะสวดคืนแรก ทำไมไม่รู้จักยับยั้งใจไว้บ้าง บุญเรือนต่อว่าต่อขาน กำปั้นน้อยทุบตีอกของเขา ด้วยอำนาจแรงกายที่เหนือกว่า คว้าข้อมือไว้ได้กอดรวบร่างบางไว้อีกครั้ง บรรจงจูบคราบน้ำตาที่แก้มขาว
เวลาแห่งการรอคอย มันเนิ่นนานจนเกินกว่าจะควบคุมความต้องการไว้ได้อีกแล้ว สนรู้ว่าน้ำตาของบุญเรือนหลั่งออกมาจากความรู้สึกสับสน ในจิตสำนึกบอกว่ากำลังทำผิด คนที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวทีเลี้ยงดูอบรมมาอย่างดี ตลอดชีวิตได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนในสังคม และนั่นเป็นสิ่งที่ผูกรั้งยึดเหนี่ยวความรู้สึกนึกคิดจิตใจของบุญเรือนเอาไว้อย่างแน่นหนา การจะทลายมโนคติเหล่านี้ มีแต่จะต้องรื้อฟื้นความรักระหว่างเขาและเธอเท่านั้น จึงจะต้องทลายโซ่แห่งความผูกพัน ไปสู่ที่สุดแห่งกาลเวลา และการรอคอยที่เนิ่นนานมันจะถึงกาลสิ้นสุด
พระคุณเจ้าภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ ต่างเดินแถวลงมาจากศาลา มุ่งสู่ลานวัดใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่คู่รักหนุ่มสาวยืนพร่ำเพ้อกันอยู่ พระชราผิวหนังเหี่ยวย่นตามสังขารท่านเป็นคนท้องถิ่นนี้ตั้งแต่ยุคบุกเบิกสร้างวัด ที่มีเพียงทุ่งนาฟ้าโล่ง มองความสาว ความสวยของสาวงามประจำตำบล พลันปลงอนิจจัง ไม่สิ่งใดเที่ยงแท้ หากยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ จะไม่มีวันพบหนทางสว่างได้เลย
“พรุ่งนี้ทั้งตำบล จะต้องเอาเรื่องของเราไปลือแน่ ถึงจะเป็นหม้ายผัวตาย แต่ลูกจะต้องอับอายที่มีแม่อย่างฉัน”
“เขาตาย ตามพ่อไปแล้ว”
“ไม่จริง! เล็กไม่ใช่คนอายุสั้น”
“อย่าปฏิเสธ ความจริงอีกเลย”
สนพูดย้ำๆ อยู่เช่นนั้น เสี่ยเล็ก ลูกชายคนเดียวได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว บุญเรือนเหมือนคนสติฟั่นเฟือน ไม่อาจรับความจริงได้ เธอทนลำบากเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวมา ได้ลูกเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำธุรกิจค้าส่งจนร่ำรวย ถึงจะเป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนพ่อที่มีนิสัยนักเลงไม่ยอมคน จนถูกอริยิงตาย เธอพาลูกชายเข้าวัดทำบุญ เคยได้บวชเรียน ต้องไม่ใช่คนอายุสั้นเหมือนคนเป็นพ่อ
“อย่าร้องไห้อีกเลย เขาเหล่านั้นได้ไปสู่หนทางของตนเองแล้ว”
สองแขนทรงอำนาจกระชับร่างของบุญเรือนไว้อีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ตอของต้นทองกวาว ที่ครั้งหนึ่งมันเคยยืนต้นออกดอกสวยสะพรั่ง ให้หนุ่มสาวคู่รักบ้านนาได้ยืนพูดคุยสบตากัน ความรักผลิบานขึ้นที่นี่ และยามจากกันไปชั่วชีวิต
“ฉัน เกือบลืมมันไปแล้ว”
“นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เราสองคน ไม่ได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้”
เสียงกระซิบข้างใบหู ที่ชอบทำอยู่เสมอ กลิ่นพิกุลจากน้ำปรุงหอมละมุนจากกายสาว ทำให้หนุ่มในชุดนักศึกษาอิ่มเอมใจยิ่งนัก เขาคือความหวังของแม่ที่ต้องเหนื่อยยากทำนาอยู่คนเดียว เพื่อหาเงินส่งเสียลูกชายคนเดียว ได้เล่าเรียนจนสำเร็จขั้นอุดมศึกษา ได้แต่ย้ำให้ตนเองมุมานะสอบให้ติดงานราชการ ซึ่งมันจะทำให้ลดช่องว่างทางฐานะที่ต่างกันของสองครอบครัว ที่ฝ่ายหญิงเป็นคนฐานะดีทีสุดในตำบล
ภายหลังทางราชการประกาศผลสอบ สนสอบติดได้งานสมใจ ตั้งใจจะนำข่าวดีนี่มาบอก ที่จุดนัดพบเดิมๆ ใต้ต้นทองกวาว หากแต่มันสายไปแล้ว มันเป็นวันที่เธอมาบอกกล่าว ว่าจะต้องแต่งงานกับลูกชายเถ้าแก่ เจ้าของโรงสีใหญ่ในตัวอำเภอ
บุญเรือนพยักหน้าหงึกๆ เธอจำว่าได้บอกลาใครบางคน ณ ที่แห่งนี้ ภายหลังเธอต้องแต่งงานกับชายที่พ่อแม่เลือกให้ ชีวิตคู่ไม่มีความสุขนัก ได้ใช้ชีวิตร่วมกับสามีสิบกว่าปีเขาก็ตายจาก เธอจึงครองความเป็นหม้ายมาตลอด ทั้งที่มีคนดีๆ แวะเวียนเข้ามาหามากหน้า ในใจมันคิดรอคอยใครคนหนึ่ง แต่มันก็นานมากแล้ว
“เพื่อนรัก จงหลับตาเถิด แล้วย้อนนึกถึงไปในวันวาน ที่ท้องทุ่งตรงหน้ามีต้นข้าวออกรวงจนเหลืองอร่าม จากชายดงมีคลองและทางเกวียนเลาะเลียบ อุดมไปด้วยต้นไผ่มีหนาม มาถึงตรงนี้ตรงที่สันดอนมีต้นทองกวาวยืนต้นเด่น เราสองคนชอบนัดพบกันไปเก็บดอกบัวให้พวกผู้ใหญ่นำไปวัดอยู่เสมอ และขากลับเราจะดักขึ้นเกวียนอาศัยร่วมทางกลับบ้าน”
ในช่วงหนึ่งของกาลเวลา เสียงเพลงของสุรพล สมบัติเจริญดังแว่วมาจากทรานชิสเตอร์ของชาวนา ที่กำลังเร่งเก็บเกี่ยวข้าวออกรวงเหลืองเต็มทุ่ง ใกล้วันขึ้น 15 ค่ำ สนกับบุญเรือนจะนัดแนะกันไปเก็บดอกบัว เตรียมให้พวกพ่อแม่ไปทำบุญที่วัด สองฟากเป็นนาข้าวออกรวงเหลืองอร่าม ต่างเดินไปรอยล้อเกวียน พูดคุยหยอกล้อกันเป็นที่สนุกสนาน ตั้งแต่ตัวต่ำกว่าล้อเกวียน จนเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
ต้นทองกวาวและทางเกวียนคือสถานที่คุ้นเคย กาลเวลาผ่านไปต่างเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาวเต็มตัว ความใกล้ชิดและเดียงสาแห่งวัย ก่อให้เกิดความผูกพันจนความรักบังเกิดขึ้นที่นี่
นกรวงข้าวหางแพนเกาะรวงไกวโตงเตงอยู่ไม่ไกล เจ้าควายทุยที่สนมัดไว้ให้กินหญ้ามันเคี้ยวเอี้ยงอย่างเฉื่อยชา ตวัดหางไล่ตัวลิ้นแล้วเมินหน้าไปทางอื่น ทำเหมือนไม่อยากจะมองคู่หนุ่มสาวด้วยความอิจฉา
เกวียนของชาวนาแล่นผ่านทางมาบดโคลนดังเอี๊ยดอ๊าด หนุ่มผิวเข้มลงไปช่วยเข็นจากหล่ม อาศัยติดมาด้วยกับสาวน้อยที่มีกลีบดอกไม้ทัดใบหู รอยล้อเกวียนบดย่ำลงบนโคลนทับรอยเดิม ประหนึ่งจะช่วยวามรักของสนและบุญเรือนงเพิ่มทวีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นทางเกวียน
วันหนึ่งข่าวร้ายมันฟาดเปรี้ยงลงบนกลางใจของสน เหมือนฟ้าผ่าหน้าแล้ง ใต้ต้นทองกวาวต้นเดิมที่เขายืนพิงคอยเวลานัดหมายอยู่เสมอ เจ้าทุยเล็มหญ้าอยู่ไม่ห่างบุญเรือนต้องแต่งงานกับคนในเมือง เป็นคนเชื้อจีนที่ครอบครัวค้าขายจนร่ำรวย ฐานะของชายหญิงเหมาะสามคู่ควรกัน ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้พูดจาตกลงกันเรื่องค่าสินสอดกันเป็นมั่นเหมาะแล้ว
รักแท้รอได้
“ตื่นเถอะสน หยุดคร่ำครวญได้แล้ว”
“นั่นใคร! ที่พูดกับผม”
น้ำเสียงการุณย์เหมือนเช่นมือที่เอื้อมลงมา แต่เขาไม่อาจจะไขว่คว้าได้
“ฉันกำลังรอคอยอะไรอยู่ ฉันจะคงอยู่เพื่ออะไร ทำไมมันไม่สิ้นสุดเสียที...”
ผู้คนในชุดแต่งดำไว้ทุกข์ในคืนสวดอภิธรรมศพของคุณยายเศรษฐีนีกับหลานชายที่เสียชีวิตกะทันหันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของทุกสำนักพิมพ์ ทิ้งไว้แต่ทรัพย์มรดกก้อนโตไว้กับหลานสะใภ้แต่เพียงผู้เดียว
ญาติคอยส่งขันน้ำให้แขกที่คอยคิวรดน้ำศพ สะใภ้สาวไม่อาจทนรับกับการสูญเสีย มือปิดหน้าร้องไห้วิ่งลงศาลาไป ต่างต้องรีบตามไปปลอบใจ การตายของคู่ยายหลานมันเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ มีเสียงซุบซิบนินทาในที่ลับตาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เป็นสะใภ้เรื่องชู้สาว ก่อนหน้าทีจะเกิดเหตุร้าย
หลายครั้งที่ญาติฝ่ายสามีได้พบเห็นชายหนุ่มลึกลับในชุดนักศึกษาปรากฏตัวอยู่ในบ้าน ที่ไม่อาจจับได้ไล่ทัน มูลเหตุของการหวาดระแวง จนนำไปสู่การทะเลาะจนถึงขั้นขอหย่าร้าง จะมีเพียงคุณนายบุญเรือนคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความจริง ท่านสุขภาพย่ำแย่ด้วยโรคภัยรุมเร้า ได้แต่พักฟื้นอยู่ที่บ้าน เรื่องไม่ทันไปถึงไหนก็มีเหตุมาตายหนึ่งจากไปเสียก่อน
ผู้คนยังคงทยอยเข้ามาภายในศาลาวัดอย่างเนืองแน่น พวงรีดถูกยกมาอย่างรีบเร่งก่อนพระขึ้นอาสน์ ด้วยผู้ตายครั้งที่มีชีวิตอยู่เป็นเศรษฐีใจบุญชอบช่วยเหลือสังคม ทำธุรกิจค้าส่งรายใหญ่ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าใหญ่น้อยภายในจังหวัด ที่ลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะความเอื้อเฟือของคุณนาย
ลานวัดมีตอไม้เก่าผุพังของต้นทองกวาว ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อสร้างวัด เป็นผืนนาโล่งกว้างใหญ่ รถยนต์ของผู้มาร่วมงานศพ ขับไม่ระวังเหยียบมันเข้าพลันพังสลาย
ไม่มีใครสนใจหญิงสาวนางหนึ่งที่เดินสวนทางมา ใบหน้ารูปไข่ เส้นผมดำเป็นมันเงาในทรงบ๊อบสั้นแค่คอดูสวยเก๋แต่เรียบง่าย สวมชุดไทยประยุกต์ลายลูกไม้สีขาว ปกคอตั้ง มีผ้าแพรหรือผ้าห่มสไบเฉียงทับตัวเสื้ออีกที นุ่งโจงกระเบน สวมถุงเท้าและรองเท้าส้นสูง ทำให้ดูงามสง่าเลอค่าอย่างไทย ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้รับตำแหน่งนางงามประจำตำบลมาแล้ว
กาลเวลาเปลี่ยนไป ความงามเช่นนี้กลับหาได้มีใครสนใจอีกไม่
ทอดสายตาดูผู้คนที่สวนทางมา แม้จะเจอคนรู้จัก พยายามกวักมือเรียก เขาเหล่านั้นหาได้สนใจ ไม่แม้จะเหลียวหันมามอง
ช่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางผู้คน
“บุญเรือน...”
เสียงทุ้มนุ่ม ขานเรียกชื่อของเธอ พอหันไปตามน้ำเสียงทางต้นศรีมหาโพธิ์ ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวใจกลางลานวัด แผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาครึ้มบดบังแสงจันทร์นวลผ่องในคืนพระจันทร์เต็มดวง ร่างนั่นแม้จะมองเห็นใบหน้าไม่ชัด สวมชุดนักศึกษากำลังกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ ราวถือสนิทยิ่ง น้ำเสียงเรียกขานชื่อของเธอคล้ายแว่วมาตามลม ทำให้รู้สึกเหยียบเย็นยิ่งนัก
ใครกันผู้ชายคนนี้ สำเนียงช่างคุ้นหูเหลือเกิน บุญเรือนพลันนึกทบทวนเหมือนเคยเจอในความฝัน หรือในกาลเวลาที่ผ่านมานานแสนนาน ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างบอกไม่ถูกจนอดยิ้มตอบรับไม่ได้
“สน นั่นเพื่อนใช่ไหม” เธอจำเขาได้แล้ว มิมีใครเลย ที่มีสำเนียงเหน่อแบบสุพรรณได้น่าฟังเช่นนี้
กริ่ง กริ่ง กริ่ง
ยามเมื่อลมพัดกระดิ่งชายคาอุโบสถ ส่งเสียงประสานแหลมดัง กิ่งไม้โยกครืน ใบไม้ปลิดปลิวจากขั้ว ฝุ่นผงตลบอวล
เมฆที่บดบังพระจันทร์กำลังจะเคลื่อนผ่าน ทำให้แสงนวลใยจับใบหน้าคมสันต์ ชายในชุดนักศึกษาเดินอย่างองอาจเข้ามาใกล้ทุกที เส้นผมที่หวีเรียบชโลมด้วยน้ำมันจนขึ้นเงา จมูกโด่ง ผิวเนื้อคมเข้ม เวลายิ้มทำให้ดูมีเสน่ห์ ตามแบบฉบับลูกชาวนาที่กรำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาตั้งแต่อายุน้อย แม้ยามโตเป็นหนุ่มอาจหาญไม่กลัวเกรงใคร
“สน ใช่สนจริงๆ ด้วย” เธอยิ้มอย่างโล่งอก
มืออันหยาบกร้านของสนเข้ามาประคองใบหน้าสวยหวาน เธอหลบอย่างขวยเขิน แม้หน้าจะดำแต่ยิ้มทีเห็นฟันขาว นานแค่ไหนเธอไม่มีวันลืม เจ้าของรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์เช่นนี้ได้ ทำให้น้ำตามันเอ่อล้นมาโดยไม่รู้ตัว ความคิดถึงมันประดาประดังเข้ามา จนดวงใจน้อยๆ ไม่อาจจะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้
ริมฝีปากที่กำลังจะสัมผัสแก้มขาว บุญเรือนสำนึกได้ ตนเองแต่งงานมีสามีแล้วเป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม การแสดงความรักกับชายอื่นเป็นสิ่งที่ผิด เจ้าของใบหน้าคมเข้มรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่เธอก้าวถอยห่างออกมาอย่างสงวนตัว
“ไม่นะ อย่าเข้ามา”
“บุญเรือน”
เขาคำราม คราวนี้เข้ามากางแขนกอดรวบรุกประชิดตัว จมูกซุกซอนตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย เหมือนอยากจะกลืนกินหญิงสาวไปทั้งตัว
“อย่านะ! ได้โปรดที่นี่มันในวัดนะ”
“บุญเรือน ฉันคอยเพื่อนนานเหลือเกิน นานเกินจะทนไหวแล้ว”
สองแขนแข็งแรงรั้งเอวคอดเอาไว้ หญิงสาวเหมือนเทียนต้องไฟลน ปล่อยให้ชายหนุ่มซุกซอนไปตามผิวกายเนียนนุ่ม สมดังใจปรารถนา มือหยาบยังเล้าโลมทั่วจุดกระสัน ทำให้ลมหายใจขาดห้วง ยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้เขารุกรานมากยิ่งขึ้น ก่อนที่อารมณ์จะถลำเข้าสู่ห้วงลึกของอำนาจตัณหา เสียงพระสงฆ์บนศาสาให้ศีลโยมเริ่มดังขึ้น แว่วมากระทบโสตของทั้งคู่
กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณีปะทัง สะมาทิยามิ...
“เธอได้ยินไหมสน เรากำลังทำผิดนะ”
มือผลักใบหน้าของเขาออกไป เธอหลุดพ้นออกมาได้ สนแยกเขี้ยวด้วยความไม่พอใจ มองตามหญิงสาวไปบนศาลา ภาพพระสงฆ์กำลังตั้งหน้าเปล่งเสียงสวดคาถาที่ไม่เป็นมงคลหูเอาเสียเลย มือหยาบจับคางของเธอให้มองเฉพาะแต่เขาเท่านั้น
“อย่าไปฟังคำพวกโล้นห่มเหลือง พร่ำเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผิดศีลกาเมอะไรกัน ผิดลูกผิดเมียใครกัน เป็นพระก็อยู่ส่วนพระสิ โลกของเรามันไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ขอเพียงมีใจรัก อยากจะทำอะไรก็ทำ เวลานี้มีเพียงเราเท่านั้น เมื่อเจ้าคนนั่นมันตายไปความรักของเราจะไม่มีใครมาขวางได้อีก เราไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้ว!”
ยามนี้เธอควรยู่ในอารมณ์เศร้าโศก ที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว มิใช้เวลามารื้อฟื้นความสัมพันธ์แต่หนหลังกับเขา ศพบนศาลาพึ่งจะสวดคืนแรก ทำไมไม่รู้จักยับยั้งใจไว้บ้าง บุญเรือนต่อว่าต่อขาน กำปั้นน้อยทุบตีอกของเขา ด้วยอำนาจแรงกายที่เหนือกว่า คว้าข้อมือไว้ได้กอดรวบร่างบางไว้อีกครั้ง บรรจงจูบคราบน้ำตาที่แก้มขาว
เวลาแห่งการรอคอย มันเนิ่นนานจนเกินกว่าจะควบคุมความต้องการไว้ได้อีกแล้ว สนรู้ว่าน้ำตาของบุญเรือนหลั่งออกมาจากความรู้สึกสับสน ในจิตสำนึกบอกว่ากำลังทำผิด คนที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวทีเลี้ยงดูอบรมมาอย่างดี ตลอดชีวิตได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนในสังคม และนั่นเป็นสิ่งที่ผูกรั้งยึดเหนี่ยวความรู้สึกนึกคิดจิตใจของบุญเรือนเอาไว้อย่างแน่นหนา การจะทลายมโนคติเหล่านี้ มีแต่จะต้องรื้อฟื้นความรักระหว่างเขาและเธอเท่านั้น จึงจะต้องทลายโซ่แห่งความผูกพัน ไปสู่ที่สุดแห่งกาลเวลา และการรอคอยที่เนิ่นนานมันจะถึงกาลสิ้นสุด
พระคุณเจ้าภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ ต่างเดินแถวลงมาจากศาลา มุ่งสู่ลานวัดใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่คู่รักหนุ่มสาวยืนพร่ำเพ้อกันอยู่ พระชราผิวหนังเหี่ยวย่นตามสังขารท่านเป็นคนท้องถิ่นนี้ตั้งแต่ยุคบุกเบิกสร้างวัด ที่มีเพียงทุ่งนาฟ้าโล่ง มองความสาว ความสวยของสาวงามประจำตำบล พลันปลงอนิจจัง ไม่สิ่งใดเที่ยงแท้ หากยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ จะไม่มีวันพบหนทางสว่างได้เลย
“พรุ่งนี้ทั้งตำบล จะต้องเอาเรื่องของเราไปลือแน่ ถึงจะเป็นหม้ายผัวตาย แต่ลูกจะต้องอับอายที่มีแม่อย่างฉัน”
“เขาตาย ตามพ่อไปแล้ว”
“ไม่จริง! เล็กไม่ใช่คนอายุสั้น”
“อย่าปฏิเสธ ความจริงอีกเลย”
สนพูดย้ำๆ อยู่เช่นนั้น เสี่ยเล็ก ลูกชายคนเดียวได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว บุญเรือนเหมือนคนสติฟั่นเฟือน ไม่อาจรับความจริงได้ เธอทนลำบากเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวมา ได้ลูกเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำธุรกิจค้าส่งจนร่ำรวย ถึงจะเป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนพ่อที่มีนิสัยนักเลงไม่ยอมคน จนถูกอริยิงตาย เธอพาลูกชายเข้าวัดทำบุญ เคยได้บวชเรียน ต้องไม่ใช่คนอายุสั้นเหมือนคนเป็นพ่อ
“อย่าร้องไห้อีกเลย เขาเหล่านั้นได้ไปสู่หนทางของตนเองแล้ว”
สองแขนทรงอำนาจกระชับร่างของบุญเรือนไว้อีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ตอของต้นทองกวาว ที่ครั้งหนึ่งมันเคยยืนต้นออกดอกสวยสะพรั่ง ให้หนุ่มสาวคู่รักบ้านนาได้ยืนพูดคุยสบตากัน ความรักผลิบานขึ้นที่นี่ และยามจากกันไปชั่วชีวิต
“ฉัน เกือบลืมมันไปแล้ว”
“นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เราสองคน ไม่ได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้”
เสียงกระซิบข้างใบหู ที่ชอบทำอยู่เสมอ กลิ่นพิกุลจากน้ำปรุงหอมละมุนจากกายสาว ทำให้หนุ่มในชุดนักศึกษาอิ่มเอมใจยิ่งนัก เขาคือความหวังของแม่ที่ต้องเหนื่อยยากทำนาอยู่คนเดียว เพื่อหาเงินส่งเสียลูกชายคนเดียว ได้เล่าเรียนจนสำเร็จขั้นอุดมศึกษา ได้แต่ย้ำให้ตนเองมุมานะสอบให้ติดงานราชการ ซึ่งมันจะทำให้ลดช่องว่างทางฐานะที่ต่างกันของสองครอบครัว ที่ฝ่ายหญิงเป็นคนฐานะดีทีสุดในตำบล
ภายหลังทางราชการประกาศผลสอบ สนสอบติดได้งานสมใจ ตั้งใจจะนำข่าวดีนี่มาบอก ที่จุดนัดพบเดิมๆ ใต้ต้นทองกวาว หากแต่มันสายไปแล้ว มันเป็นวันที่เธอมาบอกกล่าว ว่าจะต้องแต่งงานกับลูกชายเถ้าแก่ เจ้าของโรงสีใหญ่ในตัวอำเภอ
บุญเรือนพยักหน้าหงึกๆ เธอจำว่าได้บอกลาใครบางคน ณ ที่แห่งนี้ ภายหลังเธอต้องแต่งงานกับชายที่พ่อแม่เลือกให้ ชีวิตคู่ไม่มีความสุขนัก ได้ใช้ชีวิตร่วมกับสามีสิบกว่าปีเขาก็ตายจาก เธอจึงครองความเป็นหม้ายมาตลอด ทั้งที่มีคนดีๆ แวะเวียนเข้ามาหามากหน้า ในใจมันคิดรอคอยใครคนหนึ่ง แต่มันก็นานมากแล้ว
“เพื่อนรัก จงหลับตาเถิด แล้วย้อนนึกถึงไปในวันวาน ที่ท้องทุ่งตรงหน้ามีต้นข้าวออกรวงจนเหลืองอร่าม จากชายดงมีคลองและทางเกวียนเลาะเลียบ อุดมไปด้วยต้นไผ่มีหนาม มาถึงตรงนี้ตรงที่สันดอนมีต้นทองกวาวยืนต้นเด่น เราสองคนชอบนัดพบกันไปเก็บดอกบัวให้พวกผู้ใหญ่นำไปวัดอยู่เสมอ และขากลับเราจะดักขึ้นเกวียนอาศัยร่วมทางกลับบ้าน”
ในช่วงหนึ่งของกาลเวลา เสียงเพลงของสุรพล สมบัติเจริญดังแว่วมาจากทรานชิสเตอร์ของชาวนา ที่กำลังเร่งเก็บเกี่ยวข้าวออกรวงเหลืองเต็มทุ่ง ใกล้วันขึ้น 15 ค่ำ สนกับบุญเรือนจะนัดแนะกันไปเก็บดอกบัว เตรียมให้พวกพ่อแม่ไปทำบุญที่วัด สองฟากเป็นนาข้าวออกรวงเหลืองอร่าม ต่างเดินไปรอยล้อเกวียน พูดคุยหยอกล้อกันเป็นที่สนุกสนาน ตั้งแต่ตัวต่ำกว่าล้อเกวียน จนเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
ต้นทองกวาวและทางเกวียนคือสถานที่คุ้นเคย กาลเวลาผ่านไปต่างเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาวเต็มตัว ความใกล้ชิดและเดียงสาแห่งวัย ก่อให้เกิดความผูกพันจนความรักบังเกิดขึ้นที่นี่
นกรวงข้าวหางแพนเกาะรวงไกวโตงเตงอยู่ไม่ไกล เจ้าควายทุยที่สนมัดไว้ให้กินหญ้ามันเคี้ยวเอี้ยงอย่างเฉื่อยชา ตวัดหางไล่ตัวลิ้นแล้วเมินหน้าไปทางอื่น ทำเหมือนไม่อยากจะมองคู่หนุ่มสาวด้วยความอิจฉา
เกวียนของชาวนาแล่นผ่านทางมาบดโคลนดังเอี๊ยดอ๊าด หนุ่มผิวเข้มลงไปช่วยเข็นจากหล่ม อาศัยติดมาด้วยกับสาวน้อยที่มีกลีบดอกไม้ทัดใบหู รอยล้อเกวียนบดย่ำลงบนโคลนทับรอยเดิม ประหนึ่งจะช่วยวามรักของสนและบุญเรือนงเพิ่มทวีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นทางเกวียน
วันหนึ่งข่าวร้ายมันฟาดเปรี้ยงลงบนกลางใจของสน เหมือนฟ้าผ่าหน้าแล้ง ใต้ต้นทองกวาวต้นเดิมที่เขายืนพิงคอยเวลานัดหมายอยู่เสมอ เจ้าทุยเล็มหญ้าอยู่ไม่ห่างบุญเรือนต้องแต่งงานกับคนในเมือง เป็นคนเชื้อจีนที่ครอบครัวค้าขายจนร่ำรวย ฐานะของชายหญิงเหมาะสามคู่ควรกัน ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้พูดจาตกลงกันเรื่องค่าสินสอดกันเป็นมั่นเหมาะแล้ว