สวัสดีค่ะ เราอยากจะมาเล่าประสบการณ์การไป work and travel เมื่อปิดเทอมที่ผ่านมาให้ฟัง
เราชื่อฝ้ายค่ะ อายุ 21 ปี ตอนนี้เรียนปี 3 คณิตศาสตร์ประกันภัย มหิดล
ซัมเมอร์2018ที่ผ่านมาเราไป w&t ที่ ร้าน The beach house kitchen & cocktail, Gulf shores, Alabama
(มือใหม่ ถ่ายเอง ตัดต่อเอง อาจจะเวียนหัวหน่อยๆ ขออภัยด้วยค่า)
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่า work and travel คืออะไร มันคือโครงการที่ให้เราสามารถไปทำงานอย่างถูกกฎหมายและท่องเที่ยวในอเมริกานานเท่าที่วีซ่ากำหนด และหลังจากนั้นเราสามารถอยู่ต่อได้นาน 1 เดือนค่ะ ซึ่งวีซ่าที่เราถืออยู่คือวีซ่า J1 นะคะ เป็นวีซ่าสำหรับนักเรียน นักศึกษาค่ะ
ขอแบ่งเป็น 2 พาร์ทนะคะ คือ ตอนที่อยู่ไทย และ ตอนทำงานค่ะ
เริ่มจากตอนที่อยู่ไทยค่ะ ปี 2 เทอม 2 ที่ผ่านมา คณะเราปิดเทอมค่อนข้างเร็วค่ะ เราเลยตัดสินใจไปwork&travel เราเริ่มจากเลือก agency ค่ะ ตอนนั้นประมาณเดือนตุลาคม ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้าสำหรับคนที่ยังไม่สมัครนะคะ หลายagencyปิดรับสมัครไปแล้ว หรือไม่หลายๆงานก็เต็มไปแล้วค่ะ และด้วยความขี้เกียจและความรีบของเรา เราเลือกแค่จากที่เรารู้จักค่ะ
ตัวเลือกตอนนั้นมี O.., A.L., K.W., Acadex ซึ่ง 3 ตัวแรกโดนปัดทิ้งไปเพราะ อันแรกคนรู้จักเราไปมาปีที่แล้วเล่าให้ฟังว่าตอนกดเลือกงานต้องลุ้นค่ะว่าจะกดได้ไม่ได้ มีแนวโน้มจะไม่ได้งานที่อยากได้ ส่วนอัน 2 แพงค่ะ 55555 และอันสุดท้ายเค้าปิดวัดระดับภาษาไปแล้วค่ะ สมัครไม่ทัน
แล้วเราก็มาจบที่ acadex ค่ะ เพื่อนเราปีที่แล้วก็ไปกับที่นี่เค้าว่าดีค่ะ ดูงานในเวบแล้วก็โอเค เรทดี สถานที่ดี หลังจากตกลงปลงใจกับที่นี่แล้ว เรากับเพื่อนไปที่สำนักงานเลยค่ะ อยู่ที่ราชเทวี
ไปถึงมีพี่มาคุยด้วยแนะนำโครงการ มาพร้อมแผนที่อเมริกากับไอแพดค่ะ กางแผนที่ปุ้ปเราก็จิ้มๆกันค่ะว่าไปตรงนั้นเป็นยังไง งานตรงนี้เป็นยังไงบ้าง พี่เค้าก็จะเปิดไอแพดเอารูปบรรยากาศปีก่อนๆให้ดู แต่วันนั้นเราก็ยังไม่ได้สมัครนะคะ ไปเพื่อไปคุยไขข้อสงสัยค่ะ พี่ที่acadexก็น่ารักมากนะคะ คุยตอบคำถาม ไม่ได้เร่งรัดให้สมัครอะไร
ทีนี้เราก็มาเลือกงานค่ะ นั่งดูงานในเวบ จะมีอยู่ 3 location ราคาต่างกัน ตอนแรกก็สงสัยค่ะว่ามันต่างกันยังไง สรุปก็คือ ต่างกันที่ เอเจนซี่ที่ดูแลเราที่อเมริกาค่ะ แค่นั้นเลย เรท สถานที่ ไม่ได้มีอะไรต่างกันค่ะ
ในส่วนของวิธีเลือกงานของเราคือ ไม่ทำhouse ไม่ทำlife guard ไม่ทำสวนสนุก แล้วจะเหลืออะไรล่ะคะ นอกจากงานร้านอาหาร ทีนี้เรื่องมากไม่พอ ขี้งกด้วย เลือกแต่เรทสูง ยิ่งบวกทิปด้วยยิ่งเข้าตาค่ะ
สุดท้ายเข้ารอบมา 2 ร้านคือ The Yard milkshake กับ The beach house kitchen and cocktail ร้านแรกเข้ารอบมาเพราะหน้าตา milk shake น่ากินมากค่ะ ส่วนร้าน2เข้ารอบเพราะเป็นร้านอาหาร ได้สวัสดิการอาหารด้วย แล้วเราก็กลับไปที่ acadex อีกรอบค่ะ ไปนั่งคุยเกี่ยวกับ2ร้านนี้ พี่เค้าก็เปิดให้ดูว่าร้านเป็นยังไงที่พัก การเดินทาง ร้าน the yard อยู่เป็นห้องพักค่ะ เหมือนหอ มีรถรับส่งแต่ต้องจ่ายเพิ่ม ส่วน beach house อยู่เป็นบ้านเดี่ยวค่ะ ติดทะเล แต่ต้องปั่นจักรยาน แล้วยังไงล่ะคะ บอกแล้วค่ะว่างก555555 เราเลือก beach house ค่ะ ไม่อยากจ่ายค่ารถเพิ่ม
วันนั้นเราสมัครเลยค่ะ ค่าสมัคร 4,900 บาท จองงานเลย ไปกับเพื่อนอีกคน งานที่เดียวกัน หลังจากสมัครไป ก็เข้าสู่ช่วงแห่งความวุ่นวายค่ะ เพราะการดำเนินเอกสารเยอะมากจริงๆ แล้วช่วงนั้นเราใกล้สอบไฟนอลด้วยค่ะ ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่ แต่ยังดีค่ะ acadex ช่วยเราไว้ได้มาก พี่เค้าจะบอกรายละเอียดทุกอย่างชัดเจนว่าต้องยื่นเอกสารอะไร เมื่อไหร่ ต้องทำภายในวันที่เท่าไหร่ ขั้นต่อไปต้องทำอะไร แถมเตือนตลอดด้วยค่ะ เวลาสงสัยอะไรโทรถามได้ตลอดเลยค่ะ หรือจะไลน์ก็ได้
ต่อไปเราต้อง
สัมภาษณ์กับนายจ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ acadexเตรียมความพร้อมให้แล้ว ด้วยการให้เรากับเพื่อนๆไปที่สำนักงานเพื่อซ้อมสัมภาษณ์ค่ะ โดยเตรียมคำถามที่เจอบ่อยๆ ต้องตอบยังไงให้นายจ้างประทับใจ
ซึ่งการสัมภาษณ์กับนายจ้างจะมี 2 แบบค่ะ
แบบแรกคือ นายจ้างจะบินมาที่ไทยเพื่อสัมภาษณ์ตัวต่อตัวค่ะ
แบบที่2 คือการสไกป์คุยกัน
งานเราเป็นแบบที่2ค่ะ การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างราบรื่นค่ะ(เราไม่มีปัญหาเรื่องภาษาค่ะ) แถมเตรียมตัวมาแล้วด้วย ผลคือผ่านค่ะ
ทริคในการสัมภาษณ์ของเรานะคะ อย่าหยุดพูดค่ะ พูดอะไรก็ได้ ยิ่งช่วงท้ายเค้าจะถามว่ามีคำถามอะไรมั้ย ให้ถามอะไรก็ได้ ให้เค้ารู้ว่าเราพูดได้นะ สื่อสารได้ เท่านั้นก็โอเค
หลังจากนั้นมาถึงขั้นตอนที่ชี้เป็นชี้ตายจริงๆแล้วค่ะ ว่าจะได้ไปไม่ได้ไป นั่นคือการ
สัมภาษวีซ่าค่ะ ด่านนี้คือ ไม่ว่าคุณจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน คุณก็มีโอกาสไม่ผ่านค่ะ ก่อนวันนัด ทางacadexให้เราไปที่สำนักงานเพื่อเตรียมเอกสาร และเตรียมความพร้อมค่ะ เตรียมแฟ้ม หนีบคลิป แยกเอกสารให้เรียบร้อย
วันนัดคือเดินตัวปลิวค่ะ เอกสารพร้อม หลังจากเข้ามาในสถานทูตแล้ว ต้องไปหยิบbookletเล่มเล็กๆมาอ่านค่ะ ในนั้นจะเป็น สิทธิที่เราต้องรู้ในขณะที่อยู่ในอเมริกาค่ะ ถ้าเป็นไปได้คือจำให้หมดค่ะ ไม่ยาก ไม่เยอะเกินไป จับใจความสำคัญหลักๆไว้ค่ะ เพราะเค้าจะถามแน่ๆแค่มากหรือน้อย
เพื่อนที่ไปกับเราได้คิวก่อนเราค่ะ ออกมาเล่าให้ฟัง ว่ามีคนไม่ผ่านด้วย ตอนที่เราต่อคิวข้างในก็เห็นเองกับตาค่ะ กลัวไม่ผ่านมาก จนถึงคิวตัวเอง เจอคำถามแรกเข้าไป ชอคเลยค่ะ What’s your favorite color? พอตอบไปแล้ว เค้าก็ถามว่าอ่านสิทธิหรือยัง ลองบอกมาหน่อยเราก็ตอบไปค่ะ จบ ผ่านเฉย ออกมาแบบงงๆค่ะ จริงๆเค้าถามอีกนิดหน่อยแต่ไม่ใช่คำถามที่ยากค่ะ อันนี้ขึ้นอยู่ที่ดวงเราค่ะว่าจะได้คนสัมภาษณ์คนไหน ได้ยินว่าคนที่เจอคำถามยากจริงๆก็มีค่ะ
หลังจากได้วีซ่ามาก็คือสบายใจแล้วค่ะ ลอยลำแล้ว หลังจากนี้สิ่งที่เราต้องทำคือ
การจองตั๋วเครื่องบินค่ะ ซึ่งเราต้องจองกับทางacadexเท่านั้น แต่เอาจริงๆเค้าบังคับแค่บินขาเข้ากับขาออกอเมริกาเท่านั้นค่ะ เพราะทางนั้นต้องการแค่จะแน่ใจว่า เราไปแล้วกลับนะ การจองกับacadexไฟลท์อาจจะแพงกว่าหาเองนิดหน่อยค่ะ แต่เราสามารถหาไฟลท์บินเองแล้วให้ทางนั้นจองให้ได้ เท่าไหร่ก็ว่ากันไป
แต่ก่อนจะจองกันได้ เราต้องแพลนก่อนค่ะว่าจะไปจะกลับเมื่อไหร่ จะเที่ยวนานมั้ยที่ไหนบ้าง ตอนนี้แหละค่ะที่เราได้ค้นพบความคิดน้อยของเรา out of 50 states เราดันไปเลือกรัฐที่จนที่สุดในอเมริกาค่ะ นั่นคือ Alabama 55555
มีที่ไหนเลือกงานก่อนแล้วค่อยมาหาข้อมูลทีหลัง โอ้โหเลย ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ ไม่มีห้าง ความเจริญนี่หาแทบไม่ได้ เรียกง่ายๆว่าชนบทค่ะ ไม่มีที่ท่องเที่ยวอะไรโดดเด่น แล้วยิ่งรัฐข้างๆเป็น Louisiana กับ Floridaค่ะ คือขนาบข้างด้วยเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง แน่นอนว่าคนเยอะทิปเยอะ หางาน2ง่ายแน่ๆ ในหัวตอนนั้นคือ เอาเถอะ เป็นไงเป็นกัน เลือกไปเอง สำหรับใครที่ยังเลือกงานอยู่ เลือกให้รอบคอบกว่าเรานะคะ555555
มาเลือกไฟลท์บินกันต่อค่ะ ตอนแรกว่าจะหาไฟลท์แค่เข้าออกประเทศเหมือนที่คนอื่นเค้าทำค่ะ เพราะมันจะถูกกว่า แต่ความขี้เกียจเราชนะค่ะ จองทุกไฟลท์ผ่านacadexหมดเลย
ขาไปบินจากสุวรรณภูมิ>NRT>Dallas>PNS
ขากลับออกจาก PNS>JFK (เที่ยว 3 วัน) > NRT (เที่ยวต่อที่ญี่ปุ่น 4 วัน) > สุวรรณภูมิ
รวมทั้งหมดประมาณ 4หมื่นกว่าๆค่ะ รวมน้ำหนักกระเป๋า รวมทุกอย่าง เราว่าไม่แพงสำหรับไฟลท์ทั้งหมดนั่น ได้บินกับ Japan airline กับ American airline
เราผ่านทุกขั้นตอนที่สำคัญมาแล้วค่ะ ผ่านการสอบไฟนอลแล้วด้วย พร้อมจะบินมาก เหลือแค่แพคกระเป๋าค่ะ ซื้อทุกอย่างวิถีคนที่มีความเชื่อว่า เหลือดีกว่าขาด ของเยอะมาก ส่วนมากเป็นของกินค่ะ น้ำปลา ซอสหอย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงปรุงรสต่างๆ เอาหม้อหุงเข้าไปได้เอาไปแล้วค่ะ ขนได้ขน แบกได้แบก แต่น้ำหนักกระเป๋า 1 ใบต้องไม่เกิน 23 กก.นี่แหละค่ะปัญหา สุดท้ายเราเลยเอากระเป๋าไป 2 ใบค่ะ เอาของกิน เสื้อผ้าไปเยอะมาก เดี๋ยวตอนท้ายจะสรุปให้ฟังค่ะ ว่าจริงมั้ยที่เค้าบอกกันว่า เสื้อผ้าไม่ต้องเอามา ที่อเมริกาเสื้อผ้าถูก ส่วนอาหารอะไรเอาไปได้เอาไปไม่ได้เราก็จัดตามที่เค้าว่ากันในเนตนี่แหละค่ะ เอาล่ะค่ะ ตั๋วพร้อม วีซ่าพร้อม กระเป๋าพร้อม คนพร้อมกว่า ไปพาร์ทต่อไปกันเลย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ค่าสมัคร ค่าโครงการ ค่าดำเนินเอกสาร ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับรวมกัน ประมาน 150,000 บาทค่ะ
[CR] รีวิว Work and Travel summer 2018 Gulf Shores, Alabama
เราชื่อฝ้ายค่ะ อายุ 21 ปี ตอนนี้เรียนปี 3 คณิตศาสตร์ประกันภัย มหิดล
ซัมเมอร์2018ที่ผ่านมาเราไป w&t ที่ ร้าน The beach house kitchen & cocktail, Gulf shores, Alabama
(มือใหม่ ถ่ายเอง ตัดต่อเอง อาจจะเวียนหัวหน่อยๆ ขออภัยด้วยค่า)
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่า work and travel คืออะไร มันคือโครงการที่ให้เราสามารถไปทำงานอย่างถูกกฎหมายและท่องเที่ยวในอเมริกานานเท่าที่วีซ่ากำหนด และหลังจากนั้นเราสามารถอยู่ต่อได้นาน 1 เดือนค่ะ ซึ่งวีซ่าที่เราถืออยู่คือวีซ่า J1 นะคะ เป็นวีซ่าสำหรับนักเรียน นักศึกษาค่ะ
ขอแบ่งเป็น 2 พาร์ทนะคะ คือ ตอนที่อยู่ไทย และ ตอนทำงานค่ะ
เริ่มจากตอนที่อยู่ไทยค่ะ ปี 2 เทอม 2 ที่ผ่านมา คณะเราปิดเทอมค่อนข้างเร็วค่ะ เราเลยตัดสินใจไปwork&travel เราเริ่มจากเลือก agency ค่ะ ตอนนั้นประมาณเดือนตุลาคม ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้าสำหรับคนที่ยังไม่สมัครนะคะ หลายagencyปิดรับสมัครไปแล้ว หรือไม่หลายๆงานก็เต็มไปแล้วค่ะ และด้วยความขี้เกียจและความรีบของเรา เราเลือกแค่จากที่เรารู้จักค่ะ
ตัวเลือกตอนนั้นมี O.., A.L., K.W., Acadex ซึ่ง 3 ตัวแรกโดนปัดทิ้งไปเพราะ อันแรกคนรู้จักเราไปมาปีที่แล้วเล่าให้ฟังว่าตอนกดเลือกงานต้องลุ้นค่ะว่าจะกดได้ไม่ได้ มีแนวโน้มจะไม่ได้งานที่อยากได้ ส่วนอัน 2 แพงค่ะ 55555 และอันสุดท้ายเค้าปิดวัดระดับภาษาไปแล้วค่ะ สมัครไม่ทัน
แล้วเราก็มาจบที่ acadex ค่ะ เพื่อนเราปีที่แล้วก็ไปกับที่นี่เค้าว่าดีค่ะ ดูงานในเวบแล้วก็โอเค เรทดี สถานที่ดี หลังจากตกลงปลงใจกับที่นี่แล้ว เรากับเพื่อนไปที่สำนักงานเลยค่ะ อยู่ที่ราชเทวี
ไปถึงมีพี่มาคุยด้วยแนะนำโครงการ มาพร้อมแผนที่อเมริกากับไอแพดค่ะ กางแผนที่ปุ้ปเราก็จิ้มๆกันค่ะว่าไปตรงนั้นเป็นยังไง งานตรงนี้เป็นยังไงบ้าง พี่เค้าก็จะเปิดไอแพดเอารูปบรรยากาศปีก่อนๆให้ดู แต่วันนั้นเราก็ยังไม่ได้สมัครนะคะ ไปเพื่อไปคุยไขข้อสงสัยค่ะ พี่ที่acadexก็น่ารักมากนะคะ คุยตอบคำถาม ไม่ได้เร่งรัดให้สมัครอะไร
ทีนี้เราก็มาเลือกงานค่ะ นั่งดูงานในเวบ จะมีอยู่ 3 location ราคาต่างกัน ตอนแรกก็สงสัยค่ะว่ามันต่างกันยังไง สรุปก็คือ ต่างกันที่ เอเจนซี่ที่ดูแลเราที่อเมริกาค่ะ แค่นั้นเลย เรท สถานที่ ไม่ได้มีอะไรต่างกันค่ะ
ในส่วนของวิธีเลือกงานของเราคือ ไม่ทำhouse ไม่ทำlife guard ไม่ทำสวนสนุก แล้วจะเหลืออะไรล่ะคะ นอกจากงานร้านอาหาร ทีนี้เรื่องมากไม่พอ ขี้งกด้วย เลือกแต่เรทสูง ยิ่งบวกทิปด้วยยิ่งเข้าตาค่ะ
สุดท้ายเข้ารอบมา 2 ร้านคือ The Yard milkshake กับ The beach house kitchen and cocktail ร้านแรกเข้ารอบมาเพราะหน้าตา milk shake น่ากินมากค่ะ ส่วนร้าน2เข้ารอบเพราะเป็นร้านอาหาร ได้สวัสดิการอาหารด้วย แล้วเราก็กลับไปที่ acadex อีกรอบค่ะ ไปนั่งคุยเกี่ยวกับ2ร้านนี้ พี่เค้าก็เปิดให้ดูว่าร้านเป็นยังไงที่พัก การเดินทาง ร้าน the yard อยู่เป็นห้องพักค่ะ เหมือนหอ มีรถรับส่งแต่ต้องจ่ายเพิ่ม ส่วน beach house อยู่เป็นบ้านเดี่ยวค่ะ ติดทะเล แต่ต้องปั่นจักรยาน แล้วยังไงล่ะคะ บอกแล้วค่ะว่างก555555 เราเลือก beach house ค่ะ ไม่อยากจ่ายค่ารถเพิ่ม
วันนั้นเราสมัครเลยค่ะ ค่าสมัคร 4,900 บาท จองงานเลย ไปกับเพื่อนอีกคน งานที่เดียวกัน หลังจากสมัครไป ก็เข้าสู่ช่วงแห่งความวุ่นวายค่ะ เพราะการดำเนินเอกสารเยอะมากจริงๆ แล้วช่วงนั้นเราใกล้สอบไฟนอลด้วยค่ะ ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่ แต่ยังดีค่ะ acadex ช่วยเราไว้ได้มาก พี่เค้าจะบอกรายละเอียดทุกอย่างชัดเจนว่าต้องยื่นเอกสารอะไร เมื่อไหร่ ต้องทำภายในวันที่เท่าไหร่ ขั้นต่อไปต้องทำอะไร แถมเตือนตลอดด้วยค่ะ เวลาสงสัยอะไรโทรถามได้ตลอดเลยค่ะ หรือจะไลน์ก็ได้
ต่อไปเราต้องสัมภาษณ์กับนายจ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ acadexเตรียมความพร้อมให้แล้ว ด้วยการให้เรากับเพื่อนๆไปที่สำนักงานเพื่อซ้อมสัมภาษณ์ค่ะ โดยเตรียมคำถามที่เจอบ่อยๆ ต้องตอบยังไงให้นายจ้างประทับใจ
ซึ่งการสัมภาษณ์กับนายจ้างจะมี 2 แบบค่ะ
แบบแรกคือ นายจ้างจะบินมาที่ไทยเพื่อสัมภาษณ์ตัวต่อตัวค่ะ
แบบที่2 คือการสไกป์คุยกัน
งานเราเป็นแบบที่2ค่ะ การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างราบรื่นค่ะ(เราไม่มีปัญหาเรื่องภาษาค่ะ) แถมเตรียมตัวมาแล้วด้วย ผลคือผ่านค่ะ
ทริคในการสัมภาษณ์ของเรานะคะ อย่าหยุดพูดค่ะ พูดอะไรก็ได้ ยิ่งช่วงท้ายเค้าจะถามว่ามีคำถามอะไรมั้ย ให้ถามอะไรก็ได้ ให้เค้ารู้ว่าเราพูดได้นะ สื่อสารได้ เท่านั้นก็โอเค
หลังจากนั้นมาถึงขั้นตอนที่ชี้เป็นชี้ตายจริงๆแล้วค่ะ ว่าจะได้ไปไม่ได้ไป นั่นคือการ สัมภาษวีซ่าค่ะ ด่านนี้คือ ไม่ว่าคุณจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน คุณก็มีโอกาสไม่ผ่านค่ะ ก่อนวันนัด ทางacadexให้เราไปที่สำนักงานเพื่อเตรียมเอกสาร และเตรียมความพร้อมค่ะ เตรียมแฟ้ม หนีบคลิป แยกเอกสารให้เรียบร้อย
วันนัดคือเดินตัวปลิวค่ะ เอกสารพร้อม หลังจากเข้ามาในสถานทูตแล้ว ต้องไปหยิบbookletเล่มเล็กๆมาอ่านค่ะ ในนั้นจะเป็น สิทธิที่เราต้องรู้ในขณะที่อยู่ในอเมริกาค่ะ ถ้าเป็นไปได้คือจำให้หมดค่ะ ไม่ยาก ไม่เยอะเกินไป จับใจความสำคัญหลักๆไว้ค่ะ เพราะเค้าจะถามแน่ๆแค่มากหรือน้อย
เพื่อนที่ไปกับเราได้คิวก่อนเราค่ะ ออกมาเล่าให้ฟัง ว่ามีคนไม่ผ่านด้วย ตอนที่เราต่อคิวข้างในก็เห็นเองกับตาค่ะ กลัวไม่ผ่านมาก จนถึงคิวตัวเอง เจอคำถามแรกเข้าไป ชอคเลยค่ะ What’s your favorite color? พอตอบไปแล้ว เค้าก็ถามว่าอ่านสิทธิหรือยัง ลองบอกมาหน่อยเราก็ตอบไปค่ะ จบ ผ่านเฉย ออกมาแบบงงๆค่ะ จริงๆเค้าถามอีกนิดหน่อยแต่ไม่ใช่คำถามที่ยากค่ะ อันนี้ขึ้นอยู่ที่ดวงเราค่ะว่าจะได้คนสัมภาษณ์คนไหน ได้ยินว่าคนที่เจอคำถามยากจริงๆก็มีค่ะ
หลังจากได้วีซ่ามาก็คือสบายใจแล้วค่ะ ลอยลำแล้ว หลังจากนี้สิ่งที่เราต้องทำคือการจองตั๋วเครื่องบินค่ะ ซึ่งเราต้องจองกับทางacadexเท่านั้น แต่เอาจริงๆเค้าบังคับแค่บินขาเข้ากับขาออกอเมริกาเท่านั้นค่ะ เพราะทางนั้นต้องการแค่จะแน่ใจว่า เราไปแล้วกลับนะ การจองกับacadexไฟลท์อาจจะแพงกว่าหาเองนิดหน่อยค่ะ แต่เราสามารถหาไฟลท์บินเองแล้วให้ทางนั้นจองให้ได้ เท่าไหร่ก็ว่ากันไป
แต่ก่อนจะจองกันได้ เราต้องแพลนก่อนค่ะว่าจะไปจะกลับเมื่อไหร่ จะเที่ยวนานมั้ยที่ไหนบ้าง ตอนนี้แหละค่ะที่เราได้ค้นพบความคิดน้อยของเรา out of 50 states เราดันไปเลือกรัฐที่จนที่สุดในอเมริกาค่ะ นั่นคือ Alabama 55555
มีที่ไหนเลือกงานก่อนแล้วค่อยมาหาข้อมูลทีหลัง โอ้โหเลย ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ ไม่มีห้าง ความเจริญนี่หาแทบไม่ได้ เรียกง่ายๆว่าชนบทค่ะ ไม่มีที่ท่องเที่ยวอะไรโดดเด่น แล้วยิ่งรัฐข้างๆเป็น Louisiana กับ Floridaค่ะ คือขนาบข้างด้วยเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง แน่นอนว่าคนเยอะทิปเยอะ หางาน2ง่ายแน่ๆ ในหัวตอนนั้นคือ เอาเถอะ เป็นไงเป็นกัน เลือกไปเอง สำหรับใครที่ยังเลือกงานอยู่ เลือกให้รอบคอบกว่าเรานะคะ555555
มาเลือกไฟลท์บินกันต่อค่ะ ตอนแรกว่าจะหาไฟลท์แค่เข้าออกประเทศเหมือนที่คนอื่นเค้าทำค่ะ เพราะมันจะถูกกว่า แต่ความขี้เกียจเราชนะค่ะ จองทุกไฟลท์ผ่านacadexหมดเลย
ขาไปบินจากสุวรรณภูมิ>NRT>Dallas>PNS
ขากลับออกจาก PNS>JFK (เที่ยว 3 วัน) > NRT (เที่ยวต่อที่ญี่ปุ่น 4 วัน) > สุวรรณภูมิ
รวมทั้งหมดประมาณ 4หมื่นกว่าๆค่ะ รวมน้ำหนักกระเป๋า รวมทุกอย่าง เราว่าไม่แพงสำหรับไฟลท์ทั้งหมดนั่น ได้บินกับ Japan airline กับ American airline
เราผ่านทุกขั้นตอนที่สำคัญมาแล้วค่ะ ผ่านการสอบไฟนอลแล้วด้วย พร้อมจะบินมาก เหลือแค่แพคกระเป๋าค่ะ ซื้อทุกอย่างวิถีคนที่มีความเชื่อว่า เหลือดีกว่าขาด ของเยอะมาก ส่วนมากเป็นของกินค่ะ น้ำปลา ซอสหอย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงปรุงรสต่างๆ เอาหม้อหุงเข้าไปได้เอาไปแล้วค่ะ ขนได้ขน แบกได้แบก แต่น้ำหนักกระเป๋า 1 ใบต้องไม่เกิน 23 กก.นี่แหละค่ะปัญหา สุดท้ายเราเลยเอากระเป๋าไป 2 ใบค่ะ เอาของกิน เสื้อผ้าไปเยอะมาก เดี๋ยวตอนท้ายจะสรุปให้ฟังค่ะ ว่าจริงมั้ยที่เค้าบอกกันว่า เสื้อผ้าไม่ต้องเอามา ที่อเมริกาเสื้อผ้าถูก ส่วนอาหารอะไรเอาไปได้เอาไปไม่ได้เราก็จัดตามที่เค้าว่ากันในเนตนี่แหละค่ะ เอาล่ะค่ะ ตั๋วพร้อม วีซ่าพร้อม กระเป๋าพร้อม คนพร้อมกว่า ไปพาร์ทต่อไปกันเลย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ค่าสมัคร ค่าโครงการ ค่าดำเนินเอกสาร ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับรวมกัน ประมาน 150,000 บาทค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้