...เคยคิดหรือไม่ ว่าเราจะทำงานหาเงินถึงเมื่อไร?
ผมเคยคิดกับภรรยาเล่นๆว่า เราจะทำงานแบบที่เป็นหนูถีบจักรกันจนอายุ50ปีเนอะ แล้วจะเกษียณตัวเรา2คน ไปอยู่ในโลกที่ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อเงิน ที่ต้องมารองรับความสะดวกสบาย แต่จะไปใช้ชีวิตเรียบๆง่ายๆ ตามอัตภาพของเรา ย้อนกลับไปรูปแบบการใช้ชีวิตของเราไม่หวือหวา ไปออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส ปั่นจักรยาน ทานข้าวนอกบ้าน ออกเที่ยวต่างจังหวัดได้ตามที่นึกอยากจะไป นั้นเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่คิดที่จะมีเจ้าตัวน้อย
แต่เมื่อมีเจ้าตัวน้อยด้วยความตั้งใจ อยากให้เค้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว และเมื่อมีเค้าขึ้นมา แผนการทุกอย่างที่วางไว้ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยายด้วยความสมัครใจ แผนเกษียณ คงต้องยกเลิก แผนตอนนี้แค่ไปทานข้าว2คนยังยากส์ เพราะไม่อยากทิ้งเค้าไว้ให้อยู่กับพี่เลี้ยง และคุณยาย(ด้วยความที่เราเป็นคนขี้เกรงใจ) ทำได้คือซื้ออะไรที่อยากกลับมาทานที่บ้านกับเค้า แค่นี้ก็มีความสุข
เราเริ่มคิดอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เค้ามีความสุขบนโลกใบนี้มากที่สุด และสิ่งเดียวที่คิดได้คือ การให้เวลา และพูดคุยกับเค้าให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ นั้นคือการเลี้ยงเค้าเองโดยไม่จ้างพี่เลี้ยง และอยู่กับเค้าในทุกวัน และแทบจะ24ชม. ภรรยาผมก็พยายามหากิจกรรมเพื่อให้เค้าได้มีพัฒนาการตามวัยที่ควรจะเป็น จนตอนนี้อาจจะเกินวัยสักนิด เพราะด้วยความที่เค้าอยู่กับเราตลอด เจอครู เจอคนมากหน่อย เริ่มพูดตอบโต้แบบมีเหตุผล และมีวิธีคิด สัมพันธ์ เชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ แบบที่คิดว่า “ลูกเราคิดได้แบบนี้เลยหรือ?” คิดไปก็ยิ้มไปเพราะบางครั้งคิดไม่ทันลูกจริงๆนะ
จนตอนนี้เค้ามีอายุ1ขวบ11เดือน เริ่มโต เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น เริ่มมีการเถียง ว่าไม่จะแบบนั้น ใช่จะเอาแบบนี้ เรา2คนก็ต้องเริ่มอธิบายแบบมีเหตุผลบ้าง บังคับบ้างตามสถานการณ์ ยังไม่รู้หรอกว่าอนาคตเค้าจะเป็นอย่างไร แต่เรา2คน ผมและภรรยา เริ่มรู้อนาคตตัวเองแล้วว่าต้องทำอะไร เพื่อให้เค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่ต้องไม่ทำให้เค้ารู้สึกว่าเราโอบอุ้ม หรือสปอร์ยเค้า จนเค้าทำอะไรไม่เป็น
อย่าถามชีวิตเกษียณ อย่าถามชีวิตอิสระ เพราะมันยากจริงๆ คงต้องใช้ประโยคที่ว่า “คนไม่มีลูก ไม่รู้ความรู้สึกนี้หรอก”
บันทึกไว้อ่านทุกปี เผื่อว่าบางวันเจ้าตัวน้อยณมนได้หลงมาอ่าน เค้าคงรู้ว่าเรา2คน วางอะไรให้เค้าบ้าง
รักจริงรักจัง #ณมน #สาวบางพลี
บึนทึกความคิดและช่วงเวลา
ผมเคยคิดกับภรรยาเล่นๆว่า เราจะทำงานแบบที่เป็นหนูถีบจักรกันจนอายุ50ปีเนอะ แล้วจะเกษียณตัวเรา2คน ไปอยู่ในโลกที่ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อเงิน ที่ต้องมารองรับความสะดวกสบาย แต่จะไปใช้ชีวิตเรียบๆง่ายๆ ตามอัตภาพของเรา ย้อนกลับไปรูปแบบการใช้ชีวิตของเราไม่หวือหวา ไปออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส ปั่นจักรยาน ทานข้าวนอกบ้าน ออกเที่ยวต่างจังหวัดได้ตามที่นึกอยากจะไป นั้นเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่คิดที่จะมีเจ้าตัวน้อย
แต่เมื่อมีเจ้าตัวน้อยด้วยความตั้งใจ อยากให้เค้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว และเมื่อมีเค้าขึ้นมา แผนการทุกอย่างที่วางไว้ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยายด้วยความสมัครใจ แผนเกษียณ คงต้องยกเลิก แผนตอนนี้แค่ไปทานข้าว2คนยังยากส์ เพราะไม่อยากทิ้งเค้าไว้ให้อยู่กับพี่เลี้ยง และคุณยาย(ด้วยความที่เราเป็นคนขี้เกรงใจ) ทำได้คือซื้ออะไรที่อยากกลับมาทานที่บ้านกับเค้า แค่นี้ก็มีความสุข
เราเริ่มคิดอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เค้ามีความสุขบนโลกใบนี้มากที่สุด และสิ่งเดียวที่คิดได้คือ การให้เวลา และพูดคุยกับเค้าให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ นั้นคือการเลี้ยงเค้าเองโดยไม่จ้างพี่เลี้ยง และอยู่กับเค้าในทุกวัน และแทบจะ24ชม. ภรรยาผมก็พยายามหากิจกรรมเพื่อให้เค้าได้มีพัฒนาการตามวัยที่ควรจะเป็น จนตอนนี้อาจจะเกินวัยสักนิด เพราะด้วยความที่เค้าอยู่กับเราตลอด เจอครู เจอคนมากหน่อย เริ่มพูดตอบโต้แบบมีเหตุผล และมีวิธีคิด สัมพันธ์ เชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ แบบที่คิดว่า “ลูกเราคิดได้แบบนี้เลยหรือ?” คิดไปก็ยิ้มไปเพราะบางครั้งคิดไม่ทันลูกจริงๆนะ
จนตอนนี้เค้ามีอายุ1ขวบ11เดือน เริ่มโต เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น เริ่มมีการเถียง ว่าไม่จะแบบนั้น ใช่จะเอาแบบนี้ เรา2คนก็ต้องเริ่มอธิบายแบบมีเหตุผลบ้าง บังคับบ้างตามสถานการณ์ ยังไม่รู้หรอกว่าอนาคตเค้าจะเป็นอย่างไร แต่เรา2คน ผมและภรรยา เริ่มรู้อนาคตตัวเองแล้วว่าต้องทำอะไร เพื่อให้เค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่ต้องไม่ทำให้เค้ารู้สึกว่าเราโอบอุ้ม หรือสปอร์ยเค้า จนเค้าทำอะไรไม่เป็น
อย่าถามชีวิตเกษียณ อย่าถามชีวิตอิสระ เพราะมันยากจริงๆ คงต้องใช้ประโยคที่ว่า “คนไม่มีลูก ไม่รู้ความรู้สึกนี้หรอก”
บันทึกไว้อ่านทุกปี เผื่อว่าบางวันเจ้าตัวน้อยณมนได้หลงมาอ่าน เค้าคงรู้ว่าเรา2คน วางอะไรให้เค้าบ้าง
รักจริงรักจัง #ณมน #สาวบางพลี