สวัสดีค่ะ เราเองเป็นเจ้าของกิจการรุ่นที่2 ซึ่งกิจการของเราอยู่ในต่างจังหวัด นอกตัวอำเภอ เรียกง่ายๆว่าเป็นเจ้าของกิจการที่อยู่หลังเขาแท้ๆค่ะ ระหว่างที่กลับมาทำกิจการที่บ้านได้ 7 ปี พอมีประสบการณ์และเห็นการเปลี่ยนแปลงเยอะมากๆ เลยอยากแบ่งปัน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ เริ่มเลยนะคะ
1. อย่าขายสินค้าเงินเชื่อเด็ดขาด - ถ้าเป็นยุคพ่อแม่เราคงสามารถขายเงินเชื่อได้สบายใจ แต่ตอนนี้ควรหยุดให้เด็ดขาดค่ะ แต่สามารถหันไปใช้การรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแทน ถึงเราจะโดนหักค่าธรรมเนียมถึง 2.5 % แต่ก็ดีกว่าแบกความเสี่ยงไว้เอง หากอัตรากำไรเรามากกว่า 2.5 % รับชำระผ่านบัตรเครดิตดีกว่าค่ะ
หากแยกตามนิสัยของลูกค้าแต่ละช่วงวัย ลูกค้าที่อายุ 50 ขึ้นไปจะรักษาคำพูด มากๆ กลัวการผิดนัดชำระหนี้สุดๆ และหากได้เงินมา เขาจะเลือกที่จะ ใช้หนี้สินให้หมดก่อน แล้วถึงใช้ที่เหลือ เพื่อรักษาเครดิตของตัวเขาเองไว้ค่ะ (ลูกค้าแบบนี้ เหลือน้อยลงเรื่อยๆจากอัตราการตายค่ะ)
ลูกค้าที่อายุ 30 ขึ้นไป ส่วนมากจะรักการมีหนี้สินค่ะ คือ เป็นหนี้ทุกทิศทาง ทำให้โอกาสจะผิดนัดชำระสูงมาก และการเลือกชำระหนี้ เขาจะเลือกชำระเจ้าหนี้ที่โหดๆดอกเบี้ยแพงๆก่อนค่ะ ส่วนร้านไหนที่ใจดีดี ไม่คิดดอก เขาก็จะ เมินเฉยถึงขั้น ไม่ใช้หนี้เราเลย เพราะรู้ว่าเราทำอะไรเขาไม่ได้มาก จากกฎหมายการทวงหนี้ในปัจจุบันที่ เราแทบจะทวงหนี้เขาไม่ได้เลย มักจะมีคำพูดว่า เงินแค่ 3000 อยากได้ไปฟ้องเอา อะไรประมาณนี้ ค่ะ เพราะฉนั้น ถ้าลูกค้ามาอ้อนวอนขอ อย่าใจอ่อนค่ะ บอกเขาเลยว่า ให้ไปเปิดบัตรเครดิตกับธนาคาร แล้วเอามารูดเลย เราไม่คิดเพิ่ม
2. อย่าขายของชำ - ร้านของชำตอนนี้ขายกำไรน้อยนะคะ แล้วยังยากอีกด้วย เนื่องจากการแข่งขันของคนที่กลับมาจากในเมืองแล้วมาเปิดร้านชำกันเยอะมาก จากเดิมในหมู่บ้านเคยมีแค่ร้านเดียว ตอนนี้ เพิ่มขึ้นจนกลายเป็น 5 - 8 ร้านในหมู่บ้านเดิม หากทุกร้านทำได้ดีเท่ากัน นั่นหมายถึงกำไร หรือ รายได้ อาจต้อง หาร 5 หรือ หาร 8 จากที่เคยอยู่ได้ คราวนี้รายรับไม่พอค่าไฟแน่นอนค่ะ และจากร้านในระดับเดียวกันที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมี ร้านที่มีศักยภาพสูง ลงมาในชุมชนด้วย จากเดิม เมื่อ 5 ปีที่แล้วทั้งจังหวัด มี 7 แค่ 3 สาขา ตอนนี้มีเกือบทุก ชุมชนขนาดกลางแล้วค่ะ ยังค่ะยังไม่พอ ยังมี CJ express และโลตัส เข้ามาอีก .... สมรภูมิดุเดือดเหลือเกินค่ะ
3. ลักษณะการใช้เงินของคนต่างจังหวัดในปัจจุบันเปลี่ยนไปมากค่ะ - ทุกคนให้ความสำคัญกับความสุขและคุณภาพชีวิตกันมาก และการเดินห้างเพื่อซื้อของ หรือ การกิน KFC กลายเป็นความสุขในครอบครัว และเนื่องจากทุกครอบครัวมี รถเป็นของตัวเอง ทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น และถึงแม้ร้านในหมู่บ้านจะขายถูกกว่า ห้าง ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไปค่ะ ทุกคนอยากที่จะค่อยๆเดินเลือกสินค้าอย่างมีความสุข ในร้านที่ติดแอร์เย็น สบาย พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส มีสินค้าให้เลือกมากมาย และก่อนกลับบ้านเหมือนเป็นธรรมเนียม ที่ทุกครอบครัวต้องกิน KFC และซื้อ โดนัส กลับบ้าน - เงินในการเป๋าของคนส่วนมาก มันวิ่งไปหาที่ๆให้ความสุขเขาที่สุดค่ะ
4. อย่าต่อต้านความเจริญ แต่ให้มองหาช่องว่า และเรียนรู้จากร้านที่ขายดี - เมื่อมี 7 มาตั้งในชุมชน ร้านแถวนั้นจะเกิดอาการหดหู่ทันที แต่ให้เปลี่ยนความคิดใหม่ ว่าตรงนั้นจะเป็นทำเลทองที่คนต้องมา หน้าที่เราคือหาว่าจะขายอะไรได้บ้างที่ 7 ไม่ได้ขาย จากการสังเกตุ ร้านทุกอย่าง 20 บาทคือเหมาะมาก แต่ร้าน 20 ใครๆก็เปิด เยอะแยะไปหมด แต่ร้านที่จะขายดี จนเจ้าของรวยได้ก็มี ยิ่งอยู่ติด 7 ยิ่งเหมาะมาก แต่ร้านนั้นต้อง ติดแอร์ เรียงของเป็นระบียบ สะอาด มีสินค้าหลากหลาย และมีอะไรใหม่ๆมาขายเสมอ ไฟในร้านต้องสว่าง พูดง่ายๆว่า ทำคล้าย 7 แต่เราขายอย่างอื่น ..... จะกี่ร้านที่ขายแนวนี้ เห็นขายดีคนแน่นร้าน ขยายร้านอย่างต่อเนื่องจริงค่ะ
5. อย่ากลัวการแข่งขัน - เถ้าแก่ส่วนมากโตมาในยุคที่การแข่งขันต่ำมาก สมัยพ่อแม่ ร้านค้าน้อยมาก เพราะการหาเงินทุนมาทำกิจการมันยากสุดๆ แต่สมัยนี้คนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายมาก รวมทั้งราคาที่ดินที่แพงขึ้น จากเมื่อ5 ปีที่แล้ว แถวบ้านไร่ละแค่ 30000 - 50000 บาท แต่ตอนนี้ราคาไปถึงไร่ละ 150000 - 300000 บาทแล้วค่ะ ทำให้เกิดการขายที่ให้นายทุนกันเยอะขึ้นแล้วได้เงินล้าน มาลงทุน จากเดิมร้านขายวัสดุก่อสร้างคือ มีน้อยมากเพราะต้องใช้เงินลงทุนเยอะมาก ยากที่จะหามาเริ่มธุรกิจได้ แต่ตอนนี้ใครๆก็อยากขายวัสดุก่อสร้าง เพราะคิดว่า เถ้าแก่วัสดุก่อสร้างรวยทุกคน ... ใช่ค่ะการแข่งขันอันดุเดือดมา ส่วนมากสู้กันที่ราคา และคนที่ได้ประโยชน์คือลูกค้านี่เอง ตัวอย่างนึงที่ตกใจมาก คือร้านขายวัสดุก่อสร้างในหมู่บ้าน ขายแผ่นเมทัลชีต เมตรละ 250 บาท(เมื่อ7ปีที่แล้ว) สมัยนั้นอินเทอร์เน็ตและสมาทโฟนไม่ทั่วถึง ทำให้เปรียบเทียบราคาได้ยากมาก คนละแวกนั้นก็ซื้อ จนแกขยายโรงงานภายใน1ปีและออกรถเบนซ์ในปีนั้น และเมื่อแกขยายโรงรีดแผ่นเสร็จ ดันมีร้านมาเปิดใหม่ ซึ่งขายเฉพาะแผ่นเมทัลชีตเลย ในราคาเมตรละ 120 บาท รวมทั้งมีสีให้เลือกเยอะ รูปแบบเยอะ ความหนาหลายแบบ ส่งไว ส่งฟรี และจุดนี้ คือจุดเปลี่ยนทันที ใครจะซื้อของที่เหมือนกันในราคาที่แพงกว่า เท่าตัวอีกต่อไป และลูกค้าเลยฝังใจว่าร้านนี้ขายของแพง ... จะชนะได้ให้แข่งกัน ให้ความคุ้มค่า ความสะดวก ความสุข แก่ลูกค้าแล้วเราอยู่ได้ พัฒนามองหาความต้องการของลูกค้าตลอดเวลา สู้ได้แน่นอน
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกิจการทุกคนนะคะ หวังว่าจะมีประโยชน์บ้าง เอาไว้คราวหน้าจะมาเล่าว่า จากการสังเกตุการใช้เงินของชาวบ้าน เขาซื้ออะไรกันบ้าง และซื้อราคาขนาดไหนค่ะ 🐱
เป็นเถ้าแก่บ้านนอก ทำอย่างไงให้รอด ในการเปลี่ยนแปลง
1. อย่าขายสินค้าเงินเชื่อเด็ดขาด - ถ้าเป็นยุคพ่อแม่เราคงสามารถขายเงินเชื่อได้สบายใจ แต่ตอนนี้ควรหยุดให้เด็ดขาดค่ะ แต่สามารถหันไปใช้การรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแทน ถึงเราจะโดนหักค่าธรรมเนียมถึง 2.5 % แต่ก็ดีกว่าแบกความเสี่ยงไว้เอง หากอัตรากำไรเรามากกว่า 2.5 % รับชำระผ่านบัตรเครดิตดีกว่าค่ะ
หากแยกตามนิสัยของลูกค้าแต่ละช่วงวัย ลูกค้าที่อายุ 50 ขึ้นไปจะรักษาคำพูด มากๆ กลัวการผิดนัดชำระหนี้สุดๆ และหากได้เงินมา เขาจะเลือกที่จะ ใช้หนี้สินให้หมดก่อน แล้วถึงใช้ที่เหลือ เพื่อรักษาเครดิตของตัวเขาเองไว้ค่ะ (ลูกค้าแบบนี้ เหลือน้อยลงเรื่อยๆจากอัตราการตายค่ะ)
ลูกค้าที่อายุ 30 ขึ้นไป ส่วนมากจะรักการมีหนี้สินค่ะ คือ เป็นหนี้ทุกทิศทาง ทำให้โอกาสจะผิดนัดชำระสูงมาก และการเลือกชำระหนี้ เขาจะเลือกชำระเจ้าหนี้ที่โหดๆดอกเบี้ยแพงๆก่อนค่ะ ส่วนร้านไหนที่ใจดีดี ไม่คิดดอก เขาก็จะ เมินเฉยถึงขั้น ไม่ใช้หนี้เราเลย เพราะรู้ว่าเราทำอะไรเขาไม่ได้มาก จากกฎหมายการทวงหนี้ในปัจจุบันที่ เราแทบจะทวงหนี้เขาไม่ได้เลย มักจะมีคำพูดว่า เงินแค่ 3000 อยากได้ไปฟ้องเอา อะไรประมาณนี้ ค่ะ เพราะฉนั้น ถ้าลูกค้ามาอ้อนวอนขอ อย่าใจอ่อนค่ะ บอกเขาเลยว่า ให้ไปเปิดบัตรเครดิตกับธนาคาร แล้วเอามารูดเลย เราไม่คิดเพิ่ม
2. อย่าขายของชำ - ร้านของชำตอนนี้ขายกำไรน้อยนะคะ แล้วยังยากอีกด้วย เนื่องจากการแข่งขันของคนที่กลับมาจากในเมืองแล้วมาเปิดร้านชำกันเยอะมาก จากเดิมในหมู่บ้านเคยมีแค่ร้านเดียว ตอนนี้ เพิ่มขึ้นจนกลายเป็น 5 - 8 ร้านในหมู่บ้านเดิม หากทุกร้านทำได้ดีเท่ากัน นั่นหมายถึงกำไร หรือ รายได้ อาจต้อง หาร 5 หรือ หาร 8 จากที่เคยอยู่ได้ คราวนี้รายรับไม่พอค่าไฟแน่นอนค่ะ และจากร้านในระดับเดียวกันที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมี ร้านที่มีศักยภาพสูง ลงมาในชุมชนด้วย จากเดิม เมื่อ 5 ปีที่แล้วทั้งจังหวัด มี 7 แค่ 3 สาขา ตอนนี้มีเกือบทุก ชุมชนขนาดกลางแล้วค่ะ ยังค่ะยังไม่พอ ยังมี CJ express และโลตัส เข้ามาอีก .... สมรภูมิดุเดือดเหลือเกินค่ะ
3. ลักษณะการใช้เงินของคนต่างจังหวัดในปัจจุบันเปลี่ยนไปมากค่ะ - ทุกคนให้ความสำคัญกับความสุขและคุณภาพชีวิตกันมาก และการเดินห้างเพื่อซื้อของ หรือ การกิน KFC กลายเป็นความสุขในครอบครัว และเนื่องจากทุกครอบครัวมี รถเป็นของตัวเอง ทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น และถึงแม้ร้านในหมู่บ้านจะขายถูกกว่า ห้าง ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไปค่ะ ทุกคนอยากที่จะค่อยๆเดินเลือกสินค้าอย่างมีความสุข ในร้านที่ติดแอร์เย็น สบาย พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส มีสินค้าให้เลือกมากมาย และก่อนกลับบ้านเหมือนเป็นธรรมเนียม ที่ทุกครอบครัวต้องกิน KFC และซื้อ โดนัส กลับบ้าน - เงินในการเป๋าของคนส่วนมาก มันวิ่งไปหาที่ๆให้ความสุขเขาที่สุดค่ะ
4. อย่าต่อต้านความเจริญ แต่ให้มองหาช่องว่า และเรียนรู้จากร้านที่ขายดี - เมื่อมี 7 มาตั้งในชุมชน ร้านแถวนั้นจะเกิดอาการหดหู่ทันที แต่ให้เปลี่ยนความคิดใหม่ ว่าตรงนั้นจะเป็นทำเลทองที่คนต้องมา หน้าที่เราคือหาว่าจะขายอะไรได้บ้างที่ 7 ไม่ได้ขาย จากการสังเกตุ ร้านทุกอย่าง 20 บาทคือเหมาะมาก แต่ร้าน 20 ใครๆก็เปิด เยอะแยะไปหมด แต่ร้านที่จะขายดี จนเจ้าของรวยได้ก็มี ยิ่งอยู่ติด 7 ยิ่งเหมาะมาก แต่ร้านนั้นต้อง ติดแอร์ เรียงของเป็นระบียบ สะอาด มีสินค้าหลากหลาย และมีอะไรใหม่ๆมาขายเสมอ ไฟในร้านต้องสว่าง พูดง่ายๆว่า ทำคล้าย 7 แต่เราขายอย่างอื่น ..... จะกี่ร้านที่ขายแนวนี้ เห็นขายดีคนแน่นร้าน ขยายร้านอย่างต่อเนื่องจริงค่ะ
5. อย่ากลัวการแข่งขัน - เถ้าแก่ส่วนมากโตมาในยุคที่การแข่งขันต่ำมาก สมัยพ่อแม่ ร้านค้าน้อยมาก เพราะการหาเงินทุนมาทำกิจการมันยากสุดๆ แต่สมัยนี้คนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายมาก รวมทั้งราคาที่ดินที่แพงขึ้น จากเมื่อ5 ปีที่แล้ว แถวบ้านไร่ละแค่ 30000 - 50000 บาท แต่ตอนนี้ราคาไปถึงไร่ละ 150000 - 300000 บาทแล้วค่ะ ทำให้เกิดการขายที่ให้นายทุนกันเยอะขึ้นแล้วได้เงินล้าน มาลงทุน จากเดิมร้านขายวัสดุก่อสร้างคือ มีน้อยมากเพราะต้องใช้เงินลงทุนเยอะมาก ยากที่จะหามาเริ่มธุรกิจได้ แต่ตอนนี้ใครๆก็อยากขายวัสดุก่อสร้าง เพราะคิดว่า เถ้าแก่วัสดุก่อสร้างรวยทุกคน ... ใช่ค่ะการแข่งขันอันดุเดือดมา ส่วนมากสู้กันที่ราคา และคนที่ได้ประโยชน์คือลูกค้านี่เอง ตัวอย่างนึงที่ตกใจมาก คือร้านขายวัสดุก่อสร้างในหมู่บ้าน ขายแผ่นเมทัลชีต เมตรละ 250 บาท(เมื่อ7ปีที่แล้ว) สมัยนั้นอินเทอร์เน็ตและสมาทโฟนไม่ทั่วถึง ทำให้เปรียบเทียบราคาได้ยากมาก คนละแวกนั้นก็ซื้อ จนแกขยายโรงงานภายใน1ปีและออกรถเบนซ์ในปีนั้น และเมื่อแกขยายโรงรีดแผ่นเสร็จ ดันมีร้านมาเปิดใหม่ ซึ่งขายเฉพาะแผ่นเมทัลชีตเลย ในราคาเมตรละ 120 บาท รวมทั้งมีสีให้เลือกเยอะ รูปแบบเยอะ ความหนาหลายแบบ ส่งไว ส่งฟรี และจุดนี้ คือจุดเปลี่ยนทันที ใครจะซื้อของที่เหมือนกันในราคาที่แพงกว่า เท่าตัวอีกต่อไป และลูกค้าเลยฝังใจว่าร้านนี้ขายของแพง ... จะชนะได้ให้แข่งกัน ให้ความคุ้มค่า ความสะดวก ความสุข แก่ลูกค้าแล้วเราอยู่ได้ พัฒนามองหาความต้องการของลูกค้าตลอดเวลา สู้ได้แน่นอน
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกิจการทุกคนนะคะ หวังว่าจะมีประโยชน์บ้าง เอาไว้คราวหน้าจะมาเล่าว่า จากการสังเกตุการใช้เงินของชาวบ้าน เขาซื้ออะไรกันบ้าง และซื้อราคาขนาดไหนค่ะ 🐱