บทความวันจันทร์ (24 ก.ย. 61)
เรื่อง เขียนถึงย่า
โดย วรา วราภรณ์
ข้าพเจ้าสูญเสียย่าในคืนวันที่ 10 ต่อเนื่องวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมาด้วยความไม่คาดฝันหลังจากท่านเข้านอนไปด้วยความอ่อนเพลีย...เป็นการสูญเสียบุคคลในครอบครัวครั้งที่สาม นับแต่พ่อ (ปี 2541) และยาย (ปี 2553)
สำนึกของท่านในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต ย่าชอบเล่าความหลังเรื่องที่ท่านเติบโตมากับบรรยากาศท้องร่องในสวนย่านตำบลสวนหลวง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ท่านเล่าว่ามีชีวิตผูกพันกับสายน้ำลำคลอง ยามว่างมักชอบไปช้อนกุ้งโดยใช้สวิง พอได้กุ้งก็ว่ายน้ำถือสวิงกลับมาบ้าน แต่บางคราวก็ทำสวิงคว่ำ กุ้งจึงว่ายน้ำหนีไปได้
ย่าภูมิใจมากที่ท่านว่ายน้ำเป็นกับพายเรือเป็น แต่ไม่เคยขี่จักรยานเลย แล้วก็ไม่เคยใส่กางเกงด้วย นอกจากผ้าถุงกับกระโปรงเท่านั้น เวลานั่งมองทิวทัศน์นอกกรอบบานประตู เลยออกไปเห็นถนน ท่านชอบถามข้าพเจ้าว่า คนทางนี้เขาพายเรือกันเป็นไหม เพราะเห็นแต่รถจักรยานยนต์มากมาย บางวันท่านก็นอนนับจำนวนคัน แล้วท่านก็สรุปว่า คนขายน้ำมันมีรายได้ดี
ย่าเป็นลูกสาวคนที่สอง และมีพี่สาวคนเดียว ตอนเกิดมาแม่ของท่านป่วยเพราะ “กินผิด” เลยไม่มีน้ำนมให้ลูก ย่าต้องกินนมกระป๋องแทน พ่อของท่านบอกว่าเก็บกระป๋องนมเปล่าไว้จนเต็มกระบุง ข้าพเจ้าพยายามถามว่าย่าจำได้ไหมว่าตอนเล็กๆ สวมเสื้อผ้าแบบไหน ท่านยิ้มและส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่รู้สิ จำไม่ได้แล้ว”
เรื่องที่เล่าบ่อยๆ คือ ที่บ้านแม่ของท่านมีมะม่วงหลายต้น พอถึงหน้ามะม่วงก็เก็บลงมาวางไว้ในบ้านมากมาย แจกญาติพี่น้อง ท่านมักพูดถึงมะม่วงอกร่องมากกว่าอย่างอื่น แล้วก็เล่าว่าเคยสวมสายสร้อยทองไว้แล้วเข้านอนไปในคืนหนึ่ง ขณะที่แม่นั่งทอเสื่ออยู่เพียงคนเดียวเพราะพ่อยังไม่กลับ แต่ปรากฏว่า พอตื่นนอนตอนเช้า สร้อยก็หายไปจากลำคอตนเอง แม่ของท่านงงมากในตอนแรก ส่วนย่าก็บอกว่า ไม่รู้ว่าสายสร้อยหายไปตอนไหน นึกว่าแม่มาถอดเอาไป จึงมาสรุปว่า น่าจะต้องเป็นคนข้างบ้านที่ชอบหยิบฉวยของคนอื่นมาลักขโมยเอาไปจากคอในขณะที่นอนหลับอยู่
ย่าจดจำเรื่องราวตอนพบกับปู่ได้ดี ท่านเล่าว่า ปู่สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ต่อมาก็มีคนแนะนำให้ย่าไปสมัครเป็นครูที่นั่น ตอนที่พบกันครั้งแรก ย่าไม่ได้ยกมือไหว้ปู่ (เล่าถึงตรงนี้ย่าหัวเราะ) เรื่องขันๆ ก็คือ เด็กนักเรียนที่ท่านสอนอยู่คนหนึ่งชื่อนายฟ้อน แต่งกายไม่ค่อยสะอาด เล็บมือก็ยาวและดำ ทั้งยังอ่านเขียนไม่ใคร่ได้ แต่ย่าก็อยากให้ขึ้นชั้นไปพร้อมเพื่อนๆ จึงให้เขาสอบผ่านไป ปรากฏว่า ปู่ซึ่งสอนอยู่ชั้นถัดไปกลับตำหนิย่ามาว่า ทำไมถึงปล่อยให้นายฟ้อนขึ้นชั้นไปได้ทั้งที่ยังอ่านเขียนไม่ออก ย่าเล่าแล้วก็หัวเราะขันตนเองอย่างมาก
ข้าพเจ้าต้องขอเผยความลับของท่านทั้งสองว่า ทุกวันนี้ ปู่ของข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ อายุครบ 102 ปีแล้ว ยังเดินเหินไปตลาดได้ อ่านหนังสือโดยสวมแว่นสายตา แต่หลงๆ ลืมๆ ก็บ่อย โดยเฉพาะจุดที่เก็บเงินสด ท่านอยู่กับลูกสาวคนโต เพราะว่าต้องแยกกันดูแล เนื่องจากย่าเดินไม่ได้ แต่ปู่เดินคล่อง หากให้คนดูแลคนเดียวจะตามปู่ไม่ทัน
ย่าบอกว่า ปู่ใช้วิธีบอกรักย่าด้วยการเขียนหนังสือแนบมากับสมุดงาน แล้วก็ซื้อของไปฝากที่บ้าน จนพ่อของย่าเปรยว่า “เจ้าครูคนนี้สงสัยจะมาชอบลูกสาวเรา”
สิ่งที่น่าทึ่งในตัวท่านสำหรับผู้เป็นหลานอย่างข้าพเจ้าก็คือ ย่าเริ่มต้นชีวิตครอบครัวด้วยอาชีพครู แต่สุดท้ายท่านก็ละทิ้งอาชีพนี้พร้อมกันกับปู่ แล้วผันตนเองมาทำขนมขาย ด้วยการทดลองทำด้วยตนเองจนกระทั่งเป็นแม่ค้าขนมที่ขึ้นชื่อในฝีมือ ไม่ว่าจะเป็น ขนมชั้น ตะโก้ ข้าวเหนียวสังขยา ขนมถ้วยฟู ข้าวต้มมัด วุ้นกะทิ ขนมถ้วยตะไล ย่าขายแบบเดินหาบไปตามบ้าน มีลูกค้าอุดหนุนอย่างดี (ข้าพเจ้านึกได้แล้วว่า เหตุใดจึงสนใจและชอบกินขนมเหล่านี้) ส่วนปู่ก็คือ คนหาฟืนให้ย่านึ่งขนม และเป็นคนปอกมะพร้าวกับขูดมะพร้าวด้วยกระต่าย
ย่าไม่มีโรคประจำตัวใดๆ เลย เช่นเดียวกับปู่ แต่ย่าเริ่มเดินเซและล้มง่ายตอนอายุ 87 ปี และป่วยเป็นงูสวัดที่หน้าอกด้านซ้าย รักษาแผลบนผิวหนังหายแล้ว แต่ก็ยังมีอาการปวดใต้บริเวณแผลอยู่อย่างนั้นเป็นแรมปี ต่อเนื่องมาสี่ห้าปี เพราะแพทย์บอกว่าเป็นความเจ็บปวดที่เซลล์ประสาท ไม่มียาช่วย เวลาท่านบ่นปวดจึงเป็นที่น่าสงสาร ต้องชวนคุยและปลอบใจให้ท่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เมื่อย่าอายุครบ 92 ปี พอถึงวันจันทร์ที่ 10 กันยายน ช่วงเที่ยงครึ่ง ท่านเริ่มอ่อนแรง ลุกขึ้นมานั่งเองไม่ไหว มีไข้ ไม่รับอาหาร ข้าพเจ้าปรึกษาแม่แล้วจึงเรียกรถพยาบาลมารับเพื่อตรวจดูอาการผิดปกติ ตอนรถมาถึงบ้านสี่โมงเย็น ย่านั่งตัวตรง มีสติดี ทาแป้งหน้าผ่อง สวมเสื้อที่ตัดให้ใหม่สวยงาม ตอนนั้นตัวกลับเย็นลงไม่มีไข้ เมื่อพาขึ้นรถ พยาบาลก็วัดค่าออกซิเจน และบอกว่าค่าออกซิเจนดี
ย่ายังรู้สึกตัวดีตลอดเวลาที่ไปพบแพทย์ในเย็นวันนั้น แต่บ่นปวดที่ใต้แผลงูสวัดจุดเดียว แพทย์เองก็บอกว่าท่านมีลักษณะภายนอกดูดี ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็เจาะเลือดและฉายรังสีปอดดูเพื่อให้มั่นใจ ผลก็ไม่มีอะไรน่าห่วง เพียงแต่เกลือแร่บางตัวค่อนข้างต่ำ แพทย์จึงให้รับน้ำเกลือหนึ่งขวดแล้วฉีดยาแก้ปวดใส่ทางสายน้ำเกลือให้ด้วย (แต่ย่าก็ยังบ่นว่าปวดมาก)
คืนนั้นเมื่อมาถึงบ้าน ย่าเข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย แต่พยายามรวบรวมสติ เตือนข้าพเจ้าให้เตรียมนมกล่องวางไว้ให้เช่นที่เคย ปิดไฟ และปิดประตูเพื่อเข้านอน แล้วท่านก็ค่อยๆ หลับไป...ชั่วนิรันดร์
ข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัว ไม่รู้สึกว่าท่านจากไป แต่ยังอาลัยและคิดถึงท่าน คิดถึงความเข้มแข็ง ความเป็นตัวของตัวเอง และอารมณ์ขันของท่าน และที่สำคัญก็คือ รู้สึกภาคภูมิใจแล้วที่ได้เป็นหลานของท่าน ข้าพเจ้าจึงเขียนกลอนบทนี้ไว้เมื่อกลางดึกของวันที่ 12 ต่อวันที่ 13 กันยายน ในนามลูกสาวของท่าน คือพี่สาวของพ่อ และลูกชายของท่าน คือน้องชายของพ่อที่ยังคงอยู่
เหมือนจะโศกเมื่อโลกนี้ไม่มีแม่ แต่รักแท้แม่ฝากฝังยังยิ่งใหญ่
คือศรัทธา ความหวัง กำลังใจ ให้ลูกก้าวเดินไปในรอยทาง
สุดห้วงแห่งอายุขัยสัมปรายภพ ให้ท่านสบผลบุญที่หนุนสร้าง
พ้นวัฏสงสารไปได้ละวาง แจ่มกระจ่างในสุคตินิจนิรันดร์
.........................................
(ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ)
บทความวันจันทร์ (24 ก.ย. 61) : เขียนถึงย่า
เรื่อง เขียนถึงย่า
โดย วรา วราภรณ์
ข้าพเจ้าสูญเสียย่าในคืนวันที่ 10 ต่อเนื่องวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมาด้วยความไม่คาดฝันหลังจากท่านเข้านอนไปด้วยความอ่อนเพลีย...เป็นการสูญเสียบุคคลในครอบครัวครั้งที่สาม นับแต่พ่อ (ปี 2541) และยาย (ปี 2553)
สำนึกของท่านในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต ย่าชอบเล่าความหลังเรื่องที่ท่านเติบโตมากับบรรยากาศท้องร่องในสวนย่านตำบลสวนหลวง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ท่านเล่าว่ามีชีวิตผูกพันกับสายน้ำลำคลอง ยามว่างมักชอบไปช้อนกุ้งโดยใช้สวิง พอได้กุ้งก็ว่ายน้ำถือสวิงกลับมาบ้าน แต่บางคราวก็ทำสวิงคว่ำ กุ้งจึงว่ายน้ำหนีไปได้
ย่าภูมิใจมากที่ท่านว่ายน้ำเป็นกับพายเรือเป็น แต่ไม่เคยขี่จักรยานเลย แล้วก็ไม่เคยใส่กางเกงด้วย นอกจากผ้าถุงกับกระโปรงเท่านั้น เวลานั่งมองทิวทัศน์นอกกรอบบานประตู เลยออกไปเห็นถนน ท่านชอบถามข้าพเจ้าว่า คนทางนี้เขาพายเรือกันเป็นไหม เพราะเห็นแต่รถจักรยานยนต์มากมาย บางวันท่านก็นอนนับจำนวนคัน แล้วท่านก็สรุปว่า คนขายน้ำมันมีรายได้ดี
ย่าเป็นลูกสาวคนที่สอง และมีพี่สาวคนเดียว ตอนเกิดมาแม่ของท่านป่วยเพราะ “กินผิด” เลยไม่มีน้ำนมให้ลูก ย่าต้องกินนมกระป๋องแทน พ่อของท่านบอกว่าเก็บกระป๋องนมเปล่าไว้จนเต็มกระบุง ข้าพเจ้าพยายามถามว่าย่าจำได้ไหมว่าตอนเล็กๆ สวมเสื้อผ้าแบบไหน ท่านยิ้มและส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่รู้สิ จำไม่ได้แล้ว”
เรื่องที่เล่าบ่อยๆ คือ ที่บ้านแม่ของท่านมีมะม่วงหลายต้น พอถึงหน้ามะม่วงก็เก็บลงมาวางไว้ในบ้านมากมาย แจกญาติพี่น้อง ท่านมักพูดถึงมะม่วงอกร่องมากกว่าอย่างอื่น แล้วก็เล่าว่าเคยสวมสายสร้อยทองไว้แล้วเข้านอนไปในคืนหนึ่ง ขณะที่แม่นั่งทอเสื่ออยู่เพียงคนเดียวเพราะพ่อยังไม่กลับ แต่ปรากฏว่า พอตื่นนอนตอนเช้า สร้อยก็หายไปจากลำคอตนเอง แม่ของท่านงงมากในตอนแรก ส่วนย่าก็บอกว่า ไม่รู้ว่าสายสร้อยหายไปตอนไหน นึกว่าแม่มาถอดเอาไป จึงมาสรุปว่า น่าจะต้องเป็นคนข้างบ้านที่ชอบหยิบฉวยของคนอื่นมาลักขโมยเอาไปจากคอในขณะที่นอนหลับอยู่
ย่าจดจำเรื่องราวตอนพบกับปู่ได้ดี ท่านเล่าว่า ปู่สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ต่อมาก็มีคนแนะนำให้ย่าไปสมัครเป็นครูที่นั่น ตอนที่พบกันครั้งแรก ย่าไม่ได้ยกมือไหว้ปู่ (เล่าถึงตรงนี้ย่าหัวเราะ) เรื่องขันๆ ก็คือ เด็กนักเรียนที่ท่านสอนอยู่คนหนึ่งชื่อนายฟ้อน แต่งกายไม่ค่อยสะอาด เล็บมือก็ยาวและดำ ทั้งยังอ่านเขียนไม่ใคร่ได้ แต่ย่าก็อยากให้ขึ้นชั้นไปพร้อมเพื่อนๆ จึงให้เขาสอบผ่านไป ปรากฏว่า ปู่ซึ่งสอนอยู่ชั้นถัดไปกลับตำหนิย่ามาว่า ทำไมถึงปล่อยให้นายฟ้อนขึ้นชั้นไปได้ทั้งที่ยังอ่านเขียนไม่ออก ย่าเล่าแล้วก็หัวเราะขันตนเองอย่างมาก
ข้าพเจ้าต้องขอเผยความลับของท่านทั้งสองว่า ทุกวันนี้ ปู่ของข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ อายุครบ 102 ปีแล้ว ยังเดินเหินไปตลาดได้ อ่านหนังสือโดยสวมแว่นสายตา แต่หลงๆ ลืมๆ ก็บ่อย โดยเฉพาะจุดที่เก็บเงินสด ท่านอยู่กับลูกสาวคนโต เพราะว่าต้องแยกกันดูแล เนื่องจากย่าเดินไม่ได้ แต่ปู่เดินคล่อง หากให้คนดูแลคนเดียวจะตามปู่ไม่ทัน
ย่าบอกว่า ปู่ใช้วิธีบอกรักย่าด้วยการเขียนหนังสือแนบมากับสมุดงาน แล้วก็ซื้อของไปฝากที่บ้าน จนพ่อของย่าเปรยว่า “เจ้าครูคนนี้สงสัยจะมาชอบลูกสาวเรา”
สิ่งที่น่าทึ่งในตัวท่านสำหรับผู้เป็นหลานอย่างข้าพเจ้าก็คือ ย่าเริ่มต้นชีวิตครอบครัวด้วยอาชีพครู แต่สุดท้ายท่านก็ละทิ้งอาชีพนี้พร้อมกันกับปู่ แล้วผันตนเองมาทำขนมขาย ด้วยการทดลองทำด้วยตนเองจนกระทั่งเป็นแม่ค้าขนมที่ขึ้นชื่อในฝีมือ ไม่ว่าจะเป็น ขนมชั้น ตะโก้ ข้าวเหนียวสังขยา ขนมถ้วยฟู ข้าวต้มมัด วุ้นกะทิ ขนมถ้วยตะไล ย่าขายแบบเดินหาบไปตามบ้าน มีลูกค้าอุดหนุนอย่างดี (ข้าพเจ้านึกได้แล้วว่า เหตุใดจึงสนใจและชอบกินขนมเหล่านี้) ส่วนปู่ก็คือ คนหาฟืนให้ย่านึ่งขนม และเป็นคนปอกมะพร้าวกับขูดมะพร้าวด้วยกระต่าย
ย่าไม่มีโรคประจำตัวใดๆ เลย เช่นเดียวกับปู่ แต่ย่าเริ่มเดินเซและล้มง่ายตอนอายุ 87 ปี และป่วยเป็นงูสวัดที่หน้าอกด้านซ้าย รักษาแผลบนผิวหนังหายแล้ว แต่ก็ยังมีอาการปวดใต้บริเวณแผลอยู่อย่างนั้นเป็นแรมปี ต่อเนื่องมาสี่ห้าปี เพราะแพทย์บอกว่าเป็นความเจ็บปวดที่เซลล์ประสาท ไม่มียาช่วย เวลาท่านบ่นปวดจึงเป็นที่น่าสงสาร ต้องชวนคุยและปลอบใจให้ท่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เมื่อย่าอายุครบ 92 ปี พอถึงวันจันทร์ที่ 10 กันยายน ช่วงเที่ยงครึ่ง ท่านเริ่มอ่อนแรง ลุกขึ้นมานั่งเองไม่ไหว มีไข้ ไม่รับอาหาร ข้าพเจ้าปรึกษาแม่แล้วจึงเรียกรถพยาบาลมารับเพื่อตรวจดูอาการผิดปกติ ตอนรถมาถึงบ้านสี่โมงเย็น ย่านั่งตัวตรง มีสติดี ทาแป้งหน้าผ่อง สวมเสื้อที่ตัดให้ใหม่สวยงาม ตอนนั้นตัวกลับเย็นลงไม่มีไข้ เมื่อพาขึ้นรถ พยาบาลก็วัดค่าออกซิเจน และบอกว่าค่าออกซิเจนดี
ย่ายังรู้สึกตัวดีตลอดเวลาที่ไปพบแพทย์ในเย็นวันนั้น แต่บ่นปวดที่ใต้แผลงูสวัดจุดเดียว แพทย์เองก็บอกว่าท่านมีลักษณะภายนอกดูดี ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็เจาะเลือดและฉายรังสีปอดดูเพื่อให้มั่นใจ ผลก็ไม่มีอะไรน่าห่วง เพียงแต่เกลือแร่บางตัวค่อนข้างต่ำ แพทย์จึงให้รับน้ำเกลือหนึ่งขวดแล้วฉีดยาแก้ปวดใส่ทางสายน้ำเกลือให้ด้วย (แต่ย่าก็ยังบ่นว่าปวดมาก)
คืนนั้นเมื่อมาถึงบ้าน ย่าเข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย แต่พยายามรวบรวมสติ เตือนข้าพเจ้าให้เตรียมนมกล่องวางไว้ให้เช่นที่เคย ปิดไฟ และปิดประตูเพื่อเข้านอน แล้วท่านก็ค่อยๆ หลับไป...ชั่วนิรันดร์
ข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัว ไม่รู้สึกว่าท่านจากไป แต่ยังอาลัยและคิดถึงท่าน คิดถึงความเข้มแข็ง ความเป็นตัวของตัวเอง และอารมณ์ขันของท่าน และที่สำคัญก็คือ รู้สึกภาคภูมิใจแล้วที่ได้เป็นหลานของท่าน ข้าพเจ้าจึงเขียนกลอนบทนี้ไว้เมื่อกลางดึกของวันที่ 12 ต่อวันที่ 13 กันยายน ในนามลูกสาวของท่าน คือพี่สาวของพ่อ และลูกชายของท่าน คือน้องชายของพ่อที่ยังคงอยู่
เหมือนจะโศกเมื่อโลกนี้ไม่มีแม่ แต่รักแท้แม่ฝากฝังยังยิ่งใหญ่
คือศรัทธา ความหวัง กำลังใจ ให้ลูกก้าวเดินไปในรอยทาง
สุดห้วงแห่งอายุขัยสัมปรายภพ ให้ท่านสบผลบุญที่หนุนสร้าง
พ้นวัฏสงสารไปได้ละวาง แจ่มกระจ่างในสุคตินิจนิรันดร์
.........................................
(ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ)