หลังจากที่จากห่างหายจากการทำรีวิวไปนาน วันนี้เรากลับมาแล้วนะคะ
ถ้าใครคิดถึงทริปเก่า ก็ตามไปอ่านกันได้ที่
https://pantip.com/topic/35124475
ปีที่ผ่านมานี้ถือว่าเป็นปีที่พีคมากจริงๆ ค่ะ เพราะกำลังเรียน ป.โท อยู่ด้วย และต้องทำงานด้วย จัดได้ว่าไม่มีเวลาไปเที่ยวไหนเลยจริงๆ
จนกระทั่งปีหนึ่งผ่านไป และก้าวสู่ปีสองที่ต้องทำ Thesis ถึงจะไม่ได้ว่างมาก แต่เมื่อมีเพื่อนสาวมาชวนไปหา “เขา” ที่ปิล๊อก
เราจึงต้องยกเลิกนัดทั้งหมด แล้วบึ่งรถไปหา “เขา” กันค่ะ
“ปิล๊อก คืออะไร (วะ) คะ ?” เรายังงงงวยเมื่อเพื่อนสาวทักแชทมาชวนไปปิล๊อก
ให้ตายเถอะช่วงปีที่ผ่านมาเรายุ่งจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวสถานที่ท่องเที่ยวอะไรใดๆเลยหรอเนี่ย
แต่ไม่เป็นไร ไปไหนก็ได้ กูไปด้วย
*ใครอยากอ่านเวอร์ชั่นเต็มกด spoil นะจ๊ะ*
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ตกลงกันไว้ว่าวันเสาร์นี้เราจะออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 5 
ไอ่เราก็หอบสังขารไปนอนบ้านนางเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง (เวลาทำงานตั้งใจเบอร์นี้ไหมลูก)
แต่วันเดินทางจริง กว่าจะได้ล้อหมุนก็ปาเข้าไป 6 โมงกว่า เพราะมัวแต่อ่อยอิ่งวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านกันอยู่นั้น
เราสองสาวเดินทางตามสัญญาน GPS เรื่อยไปตั้งแต่กรุงเทพฯ (อย่าถามว่าไปทางไหน เพราะไปทางที่น้อง GPS บอกโดยไม่ได้ใช้สมองตัวเองเลย)
โดยสถานที่ที่เราจะไปนั้นคือตำบลเล็กๆ ตั้งอยู่ชายแดนไทย-พม่า ใน อ.ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ถึงปั๊มแรก อ่ะ แวะหาคาเฟอีนกันซะหน่อยดีกว่า....
แต่เดี๋ยวๆ คาเฟอีนอย่างเดียวไม่ค่อยจะพอ
ขอจัดข้าวไก่ทอดสักหน่อยเลยแล้วกัน (จัดมือเช้าแบบจริงจังจนลืมถ่ายรูปเลยจร้า)
เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อกันเลย ถนนหนทางในเช้าวันเสาร์แลดูโล่งหูโล่งตา ขับสะดวก ไม่รีบลน
แต่เดี๋ยวนะ เพื่อนจากรถคันอื่นอีกสองคัน ที่จะไปด้วยกัน เขาก็อัพเดทเรื่อยๆว่าผ่านจุดไหนแล้ว
....แต่ทำไมเราไม่เห็นผ่านอะไรแบบนั้นเลย เขาไปทางไหนกันวะนั่น?
...แล้วกุหล่ะ?...นี่กูกำลังไปทางไหน???.....
และเมื่อต้องออกจากบ้านแต่เช้ามาก มันก็จะประสบปัญหาเมื่อถึงเวลาระบายของออก
ซึ่งสโลแกนที่เหมาะสมกับเช้านี้ก็คือ ‘ไปทุกที่ ขรี้ทุกปั๊ม’ จร้า 
และแม้ว่ารถคันของเราจะออกจากบ้านเร็วกว่า เดอะแก๊งค์อีกสองคัน แต่เราก็มาถึงจุดนัดพบเป็นคันสุดท้ายนาจา
จุดนัดพบของเราก็คือร้านออฟโรด ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นทองผาภูมิ แถวๆ เลยน้ำตกไทรโยคมานิดนึง
เพื่อนๆนั่งรอจนเรากินเสร็จ (เพราะเพื่อนกินกันหมดแล้วก่อนเรามาถึง) แล้วก็ได้เวลาลุยกันต่อจร้า
สภาพอากาศช่วงนี้มีพายุมังคุดเข้าพอดี เราจึงเจอฝนกันปะปรายระหว่างทาง
แม้ว่าจะเป็นทางขึ้นลงเขาเป็นช่วงๆ แต่สภาพถนนที่ดี (ดีกว่าที่บ้านเราที่ กทม.อีก)
ก็ทำให้เรามาถึงจุดหมายแรกกันอย่างปลอดภัย
ณ จุดชมวิว ตำบลปิล๊อก

โอ่ยๆๆๆๆ แค่วิวสองข้างทางที่ขับมา กับวิวตรงหน้า ณ ตอนนี้ ก็ฟินแล้วจร้า
สูด ซิคะรออะไร...สูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด สูดออกซิเจนให้เต็มปอดค่ะ

สูดเสร็จก็มาถ่ายรูปกันค่ะ

อะจ่ะ...ถ่ายมากันแต่หน้าคน
คำแนะนำแด่มนุษย์เพื่อน สำหรับการถ่ายรูปเมื่อไปเที่ยวนะคะ
กรุณาถ่ายให้เห็นวิวทิวทัศน์นิดนึง ถ้าถ่ายให้เห็นแค่หน้ากูแบบนี้...กูถ่ายหน้าบ้านก็ได้ค่ะ
ภาพที่ถ่ายมาด้วยโทรศัพท์มือถือธรรมดา ก็อาจจะไม่ได้สวยงามเท่าตาเห็นนะคะ คือของจริงมันฟินมาก

ตรงนี้เป็นจุดรับสัญญาณโทรศัพท์ เพราะระหว่างทางที่ขับมาสัญญาณโทรศัพท์ของเราได้ขาดหายไปเป็นช่วงๆ
คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ GPS แบบเรา ก็คือให้เปิด GPS ค้างไว้ตั้งแต่ตอนมีสัญญาณเลยค่ะ
แล้วมันจะยังสามารถบอกทางเราได้อยู่แม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่เราก็ขับตรงไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีทางเลี้ยวซับซ้อนอะไร

จากจุดรับสัญญาณเราเดินทางมุ่งหน้าไปยังเนินช้างศึก โดยเส้นทางจากจุดรับสัญญาณขึ้นมาจะมีความเป็นหลุมเป็นบ่อพอสมควร
เราจึงไม่สามารถใช้ความเร็วได้มากนัก มีทางขึ้นเขาบ้างแต่ไม่ได้สูงชันมากมาย เอาเป็นว่าถ้าเราสามารถขับรถขึ้นที่จอดแคบๆ บนตึกในเมืองได้
การขับขึ้นปิล๊อกก็จัดว่าชิล รถอีโค้คาร์คันน้อยอย่างเราก็ไปไหวค่ะ

เราเลี้ยวซ้ายตามป้ายทางไปเนินช้างศึกเพื่อจะไปชมความงามของที่นี่ก่อนพระอาทิตย์ตก
หลายๆ รีวิวในพันทิพย์แนะนำไว้แบบนั้น เราจึงต้องดั้นด้นไป
แต่ทว่าพายุมังคุดที่ทำให้ฝนตกกระหน่ำก่อนที่เราจะมาถึง ได้ทำให้ทางลูกรังกลายเป็นบ่อโคลนไปเสียแล้ว
รถเก๋งคันก่อนหน้าเรากลับรถแล้วขับสวนทางออกมา เขาบอกว่ารถเก๋งไม่สามารถไปได้เพราะเละมาก
เราสามคันจอดรถลังเลชั่วครู่ จนมีฝรั่งชายหญิงขับมอเตอร์ไซด์กลับออกมา
ฝรั่งก็แนะนำว่า “รถเก๋งอย่างพวกยูคงไปไม่ได้ แต่ว่าถ้าพวกยูเดินไปจะใช้เวลาสัก 15 นาที”
“ตกลงค่ะ” 15 นาที ก็ไม่ได้นานอะไร เดินช็อปปิ้งในห้างนานกว่านี้ก็ทำมาแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจจอดรถไว้แล้วเดินเท้าไปกันต่อค่ะ

เดินมาได้สักพัก แก๊งค์มอเตอร์ไซด์วิบาก ก็ขับรถแซงหน้าเราไป
เสียงมอเตอร์ไซด์วิบากกลุ่มนั้นดังวนรอบภูเขาอยู่นานก่อนจะมีเสียงเร่งขึ้นเนิน
“แก ถ้าเราเดินไป แปลว่าเราต้องอ้อมภูเขาแบบนั้นใช่ไหม” เพื่อนคนหนึ่งในแก๊งค์พูดเสียงหอบ พร้อมกับดมยาดม
“นั่นไงแก มันคือยอดเขาลูกนั้น และเราต้องเดินอ้อมภูเขาลูกนี้ขึ้นไป” เพื่อนอีกคนชี้มือชี้ไม้

สุดท้ายพวกเราตัดสินใจไม่เดินไปตามถนน แต่เดินไปตามทางเล็กๆ
ที่เขียนว่า ‘ทางไปอุโมงค์เหมือง’ ด้วยความหวังว่ามันจะพาเราขึ้นไปถึงเนินช้างศึกได้ไวขึ้น
เราเดิน....

เดิน...

แล้วก็เดิน...

และแล้วเราก็มาสุดทาง ณ จุดนี้.....

หมู่บ้านปิล๊อกจากมุมบนคร่า!!!
คือสวยมากๆ

มันคือหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาสีเขียวขจี
หินผาสีธรรมชาติ และทะเลหมอก
ณ เวลาประมาณสี่โมงกว่าๆ ที่เรายืนอยู่ตรงนั้น หมู่บ้านปิล๊อกก็หายวับไปกับตาเพราะทะเลหมอกบดบัง

ก่อนที่ไอหมอกจะครอบคลุมทุกสิ่ง พวกเราเดินสำรวจโดยรอบ ก็พบอุโมงค์ที่คนงานเหมืองเคยใช้งาน

จากข้อมูลในอินเตอร์เน็ท ที่นี่เคยเป็นเหมืองเก่า ที่มีคนงานเหมืองหลายร้อยชีวิตจากหลายสัญชาติมาขุดแร่กันที่นี่
จนกระทั่งยุคสมันเปลี่ยนไป ราคาแร่ตกต่ำ บรรดานักขุดแร่จึงต้องแยกย้ายกันไป ซึ่งนี่ก็เป็นอะไรที่สอนใจเราอยู่ไม่น้อย
ว่าโลกมันหมุนไปทุกวัน ถ้าเราไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันโลก ก็เท่ากับเรากำลังเดินถอยหลัง
อะไรที่เคยเป็นที่นิยมในวันนี้ วันหนึ่งมันก็อาจจะหมดความนิยมและมีสิ่งอื่นมาทดแทน
คำว่า “ปิล๊อก” แปลว่าอะไรก็ไม่รู้
เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้อีก
แต่เขาว่ากันว่ามาจากคำว่า “ผีหลอก”
แล้วไปไงมาไงไม่รู้ก็เพี้ยนไป กลายเป็น “ปิล๊อก”
ซึ่งอันนี้ชาวเน็ทเขาเดากันว่ามาจากชาวพม่าที่พูดไม่ชัดหน่ะ

เราเองก็ไม่เคยรู้ว่าทำเหมืองเขาเป็นอย่างไร แต่จากการเดินสำรวจเราจะเห็นป้ายอุโมงค์เหมืองเป็นทางเข้าใหญ่ๆ และรอบๆภูเขาลูกนั้น
ก็จะมีช่องเล็กๆเหมือนปากถ้ำขนาดย่อมอยู่โดยรอบ เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เดาว่ามันอาจจะเป็นรูระบายอากาศ เพราะคนที่เข้าไปขุดแร่ในภูเขา
ก็คงต้องการออกซิเจนสำหรับหายใจใช่ไหม? (คือรู้สึกดีที่ความรู้สมัยเรียนวิทยาศาสตร์ตอนประถมมันยังอยู่ในหัวบ้าง)

พวกเราเดินกลับมาที่ถนนเพื่อดูลาดเลาเส้นทางไปเนินช้างศึก
แต่ดูแล้วก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะอยู่ใกล้ๆเลย ยังไงก็ต้องอ้อมภูเขาไป
แล้ว 15 นาที ที่ฝรั่งว่าไว้คืออะไร!!!!???
ไหนหล่ะ 15 นาที ของยู ....นี่กูเดินมาครึ่งชั่วโมงแล้วคร่า
และแล้วพวกเราก็ไปไม่ถึงเนินช้างศึก เพราะเส้นทางที่เราเดินมามันสุดอยู่แค่นั้น
เราเดินกลับมาที่รถ แล้วขับต่อมายังหมู่บ้านอีต่อง

คือจุดหมายแรกๆ ก็ไปไม่ถึงซะแล้ว แล้วเราจะไปถึงหมู่บ้านกันไหมเนี่ย...

ณ เวลาห้าโมงเย็น ทะเลหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณจนเราไม่เห็นหมู่บ้าน
พวกเราขับเลยกันเข้าไปจนเห็นป้าย “สุดเขตประเทศไทย”
...เดี๋ยวนะ นี่เรามาถูกทางกันป่าววะ????...
[CR] สาวออฟฟิศคิดหนีเที่ยว ตอน “เขา” บอกให้ไป ปิล๊อก
ถ้าใครคิดถึงทริปเก่า ก็ตามไปอ่านกันได้ที่ https://pantip.com/topic/35124475
ปีที่ผ่านมานี้ถือว่าเป็นปีที่พีคมากจริงๆ ค่ะ เพราะกำลังเรียน ป.โท อยู่ด้วย และต้องทำงานด้วย จัดได้ว่าไม่มีเวลาไปเที่ยวไหนเลยจริงๆ
จนกระทั่งปีหนึ่งผ่านไป และก้าวสู่ปีสองที่ต้องทำ Thesis ถึงจะไม่ได้ว่างมาก แต่เมื่อมีเพื่อนสาวมาชวนไปหา “เขา” ที่ปิล๊อก
เราจึงต้องยกเลิกนัดทั้งหมด แล้วบึ่งรถไปหา “เขา” กันค่ะ
“ปิล๊อก คืออะไร (วะ) คะ ?” เรายังงงงวยเมื่อเพื่อนสาวทักแชทมาชวนไปปิล๊อก
ให้ตายเถอะช่วงปีที่ผ่านมาเรายุ่งจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวสถานที่ท่องเที่ยวอะไรใดๆเลยหรอเนี่ย
แต่ไม่เป็นไร ไปไหนก็ได้ กูไปด้วย
*ใครอยากอ่านเวอร์ชั่นเต็มกด spoil นะจ๊ะ*
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ณ จุดชมวิว ตำบลปิล๊อก
โอ่ยๆๆๆๆ แค่วิวสองข้างทางที่ขับมา กับวิวตรงหน้า ณ ตอนนี้ ก็ฟินแล้วจร้า
สูด ซิคะรออะไร...สูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด สูดออกซิเจนให้เต็มปอดค่ะ
สูดเสร็จก็มาถ่ายรูปกันค่ะ
คำแนะนำแด่มนุษย์เพื่อน สำหรับการถ่ายรูปเมื่อไปเที่ยวนะคะ
กรุณาถ่ายให้เห็นวิวทิวทัศน์นิดนึง ถ้าถ่ายให้เห็นแค่หน้ากูแบบนี้...กูถ่ายหน้าบ้านก็ได้ค่ะ
ภาพที่ถ่ายมาด้วยโทรศัพท์มือถือธรรมดา ก็อาจจะไม่ได้สวยงามเท่าตาเห็นนะคะ คือของจริงมันฟินมาก
คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ GPS แบบเรา ก็คือให้เปิด GPS ค้างไว้ตั้งแต่ตอนมีสัญญาณเลยค่ะ
แล้วมันจะยังสามารถบอกทางเราได้อยู่แม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่เราก็ขับตรงไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีทางเลี้ยวซับซ้อนอะไร
เราจึงไม่สามารถใช้ความเร็วได้มากนัก มีทางขึ้นเขาบ้างแต่ไม่ได้สูงชันมากมาย เอาเป็นว่าถ้าเราสามารถขับรถขึ้นที่จอดแคบๆ บนตึกในเมืองได้
การขับขึ้นปิล๊อกก็จัดว่าชิล รถอีโค้คาร์คันน้อยอย่างเราก็ไปไหวค่ะ
หลายๆ รีวิวในพันทิพย์แนะนำไว้แบบนั้น เราจึงต้องดั้นด้นไป
แต่ทว่าพายุมังคุดที่ทำให้ฝนตกกระหน่ำก่อนที่เราจะมาถึง ได้ทำให้ทางลูกรังกลายเป็นบ่อโคลนไปเสียแล้ว
รถเก๋งคันก่อนหน้าเรากลับรถแล้วขับสวนทางออกมา เขาบอกว่ารถเก๋งไม่สามารถไปได้เพราะเละมาก
เราสามคันจอดรถลังเลชั่วครู่ จนมีฝรั่งชายหญิงขับมอเตอร์ไซด์กลับออกมา
ฝรั่งก็แนะนำว่า “รถเก๋งอย่างพวกยูคงไปไม่ได้ แต่ว่าถ้าพวกยูเดินไปจะใช้เวลาสัก 15 นาที”
“ตกลงค่ะ” 15 นาที ก็ไม่ได้นานอะไร เดินช็อปปิ้งในห้างนานกว่านี้ก็ทำมาแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจจอดรถไว้แล้วเดินเท้าไปกันต่อค่ะ
เดินมาได้สักพัก แก๊งค์มอเตอร์ไซด์วิบาก ก็ขับรถแซงหน้าเราไป
เสียงมอเตอร์ไซด์วิบากกลุ่มนั้นดังวนรอบภูเขาอยู่นานก่อนจะมีเสียงเร่งขึ้นเนิน
“แก ถ้าเราเดินไป แปลว่าเราต้องอ้อมภูเขาแบบนั้นใช่ไหม” เพื่อนคนหนึ่งในแก๊งค์พูดเสียงหอบ พร้อมกับดมยาดม
“นั่นไงแก มันคือยอดเขาลูกนั้น และเราต้องเดินอ้อมภูเขาลูกนี้ขึ้นไป” เพื่อนอีกคนชี้มือชี้ไม้
สุดท้ายพวกเราตัดสินใจไม่เดินไปตามถนน แต่เดินไปตามทางเล็กๆ
ที่เขียนว่า ‘ทางไปอุโมงค์เหมือง’ ด้วยความหวังว่ามันจะพาเราขึ้นไปถึงเนินช้างศึกได้ไวขึ้น
เราเดิน....
เดิน...
แล้วก็เดิน...
และแล้วเราก็มาสุดทาง ณ จุดนี้.....
หมู่บ้านปิล๊อกจากมุมบนคร่า!!!
คือสวยมากๆ
มันคือหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาสีเขียวขจี
หินผาสีธรรมชาติ และทะเลหมอก
ณ เวลาประมาณสี่โมงกว่าๆ ที่เรายืนอยู่ตรงนั้น หมู่บ้านปิล๊อกก็หายวับไปกับตาเพราะทะเลหมอกบดบัง
ก่อนที่ไอหมอกจะครอบคลุมทุกสิ่ง พวกเราเดินสำรวจโดยรอบ ก็พบอุโมงค์ที่คนงานเหมืองเคยใช้งาน
จากข้อมูลในอินเตอร์เน็ท ที่นี่เคยเป็นเหมืองเก่า ที่มีคนงานเหมืองหลายร้อยชีวิตจากหลายสัญชาติมาขุดแร่กันที่นี่
จนกระทั่งยุคสมันเปลี่ยนไป ราคาแร่ตกต่ำ บรรดานักขุดแร่จึงต้องแยกย้ายกันไป ซึ่งนี่ก็เป็นอะไรที่สอนใจเราอยู่ไม่น้อย
ว่าโลกมันหมุนไปทุกวัน ถ้าเราไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันโลก ก็เท่ากับเรากำลังเดินถอยหลัง
อะไรที่เคยเป็นที่นิยมในวันนี้ วันหนึ่งมันก็อาจจะหมดความนิยมและมีสิ่งอื่นมาทดแทน
คำว่า “ปิล๊อก” แปลว่าอะไรก็ไม่รู้
เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้อีก
แต่เขาว่ากันว่ามาจากคำว่า “ผีหลอก”
แล้วไปไงมาไงไม่รู้ก็เพี้ยนไป กลายเป็น “ปิล๊อก”
ซึ่งอันนี้ชาวเน็ทเขาเดากันว่ามาจากชาวพม่าที่พูดไม่ชัดหน่ะ
เราเองก็ไม่เคยรู้ว่าทำเหมืองเขาเป็นอย่างไร แต่จากการเดินสำรวจเราจะเห็นป้ายอุโมงค์เหมืองเป็นทางเข้าใหญ่ๆ และรอบๆภูเขาลูกนั้น
ก็จะมีช่องเล็กๆเหมือนปากถ้ำขนาดย่อมอยู่โดยรอบ เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เดาว่ามันอาจจะเป็นรูระบายอากาศ เพราะคนที่เข้าไปขุดแร่ในภูเขา
ก็คงต้องการออกซิเจนสำหรับหายใจใช่ไหม? (คือรู้สึกดีที่ความรู้สมัยเรียนวิทยาศาสตร์ตอนประถมมันยังอยู่ในหัวบ้าง)
พวกเราเดินกลับมาที่ถนนเพื่อดูลาดเลาเส้นทางไปเนินช้างศึก
แต่ดูแล้วก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะอยู่ใกล้ๆเลย ยังไงก็ต้องอ้อมภูเขาไป
แล้ว 15 นาที ที่ฝรั่งว่าไว้คืออะไร!!!!???
ไหนหล่ะ 15 นาที ของยู ....นี่กูเดินมาครึ่งชั่วโมงแล้วคร่า
และแล้วพวกเราก็ไปไม่ถึงเนินช้างศึก เพราะเส้นทางที่เราเดินมามันสุดอยู่แค่นั้น
เราเดินกลับมาที่รถ แล้วขับต่อมายังหมู่บ้านอีต่อง
คือจุดหมายแรกๆ ก็ไปไม่ถึงซะแล้ว แล้วเราจะไปถึงหมู่บ้านกันไหมเนี่ย...
ณ เวลาห้าโมงเย็น ทะเลหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณจนเราไม่เห็นหมู่บ้าน
พวกเราขับเลยกันเข้าไปจนเห็นป้าย “สุดเขตประเทศไทย”
...เดี๋ยวนะ นี่เรามาถูกทางกันป่าววะ????...
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้