ตอนที่ 1 อ่านได้จากที่นี้
https://pantip.com/topic/38067162
วันที่ 4 Brikdal Glarcier – Sognefjord – Bergen – Citibox hotel
เราออกจากโรงแรมแต่เช้าเหมือนเคย ขับจากHjelle hotel ไปยัง Briksdal Glacier เราเป็น 2 คนแรกที่มาถึง ค่าจอดประมาณ 50 NOK จอดได้ตลอดทั้งวัน ที่มีรถรับส่งให้บริการตามนี้
https://en.nordfjord.no/information/product-catch-all/troll-car-to-briksdal-glacier-p829813 แต่เพราะบรรยากาศในการเดิน ดูดีมากกว่าไหนๆ เราก็เลยเลือกที่จะเดิน ซึ่งคุ้มค่าที่จะเดินไปเจอมาก




พอไปถึงนอกจากความสวยงาม อลังการ คือ ลม แรงจนเกือบตัวปลิว (ภาพที่ถ่ายมาไม่มีภาพไหนที่หัวไม่ยุ่ง) เดินเล่นกันสักประมาณ 20 นาที ก็เริ่มมีกลุ่มทัวร์จีนมา ก็ถึงเวลากลับ ก่อนกลับน้ำหมด เลยเติมน้ำและเอาน้ำล้างหน้า มันดีแบบนี้นี่เอง น้ำจากธารน้ำแข็ง (ภาพภ่ายมายังไงก็ไม่อลังการเท่าของจริง)

เป้าหมายถัดไปคือ Sognefjord อันนี้เราจองตั๋วเรือข้ามฝากก่อนมา เพราะล่องนานประมาณ 2 ชม. ถึงเรือลำนี้จะไม่ได้ออกแบบสำหรับการชมFJORD โดยเฉพาะ แต่มันดีตรงที่เราสามารถลากเก้าอี้ไปตรงไหนก็ได้ เพื่อเลือกมุมที่ต้องการ (สามารถ Dowdload app FJORD1 ได้สำหรับดูตารางเรือข้ามฝากต่างๆ)

เมื่อใกล้ถึงฝั่งเรือเราว่าใหญ่แล้ว เจอลำนี้เข้าไป....เรือทั้งหลายก็เล็กไปหมด


จากนั้นก็ขับไปอีกประมาณ 2 ชม. เพื่อเข้าเมือง Bergen เราจอดที่ ByGarasjen (
https://bergenparkering.no/priser/rates-and-pricing-information/ ) ซึ่งเป็นอาคารจอดรถได้ถึงประมาณ 3-4พันคัน ค่าจอดตามนี้

คิดดูว่าคนที่นี่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันขนาดไหน โดนประกบด้วย TESLA กับ BMW i3

หากใครมีบัตร Bergen pass สามารถลดได้ 10 % แต่ต้องไปที่ชั้น 1 ของอาคารจอดรถ เพื่อไปหาเจ้าหน้าที่ให้ทำเรื่องส่วนลดให้ แล้วค่อยไปจ่ายเงิน
หลังจากจอดรถเสร็จ เราก็เข้าพักที่ Citibox Bergen Hotel ที่นี่เป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด เราcheck in ผ่านตู้แล้วคีย์การ์ดจะออกมา ตอนCheck out ก็เช่นกัน แต่หากมีปัญหา จะมีเจ้าหน้าที่ 1 คนประจำอยู่ด้านในคอยช่วยเหลือ ที่โรงแรมนี้มีเครื่องซักผ้าและตู้อบ แต่ปิดตอน 3 ทุ่ม เสียเงินค่าใช้ 50 NOK และด้านล่างจะมี ที่กินข้าว ดูทีวี (เพราะในห้องไม่มีทีวี)ตู้กดน้ำ+ขนม ไมโครเวฟ ที่ล้างจาน และมีตู้เย็นให้เราแช่ของได้ เพียงแต่ต้องเขียนห้องและวันที่ Check out ไม่งั้นแม่บ้านจะมาทิ้ง ฝั่งตรงข้ามจะมีร้านอาหารไทย เผื่อใครคิดถึงเมืองไทย

วันที่ 5. Bergern -Fisketorget-Bryggen-Bergern museum - KODE 1-4 - Floibanen
เช้านี้ตื่นได้สายหน่อยเป็นครั้งแรก ออกเดินไปหาตลาดปลา โดยรวมเป็นเมืองนักท่องเที่ยวจริงๆ มีคนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งมาเป็นครอบครัว เป็นคู่ หรือเป็นทัวร์ เดินไม่นานก็เจอมุมที่ทุกคนถ่ายรูปกันมา นั่นคือ Information center ไหนๆก็มาแล้วขอขึ้นไปดูหน่อย โอโห!! ข้างบนคนเยอะมากส่วนใหญ่รอคิวถามเจ้าหน้าที่ ส่วนเรา 2 คนหยิบแผนที่เสร็จไม่รู้อะไรดลใจ ก็ไปซื้อ Bergen pass โดยยังไม่รู้เลยว่าวันนี้จะไปเที่ยวอะไรบ้างนอกจากหาของกินก่อน 555 แต่ก็ซื้อไปแล้ว และที่นี่บัตรนักเรียน UK ใช้เป็นส่วนลดค่าบัตรไม่ได้

จากนั้นก็เดินรอบตลาดปลาด้านนอก ร้านพึ่งเปิดกัน คนที่เดินส่วนใหญ่ยังไม่เห็นมีใครเข้าไปนั่งกิน มีแต่คนถ่ายรูป

แต่เรา 2 คนเลือกไปเดินตลาดปลาในร่ม ที่อยู่ชั้นล่างของ Information center กัน (ทางเข้าตลาดปลาในร่มอยู่ตรงทางขึ้น Information center) แล้วก็พบว่ามันดูสะอาดและน่ากินกว่าเยอะ

เดินดูทุกร้าน คนส่วนใหญ่มาที่นี่ก็ถ่ายกันแต่รูป แล้วก็จากไป ส่วนน้อยที่นั่งกินนะ (สำหรับช่วงเวลาที่เราเห็น) เราก็เลยคุยกับคนขาย เค้าก็แนะนำปลาต่างๆเป็นอย่างดี เราก็เลยเลือกที่จะกินร้านนี้แหละ

มีอาหารทะเลให้เลือกหลากหลาย ที่แปลกสำหรับเรานอกจากเนื้อปลาวาฬ ที่คนขายให้ชิม

ก็คือปลาตัวนี้ มันมีหนวดติดอยู่ด้านบน ตอนแรกเราคิดว่าเป็นไฟส่องสว่าง แต่คนขายบอกว่าหนวดนี้ไว้ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สำหรับจับปลาตัวเล็กที่ว่ายเข้ามาใกล้มันก็จะอ้าปากงับ


หลังจากฟังคำแนะนำต่าง นี้คือสิ่งที่เราสั่งมากินกัน




จานที่เป็น Raw sushi เราเลือกแบบเป็นเซ็ตจะได้ชิมหลายๆอย่าง แต่ไม่รวมหอยที่เป็นของนอร์เวย์ (ประมาณนั้นจำไม่ค่อยได้ แล้วจำไม่ได้ว่าคือตัวไหนแล้วด้วย 555)

อันนี้คือปลาที่มีหนวด อร่อย เนื้อแน่น เข้ากันกับกระเทียมเจียว (คนขายแนะนำว่าต้องกินแบบสุก เราก็เชื่อโดยดี)
ขาดรูปก้าม Stone crab กินหมดก่อน (ซึ่งคนขายบอกว่าตรงตัวไม่เอามากินกัน เพราะเนื้อน้อย)
จากนั้นก็ไปเดินย่าน Brygge ก็ดูแปลกตาดี แต่ที่เจ๋งสุดคือร้านนี้ PELS DESIGN (เค้าไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพด้านใน) ในร้านขายขนกวางเรนเดียร์เป็นแบบพรมปูพื้น (ประมาณ 1600 NOK) ฝรั่งส่วนใหญ่เข้ามาที่ร้านจะเดินไปซื้อพรมอันนี้ โดยเลือกขนจากตัวเมีย เพราะจะนิ่มกว่า (เมืองไทยเป็นเมืองร้อนคงไม่เหมาะ แต่น่าซื้อมาก)

ผ้าพันคอทำจากสุนัขจิ้งจอกประมาณ 850 NOK (ร้านบอกว่าที่นิยมคือ Silver fox มันจะสีน้ำตาลแสมเทา) และมีผ้าพันคอขนกระต่าย ที่เปิดขวดเขากวาง (ประมาณ 250 NOK) กระเป๋าตังค์หนังกวาง (นิ่มมาก) และอื่นๆอีกมากมาย ** ที่เปิดขวดเขากวาง ก็ถามเค้าตรงๆว่าได้มายังไง เค้าบอกว่าเป็นการผลัดเขาตามธรรมชาติ เราก็เลยกลับซื้อกลับมา 2 อัน** เป็นของฝากที่เจ๋งที่สุดที่เคยซื้อ และทำให้ต้องซื้อกระเป๋าเดินทางเพิ่ม เพราะกลัวมันหัก

จากนั้นเราก็หาที่ท่องเที่ยวที่ใช้บัตร Bergen pass ได้ ที่แรกคือ Bergen museum เป็น museum ที่เล็ก แต่ทำให้เข้าใจว่ากว่าจะมาเป็นตึก...ที่เราเห็นทุกวันนี้ผ่านไฟไหม้มากี่ครั้ง เพราะที่ museum ได้แสดงชั้นดินที่ลึกลงไปหลายเมตรว่าเมื่อเกิดไฟไหม้แต่ครั้ง ดินบริเวนนั้นก็จะเป็นคราบเขม่า ทับซ้อนแบบนี้กันไปเรื่อยๆ (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)
จากนั้นก็เดินไปโบสถ์ St’Mary เป็นโบสถ์ที่เล็กมาก มีหลายคนหลงเปิดประตูเข้าไปก็เห็นด้านในหมดแล้ว แทบไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋ว (ห้ามถ่ายรูป)
หลังจากนั้นเราเลือกที่จะไปเดิน KODE 1-4 Museum ตึกเป็นไฮไลท์ที่สุดคือ KODE 3 เพราะมีภาพวาดของ Edward munch อยู่ (ตึก 3 ปิด 6 โมง นอกนั้นปิด 5 โมง) แต่สำหรับเรา แต่ละตึกภาพวาดหรืองานฝีมือทุกอันก็โอเคหมด เพราะเราดูไม่เป็น เดินวนในห้องเหลี่ยมๆแอบมึนหัว





จากนั้นก็เดินกันไปขึ้นรถราง (บัตร Bergen pass ลด 50%) วิวด้านบนก็เห็นเมืองทั้งหมด มีที่ออกกำลังกาย หลายคนขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายข้างบน พอเริ่มมืดก็นั่งรถรางลง ปรากฎว่ารถรางเสียกลางทาง เลยเดินเท้าเอาต่อ ทำให้เห็นบ้านเรือนที่อยู่ระหว่างทาง...สวยดี

สุดท้ายเราก็ใช้บัตร Bergen pass จนคุ้มราคา....ดีใจ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ไว้จะมาต่อโค้งสุดท้าย
ตอนที่ 3
https://pantip.com/topic/38084276
Norway (Oslo-Trondheim-Atlantic Ocean Road-Geirangerfjord-Briksdal Glarcier-Bergen-kjeragbolten-Stavanger-Oslo) ตอนที่ 2
วันที่ 4 Brikdal Glarcier – Sognefjord – Bergen – Citibox hotel
เราออกจากโรงแรมแต่เช้าเหมือนเคย ขับจากHjelle hotel ไปยัง Briksdal Glacier เราเป็น 2 คนแรกที่มาถึง ค่าจอดประมาณ 50 NOK จอดได้ตลอดทั้งวัน ที่มีรถรับส่งให้บริการตามนี้ https://en.nordfjord.no/information/product-catch-all/troll-car-to-briksdal-glacier-p829813 แต่เพราะบรรยากาศในการเดิน ดูดีมากกว่าไหนๆ เราก็เลยเลือกที่จะเดิน ซึ่งคุ้มค่าที่จะเดินไปเจอมาก
เป้าหมายถัดไปคือ Sognefjord อันนี้เราจองตั๋วเรือข้ามฝากก่อนมา เพราะล่องนานประมาณ 2 ชม. ถึงเรือลำนี้จะไม่ได้ออกแบบสำหรับการชมFJORD โดยเฉพาะ แต่มันดีตรงที่เราสามารถลากเก้าอี้ไปตรงไหนก็ได้ เพื่อเลือกมุมที่ต้องการ (สามารถ Dowdload app FJORD1 ได้สำหรับดูตารางเรือข้ามฝากต่างๆ)
เมื่อใกล้ถึงฝั่งเรือเราว่าใหญ่แล้ว เจอลำนี้เข้าไป....เรือทั้งหลายก็เล็กไปหมด
จากนั้นก็ขับไปอีกประมาณ 2 ชม. เพื่อเข้าเมือง Bergen เราจอดที่ ByGarasjen (https://bergenparkering.no/priser/rates-and-pricing-information/ ) ซึ่งเป็นอาคารจอดรถได้ถึงประมาณ 3-4พันคัน ค่าจอดตามนี้
คิดดูว่าคนที่นี่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันขนาดไหน โดนประกบด้วย TESLA กับ BMW i3
หากใครมีบัตร Bergen pass สามารถลดได้ 10 % แต่ต้องไปที่ชั้น 1 ของอาคารจอดรถ เพื่อไปหาเจ้าหน้าที่ให้ทำเรื่องส่วนลดให้ แล้วค่อยไปจ่ายเงิน
หลังจากจอดรถเสร็จ เราก็เข้าพักที่ Citibox Bergen Hotel ที่นี่เป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด เราcheck in ผ่านตู้แล้วคีย์การ์ดจะออกมา ตอนCheck out ก็เช่นกัน แต่หากมีปัญหา จะมีเจ้าหน้าที่ 1 คนประจำอยู่ด้านในคอยช่วยเหลือ ที่โรงแรมนี้มีเครื่องซักผ้าและตู้อบ แต่ปิดตอน 3 ทุ่ม เสียเงินค่าใช้ 50 NOK และด้านล่างจะมี ที่กินข้าว ดูทีวี (เพราะในห้องไม่มีทีวี)ตู้กดน้ำ+ขนม ไมโครเวฟ ที่ล้างจาน และมีตู้เย็นให้เราแช่ของได้ เพียงแต่ต้องเขียนห้องและวันที่ Check out ไม่งั้นแม่บ้านจะมาทิ้ง ฝั่งตรงข้ามจะมีร้านอาหารไทย เผื่อใครคิดถึงเมืองไทย
วันที่ 5. Bergern -Fisketorget-Bryggen-Bergern museum - KODE 1-4 - Floibanen
เช้านี้ตื่นได้สายหน่อยเป็นครั้งแรก ออกเดินไปหาตลาดปลา โดยรวมเป็นเมืองนักท่องเที่ยวจริงๆ มีคนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งมาเป็นครอบครัว เป็นคู่ หรือเป็นทัวร์ เดินไม่นานก็เจอมุมที่ทุกคนถ่ายรูปกันมา นั่นคือ Information center ไหนๆก็มาแล้วขอขึ้นไปดูหน่อย โอโห!! ข้างบนคนเยอะมากส่วนใหญ่รอคิวถามเจ้าหน้าที่ ส่วนเรา 2 คนหยิบแผนที่เสร็จไม่รู้อะไรดลใจ ก็ไปซื้อ Bergen pass โดยยังไม่รู้เลยว่าวันนี้จะไปเที่ยวอะไรบ้างนอกจากหาของกินก่อน 555 แต่ก็ซื้อไปแล้ว และที่นี่บัตรนักเรียน UK ใช้เป็นส่วนลดค่าบัตรไม่ได้
จากนั้นก็เดินรอบตลาดปลาด้านนอก ร้านพึ่งเปิดกัน คนที่เดินส่วนใหญ่ยังไม่เห็นมีใครเข้าไปนั่งกิน มีแต่คนถ่ายรูป
แต่เรา 2 คนเลือกไปเดินตลาดปลาในร่ม ที่อยู่ชั้นล่างของ Information center กัน (ทางเข้าตลาดปลาในร่มอยู่ตรงทางขึ้น Information center) แล้วก็พบว่ามันดูสะอาดและน่ากินกว่าเยอะ
ขาดรูปก้าม Stone crab กินหมดก่อน (ซึ่งคนขายบอกว่าตรงตัวไม่เอามากินกัน เพราะเนื้อน้อย)
จากนั้นก็ไปเดินย่าน Brygge ก็ดูแปลกตาดี แต่ที่เจ๋งสุดคือร้านนี้ PELS DESIGN (เค้าไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพด้านใน) ในร้านขายขนกวางเรนเดียร์เป็นแบบพรมปูพื้น (ประมาณ 1600 NOK) ฝรั่งส่วนใหญ่เข้ามาที่ร้านจะเดินไปซื้อพรมอันนี้ โดยเลือกขนจากตัวเมีย เพราะจะนิ่มกว่า (เมืองไทยเป็นเมืองร้อนคงไม่เหมาะ แต่น่าซื้อมาก)
จากนั้นเราก็หาที่ท่องเที่ยวที่ใช้บัตร Bergen pass ได้ ที่แรกคือ Bergen museum เป็น museum ที่เล็ก แต่ทำให้เข้าใจว่ากว่าจะมาเป็นตึก...ที่เราเห็นทุกวันนี้ผ่านไฟไหม้มากี่ครั้ง เพราะที่ museum ได้แสดงชั้นดินที่ลึกลงไปหลายเมตรว่าเมื่อเกิดไฟไหม้แต่ครั้ง ดินบริเวนนั้นก็จะเป็นคราบเขม่า ทับซ้อนแบบนี้กันไปเรื่อยๆ (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)
จากนั้นก็เดินไปโบสถ์ St’Mary เป็นโบสถ์ที่เล็กมาก มีหลายคนหลงเปิดประตูเข้าไปก็เห็นด้านในหมดแล้ว แทบไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋ว (ห้ามถ่ายรูป)
หลังจากนั้นเราเลือกที่จะไปเดิน KODE 1-4 Museum ตึกเป็นไฮไลท์ที่สุดคือ KODE 3 เพราะมีภาพวาดของ Edward munch อยู่ (ตึก 3 ปิด 6 โมง นอกนั้นปิด 5 โมง) แต่สำหรับเรา แต่ละตึกภาพวาดหรืองานฝีมือทุกอันก็โอเคหมด เพราะเราดูไม่เป็น เดินวนในห้องเหลี่ยมๆแอบมึนหัว
จากนั้นก็เดินกันไปขึ้นรถราง (บัตร Bergen pass ลด 50%) วิวด้านบนก็เห็นเมืองทั้งหมด มีที่ออกกำลังกาย หลายคนขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายข้างบน พอเริ่มมืดก็นั่งรถรางลง ปรากฎว่ารถรางเสียกลางทาง เลยเดินเท้าเอาต่อ ทำให้เห็นบ้านเรือนที่อยู่ระหว่างทาง...สวยดี
สุดท้ายเราก็ใช้บัตร Bergen pass จนคุ้มราคา....ดีใจ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ไว้จะมาต่อโค้งสุดท้าย
ตอนที่ 3 https://pantip.com/topic/38084276