เริ่มถุงมือเรื่องสั้น เรื่องแรกกันครับ...
เป็นเรื่องของคนชอบดูดวง พาเพื่อนไปดูด้วย เพื่อนคนนี้ไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็เหมือนจะอยากลองดูกับเขาบ้าง ก็เลยตามเพื่อนไป ไปเจอแม่หมอคนหนึ่ง ดูแล้วก็งั้นๆไม่ค่อยเชื่อถืออะไรมากนักแต่ก็มีที่สะดุดใจบ้าง
แต่หลังจากเพื่อนชวนไปดูกับพระแล้วตนเองไปดูด้วย ก็ "งานเข้า" !!
งานเข้ายังไง ตามไปอ่านกันครับ! จบแล้วมอบเกรดตามความชอบใจ แล้วเล็งหาคนเขียนดูเน้อ...


ยามเมื่อวัยสาว การคบหาสมาคมกับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน ย่อมมีกิจกรรมหลากหลายให้ทำ หนึ่งในนั้นคือการพูดคุยถึงเรื่องการดูหมอดู ที่นั่นที่นี่ดูแม่นเสียค่ายกครูไม่กี่บาท แถมยังดูได้ทุกอย่าง เมื่อฟังเรื่องเหล่านี้นาน ๆ เข้า ก็บังเกิดความสนใจในสถานะที่เป็นอยู่และในอนาคต
วันนี้นัดกับเพื่อนมากินส้มตำไก่ย่างมีชื่อที่ซอยสุโขทัย เมื่อได้มองกาละมังส้มตำที่ใส่พริกเหลือง ตำไว้เสร็จแล้วก็สั่งและนั่งรอทานพร้อมทั้งไก่ย่างที่มีเครื่องเทศกลิ่นหอม น้ำจิ้มเผ็ดหวานกำลังดี ทานอย่างเอร็ดอร่อยกันสองสาว แต่เมื่อตอนจะจ่ายเงินเพื่อนอยากได้เอาไปฝากที่บ้าน จึงจำต้องนั่งรอไก่สุกอีกต่อไป...
ขณะนั้นก็มีสาวใหญ่สองคนเดินเข้ามาสั่งส้มตำและไก่ย่างทาน เมื่อเขาทั้งสองมองหาที่นั่งและมาหยุดมองยังโต๊ะของเราที่หยุดการทานอาหารไปนานแล้ว อยู่ในสภาพนั่งรอ หนึ่งในสองก็เอ่ยว่า
"สงสัยคงทานแล้วใช่ไหมคะ"
เพื่อนตอบว่า " รอไก่ย่างค่ะ" แค่นั้นทำให้ทั้งสองเดินมายืนที่ ๆ เรานั่งอยู่ทันที อีกสักพักจึงมีคนเอาห่อไก่ย่างมาให้ ได้ยินเขาพูดกันว่า
"เขาจะเลิกขายแล้วนะ ทนสรรพากรมานั่งเช็คชามเก็บภาษีไม่ไหว"
เมื่อได้จากมาแล้วก็ได้ไปบ้านเพื่อนที่สาธุประดิษฐ์ต่อ เพื่อนพาแวะไปที่บ้านเอาไก่ไปให้พ่อและแม่ที่เป็นคนจีน แล้วจึงพาเดินไปบนสะพานไม้ทอดเข้าสู่ชุมชนชาวเรือนไม้ที่ปลูกอยู่ใกล้ ๆ กันในร่องสวนผักเก่า
ข้างหน้านั้นเป็นบ้านที่มีเครื่องประดับนอกบ้านแปลก ๆ ตรงหน้าจั่วหลังคามีเครื่องหมายเป็นรูปไก่ เข้ามาถึงหน้าประตูมีรองเท้าบอกจำนวนผู้อยู่ภายในบ้านหกเจ็ดคน เพื่อนทรุดนั่งลงและยกมือไหว้หญิงอ้วนใหญ่อายุไม่เกินหกสิบปี นั่งใส่เสื้อลายพร้อยที่คอมีสร้อยทองเส้นใหญ่สีทองสุกอร่ามและมีลูกประคำห้อยอยู่ด้วย ด้านหลังมีองค์พระใหญ่เล็กมากมายวางเกือบรอบหญิงอ้วนนั้น กลิ่นธูปจากกระถางหน้าพระอบอวลไปทั่วบริเวณ
"เป็นยังไง วันนี้" เป็นคำทักของนางที่มีต่อเพื่อนเรา
"พาเพื่อนมาไหว้เจ้าแม่ค่ะ" เราจึงต้องยกมือไหว้บ้าง สายตาที่มองมาเหมือนรู้ว่าเราไม่ศรัทธาในภาพรวม
"เชื่อถือเรอะ" คำถามลอย ๆ ทำเอาเพื่อนรีบออกตัวว่า
"เขาไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน" แล้วเพื่อนก็ขยับตัวเข้าไปบอกว่า " อยากให้ดูทีว่า ที่ตาบอดต่างจังหวัดควรซื้อไหม จะได้วางเงินค่ะ"
นางก็เอื้อมมือมาจับมือเพื่อนแล้วหลับตาท่องมนต์ สักพักก็บอกว่า
"ซื้อได้ แต่เราจะมีปัญหายุ่งยากภายหลัง"
"ปัญหาใหญ่ไหมคะ ควรหรือไม่ควรซื้อดี"
"รอก่อนจะได้ซื้อแน่ ๆ เป็นอสังหาริมทรัพย์ชิ้นสวยทีเดียว"
"อีกนานมั้ยคะ"
"หลังเดือนแปดสองหนนี่แหละ อยู่ไม่ไกลด้วย"
"ดูเรื่องทั่วไปด้วยค่ะ มีเคราะห์มั้ย"
"ไม่มีหรอก หน้าตาผ่องใสอย่างนี้ เอ้าเพื่อนล่ะ จะดูอะไร" นางเปลี่ยนจุดสนใจมาที่ตัวเรา ทำให้เพื่อนขยับตัวเองบอกว่า
"เอ้าตัวเข้ามาใกล้ ๆ สิ"
เราก็ขยับเข้าไป
นางเอามือยกเพื่อจับมือเราและลูบผิวสัมผัสกับมือเราด้วย
"คนนี้ชีวิตไม่ลำบาก แต่ต้องพลัดพรากนะ"
พลัดพรากอะไรล่ะ เรานึกในใจ
"โหงวเฮ้งเราจะรับราชการดี แต่จะจากบ้านแม่พี่น้องวงศ์วานนะ" นางพูดต่อ
"ทำไมถึงต้องจากล่ะคะ" เราจึงถามบ้าง
"ตามดวง โตที่นี่ไปได้ดีที่อื่น" นางบอก
"จะต้องเปลี่ยนงานไหมคะ"
"ย้ายงานแน่นอน แต่ไม่แย่หรอก ดวงงานเรามีผู้ใหญ่อุปถัมภ์อยู่"
"จะได้เนื้อคู่เมื่อไรและแต่งงานเมื่อไร"
"
เนื้อคู่เรามีสองคนนะ แต่งงานสองหนได้ ดีทั้งนั้น แล้วแต่เคราะห์ของฝ่ายชาย"
ฟังประโยคหลังนี่ทำให้หวาดไปเลย อ้อ มันไม่แม่นหรอก บอกกับตัวเอง และอยากจะจบคำถามเลยทีเดียว
เพื่อนหันมาสบตาด้วย เลยพยักหน้าว่าพอ จะคิดว่าน่ากลัว ไม่เชื่อก็ได้
"เขาขอดูแค่นี้ค่ะ" เพื่อนบอกนางไป และขยับตัวเปิดกระเป๋าจ่ายเงินไปสี่ร้อยบาท ตามสายตาเรามองอยู่
เมื่อวางเงินในพานหน้าหญิงอ้วนนั้นแล้ว เพื้อนและเราเราก็ถอยออกมา สมาชิกที่นั่งอยู่ห่าง ๆ ก็ขยับตัวลุกนั่งเปลี่ยนที่กันไป
เราพากันกลับออกมา เราควักเงินสองร้อยบาทค่าดูหมอให้เพื่อน
"เป็นไง แม่นมั้ย" เพื่อนถาม
"ดูโหงวเฮ้งเค้าไม่รู้เรื่องหรอก ว่าหน้าตาบอกอะไรบ้าง ดูลายมือนิดเดียว ส่วนแม่นมั้ยเค้าก็ไม่รู้ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย"
"อ้าว แล้วแฟนตัวล่ะ"
"เค้าก็ไม่รู้ว่าจะใช่แฟนมั้ย เพิ่งจะไปไหนมาไหนกัน ยังไม่รู้อะไรเลย การไปไหนครั้งสองครั้งยังไม่รู้อะไรหรอก"
"ตัวเลือกมากได้นี่"
"อ้าวใครก็ต้องเลือก ตัวล่ะถึงไหนแล้วล่ะ"
"ถึงไหนอะไรพูดดี ๆ นา" เพื่อนตอบแต่มีหัวเราะเขิน
"ก็ที่เล็ง ๆ ไว้น่ะ"
"เค้าก็ว่าจะถามตัวอยู่นี่แหละ..
นี่ถ้าผู้ชายเค้าสนใจเรา เขาจะออกอาการยังไงบ้าง.."
"โอย..อาการผู้ชายคล้ายรถแข่ง ตามดูไม่ทันหรอก อย่าบอกนะว่าเพื่อนคนไหน ถามจริง ตัวก็สนใจใช่มั้ยล่ะ"
เพื่อนยิ้มเบือนหน้าหนี..
แต่สิ่งที่สะกิดใจเราคือ น่าจะเป็นเพื่อนที่เคยบอกว่า เราน่ารัก...คนนั้น เพราะเขาเป็นคนจีนเหมือนกัน และเขาเคยมารับเราไปทานข้าว โดยมีอีกหนุ่มหนึ่งมาหาเราที่บ้านคลาดกันนิดเดียว
เราหวนคิดถึงท่าทีของเขา...ระหว่างเดินทางกลับและแยกกันกลับบ้านในภายหลัง
สัปดาห์ต่อมา เราได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสมัยมัธยม บอกว่าได้เบอร์จากเพื่อนอีกคนนึงมา หลังจากถามทักทายแล้ว ก็เข้าจุดหมายที่โทรมาหา
"ตัวว่างมั้ย อยากเจอกันหน่อย"
"มีอะไรเหรอ บอกมาได้เลยตุ้ม"
"คือเขาอยากให้ตัวได้ดูทัปเปอร์แวร์รุ่นใหม่ ราคาถูกพิเศษ พอดีญาติทำทางนี้อยู่ ก็เลยช่วยเขาเราก็ได้เปอร์เซ็นต์บ้างแต่ของแถมเยอะเลย ตัวลองดูก่อนก็ได้นะ นัดทำปาร์ตี้ได้ก็ดี สัก ห้าหกคน" เพื่อนบอกลู่ทางธุรกิจของตนเอง
"วันอาทิตย์ไม่ว่างพี่จะมาที่บ้าน วันเสาร์ว่าง"
"วันเสาร์เค้าจะไปหาหลวงพี่ที่วัด"
"ทำบุญเรอะ เค้าไปทำด้วยก็ได้นะ อยากไปวัดเหมือนกัน"
"อ้าว งั้นก็ดี มีเวลาแยะเลย ตัวมาวัดภูเขาทองถูกมั้ย"
"ไม่ไกล ไปถูก นัดตรงไหนบอกมา กี่โมง"
"เค้ารอตรงประตูด้านใกล้ถนนราชดำเนินนะ ใกล้ภูเขาทองที่สุดแล้ว เก้าโมงครึ่งนะ"
"โอเค แล้วเจอกัน"
เมื่อถึงวันนัด เราก็รีบขึ้นรถเมล์ไปทางบางลำภู แล้วต่อรถจะเข้าถนนราชดำเนินนอก ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผ่านป้อมมหากาฬ ที่ตรงข้ามเคยมีโรงหนังเฉลิมไทยตรงโค้งพอดี แล้วเลี้ยวขวาตรงคลองมหานาค วัดภูเขาทองจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ
เมื่อลงรถเมล์แล้วก็เดินมาบนถนนมหาชัย ถามคนหาทางเข้าวัดได้แล้วจึงเดินผ่านป้ายประตูวัดสระเกศตามชื่อที่ถูกต้องไปรอตรงใกล้ทางผ่านที่เป็นถนนพื้นปูนทั้งหมด ยืนแหงนมองภูเขาทองสีสวยสักพักตุ้มก็เดินมาโน่นแล้ว เพื่อนก็ตัวใหญ่ขึ้น แต่เค้าหน้าแววตาและรอยยิ้มยังเหมือนเดิม
อากาศเริ่มร้อนขึ้น ตุ้มรีบกางร่มเมื่อเห็นแสงแดดส่องแรงขึ้นพาเรารีบเดินไปยังกุฏิหลวงพี่น้อยทันที
เมื่อเดินผ่านหลายกุฏิเห็นผู้คนเดินผ่านมาบ้าง เราก็นึกได้ว่า ตามวัดทั่วไปมักจะมีพระหมอดูด้วย จึงเอ่ยถามตุ้มว่า
"วัดนี้มีพระดูหมอมั้ย น่าสนใจนะ เราว่าดูกับพระขลังดี" ในใจก็คิดต่อว่า พระย่อมไม่โกหก
"อ้าว แล้วไม่บอกว่าสนใจ มีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า
หลวงพี่นี่ดูหมอด้วยนะ" ตุ้มรีบบอกทันที
"โอ..
จุดใต้ตำตอ คือเพื่อนพาไปดูหมอดู แล้วเขาทายมาแปลก ๆ มันกังขาน่ะ"
"เดี๋ยวบอกหลวงพี่ให้
ท่านเก่งนะ ดูแม่นด้วย"
ได้ยินตุ้มตอบ เหมือนเจอผู้มาแก้ปมกังวลสงสัยให้ เพราะตามหลักแล้ว หมอไม่น่าทักเรื่องร้ายให้คนดู นอกจากจะเอาเงินค่าสะเดาะเคราะห์เท่านั้น นึกได้เท้าก็รีบเดินอย่างมุ่งมั่นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมาถึงหน้าประตูกุฏิซึ่งเหมือนอาคารยาวแต่มีลักษณะแยกกันตรงช่วงแต่ละห้องด้วยผนังกั้นสูงลักษณะเป็นส่วนตัว ตุ้มชะเง้อมองเข้าไป ส่งเสียงเรียก สักครู่พระอายุไม่เกินสี่สิบปีก็เดินมาที่ประตู
"อ้าว ตุ้ม มาเข้ามา" ท่านบอกแล้วก็หลบเข้าไปสักพัก ก็โผล่มาใหม่ด้วยกำลังครองผ้าห่มบิด โดยยกจีวรชูขึ้น อีกมือหนึ่งม้วนบิดจีวรให้กระชับ เพื่อห่มคลุมออกนอกวัด
"รับนิมนต์ฉันเพล เดี๋ยวต้องไป " ท่านบอก
"นี่ค่ะ ป้าฝากของถึงหลวงพี่" ตุ้มล้วงกระเป๋าถือเอาซองหนา ๆ วางถวายให้
"หลวงพี่พอมีเวลามั้ยคะ อยากให้ช่วยดูดวงให้เพื่อนตุ้มด้วยค่ะ" ตุ้มถามท่านทันที
"ได้สักประเดี๋ยวนึงนะ " ว่าแล้วท่านก็เดินเข้าไปอีกนิด หยิบแผ่นวงกลมสำหรับหมุนหาฤกษ์ยาม แล้วเอาม้านั่งเล็ก ๆ เลื่อนมาตรงหน้า แสงสว่างจากธรรมชาติส่องมาไม่สว่างมากนัก
"เอ้า วางมือขวาลงมาก่อน บอกวันเดือนปีเกิดมา เวลาตกฟากด้วย"
เราก็บอกท่านช้า ๆ ท่านหยิบเอากระดาษมีรูปวงกลมช่องลัคนาอยู่แล้ว มาเขียนเลขลงไป
"
ลัคนาสถิตย์ที่ราศีพิจิก ราชาฤกษ์.." ท่านพูดพร้อมผูกดวงชะตา เสร็จก็หยิบแผ่นโลหะกลมคือแผ่นวางลัคนาสำเร็จรูปมาตรวจลัคนาว่าอยู่ราศีใดแน่ ท่านคำนวณอยู่พักหนึ่ง จึงเงยหน้ามามองดูเรา บอกว่า
"เอ้า แบมือขวาสิ" เรารีบวางฝ่ามือบนม้านั่ง ท่านเอาดินสอวางลากดูแนวเส้นแล้วจิ้มให้พลิกข้างสันมือ กลับไปดูที่ขีด ๆ เขียนไว้ เอาเลขมาบวกกันอีกพักหนึ่งก็พูดว่า
"จะจัดงานใหญ่นะ
แต่มันก้ำกึ่งว่าจะเป็นงานไม่ใช่งานมงคลเสียมากกว่า มีเรื่องราวเปลี่ยนแปลงเพราะตกเบญจเพสพอดี"
อ้าว..ท่านพูดถูกสินะ เราจะครบเบญจเพศแล้วนี่นา
"เป็นคนมีดวงชะตาแปลกสักหน่อย เอามือซ้ายมาดูสิ...นี่ไง ลายมือสองข้างต่างกันอย่างมาก ยังกะคนละคนกัน แต่ดวงแข็งมีเทวดาคุ้มครอง จะมีคนมาชอบพอมาก แต่ส่วนมากไม่ค่อยจะดีเท่าดวงชะตาของเรา คือดวงชะตาเขาต่ำกว่า จะทำให้อยู่กันไม่ยืดทั้งนั้น ถ้าพ้นเบญจเพสไปไม่เกินสามปี ดวงจะดีมาก มีคนลักษณะผิวไม่ขาวมาก เอ..
เหมือนเจอกันแล้วนี่ แล้วหายไปไหน คนที่อายุแก่กว่าสามถึงห้าปีนะ จะเป็นคนที่คุ้มครองเราได้ อย่าว่อกแว่กกับคนรอบข้าง แต่มีคนดวงชะตาแรงมาติดพัน ถ้าช่วงนี้ต้องไม่ทำกิจการใด ๆ ทั้งนั้น ถึงมีอยู่ต้องล้มเลิก..."
ท่านหยุดคิดนิ่งไปอีก แล้วจึงพูดต่อว่า
"ดวงชะตาเรามีญาติพี่น้องครอบครัวดี ไม่มีเรื่องร้อนใจ การเงินยิ่งอายุมากยิ่งรวย ลูกหลานพึ่งได้หมด เพราะชาติภูมิเกิดตกฟากดี มีที่ถือว่า
ดาวทับลัคนาหรือดาวกุมลัคนาจะให้โทษ ดวงคู่เราตกและส่วนมากไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน และคู่มักจะต่ำกว่าตน เพราะ
ดาวปัตนิกุมลัคนานั้น ย่อม
เป็นประเกษตร ดาวเจ้าเรือนปัตนิ อยู่ภพมรณะ ท่านว่า มีคู่มักตายจากกันหรือเป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว มีง่ายก็ทิ้งง่าย แต่ดวงชะตาเดิมดีเป็นทุนอยู่แล้ว แม้จะมีดวงชะตาจรมาเสริม เหมือนพลัดพรากที่อยู่แต่จะเป็นโชค คือดีมากกว่าเสีย เหมือนไปเจริญที่อื่น"
ท่านหยุดแล้วมองหน้าตุ้มสลับมองหน้าเรา เหมือนถามว่า อยากจะถามอะไรมั้ย..
"สรุปแล้วต้องไม่ทำการอะไรใช่ไหมคะ แล้วจะได้คู่จริง ๆ ปีไหนคะ" เรานึกคำถามได้แค่นี้ อึงอลกับศัพท์ต่าง ๆ ที่ท่านพูดมา
(มีต่ออีกนิดครับ)
🔘📝🙌THE WEEKLY GLOVES ไตรมาสสุดท้าย วีคที่ 37 เรื่องสั้น#83 "ดูดวง" โดย ถุงมือ "ไปตามดวง"🙌📝🔘
เริ่มถุงมือเรื่องสั้น เรื่องแรกกันครับ...
เป็นเรื่องของคนชอบดูดวง พาเพื่อนไปดูด้วย เพื่อนคนนี้ไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็เหมือนจะอยากลองดูกับเขาบ้าง ก็เลยตามเพื่อนไป ไปเจอแม่หมอคนหนึ่ง ดูแล้วก็งั้นๆไม่ค่อยเชื่อถืออะไรมากนักแต่ก็มีที่สะดุดใจบ้าง แต่หลังจากเพื่อนชวนไปดูกับพระแล้วตนเองไปดูด้วย ก็ "งานเข้า" !!
งานเข้ายังไง ตามไปอ่านกันครับ! จบแล้วมอบเกรดตามความชอบใจ แล้วเล็งหาคนเขียนดูเน้อ...
ยามเมื่อวัยสาว การคบหาสมาคมกับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน ย่อมมีกิจกรรมหลากหลายให้ทำ หนึ่งในนั้นคือการพูดคุยถึงเรื่องการดูหมอดู ที่นั่นที่นี่ดูแม่นเสียค่ายกครูไม่กี่บาท แถมยังดูได้ทุกอย่าง เมื่อฟังเรื่องเหล่านี้นาน ๆ เข้า ก็บังเกิดความสนใจในสถานะที่เป็นอยู่และในอนาคต
วันนี้นัดกับเพื่อนมากินส้มตำไก่ย่างมีชื่อที่ซอยสุโขทัย เมื่อได้มองกาละมังส้มตำที่ใส่พริกเหลือง ตำไว้เสร็จแล้วก็สั่งและนั่งรอทานพร้อมทั้งไก่ย่างที่มีเครื่องเทศกลิ่นหอม น้ำจิ้มเผ็ดหวานกำลังดี ทานอย่างเอร็ดอร่อยกันสองสาว แต่เมื่อตอนจะจ่ายเงินเพื่อนอยากได้เอาไปฝากที่บ้าน จึงจำต้องนั่งรอไก่สุกอีกต่อไป...
ขณะนั้นก็มีสาวใหญ่สองคนเดินเข้ามาสั่งส้มตำและไก่ย่างทาน เมื่อเขาทั้งสองมองหาที่นั่งและมาหยุดมองยังโต๊ะของเราที่หยุดการทานอาหารไปนานแล้ว อยู่ในสภาพนั่งรอ หนึ่งในสองก็เอ่ยว่า
"สงสัยคงทานแล้วใช่ไหมคะ"
เพื่อนตอบว่า " รอไก่ย่างค่ะ" แค่นั้นทำให้ทั้งสองเดินมายืนที่ ๆ เรานั่งอยู่ทันที อีกสักพักจึงมีคนเอาห่อไก่ย่างมาให้ ได้ยินเขาพูดกันว่า
"เขาจะเลิกขายแล้วนะ ทนสรรพากรมานั่งเช็คชามเก็บภาษีไม่ไหว"
เมื่อได้จากมาแล้วก็ได้ไปบ้านเพื่อนที่สาธุประดิษฐ์ต่อ เพื่อนพาแวะไปที่บ้านเอาไก่ไปให้พ่อและแม่ที่เป็นคนจีน แล้วจึงพาเดินไปบนสะพานไม้ทอดเข้าสู่ชุมชนชาวเรือนไม้ที่ปลูกอยู่ใกล้ ๆ กันในร่องสวนผักเก่า
ข้างหน้านั้นเป็นบ้านที่มีเครื่องประดับนอกบ้านแปลก ๆ ตรงหน้าจั่วหลังคามีเครื่องหมายเป็นรูปไก่ เข้ามาถึงหน้าประตูมีรองเท้าบอกจำนวนผู้อยู่ภายในบ้านหกเจ็ดคน เพื่อนทรุดนั่งลงและยกมือไหว้หญิงอ้วนใหญ่อายุไม่เกินหกสิบปี นั่งใส่เสื้อลายพร้อยที่คอมีสร้อยทองเส้นใหญ่สีทองสุกอร่ามและมีลูกประคำห้อยอยู่ด้วย ด้านหลังมีองค์พระใหญ่เล็กมากมายวางเกือบรอบหญิงอ้วนนั้น กลิ่นธูปจากกระถางหน้าพระอบอวลไปทั่วบริเวณ
"เป็นยังไง วันนี้" เป็นคำทักของนางที่มีต่อเพื่อนเรา
"พาเพื่อนมาไหว้เจ้าแม่ค่ะ" เราจึงต้องยกมือไหว้บ้าง สายตาที่มองมาเหมือนรู้ว่าเราไม่ศรัทธาในภาพรวม
"เชื่อถือเรอะ" คำถามลอย ๆ ทำเอาเพื่อนรีบออกตัวว่า
"เขาไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน" แล้วเพื่อนก็ขยับตัวเข้าไปบอกว่า " อยากให้ดูทีว่า ที่ตาบอดต่างจังหวัดควรซื้อไหม จะได้วางเงินค่ะ"
นางก็เอื้อมมือมาจับมือเพื่อนแล้วหลับตาท่องมนต์ สักพักก็บอกว่า
"ซื้อได้ แต่เราจะมีปัญหายุ่งยากภายหลัง"
"ปัญหาใหญ่ไหมคะ ควรหรือไม่ควรซื้อดี"
"รอก่อนจะได้ซื้อแน่ ๆ เป็นอสังหาริมทรัพย์ชิ้นสวยทีเดียว"
"อีกนานมั้ยคะ"
"หลังเดือนแปดสองหนนี่แหละ อยู่ไม่ไกลด้วย"
"ดูเรื่องทั่วไปด้วยค่ะ มีเคราะห์มั้ย"
"ไม่มีหรอก หน้าตาผ่องใสอย่างนี้ เอ้าเพื่อนล่ะ จะดูอะไร" นางเปลี่ยนจุดสนใจมาที่ตัวเรา ทำให้เพื่อนขยับตัวเองบอกว่า
"เอ้าตัวเข้ามาใกล้ ๆ สิ"
เราก็ขยับเข้าไป
นางเอามือยกเพื่อจับมือเราและลูบผิวสัมผัสกับมือเราด้วย
"คนนี้ชีวิตไม่ลำบาก แต่ต้องพลัดพรากนะ" พลัดพรากอะไรล่ะ เรานึกในใจ
"โหงวเฮ้งเราจะรับราชการดี แต่จะจากบ้านแม่พี่น้องวงศ์วานนะ" นางพูดต่อ
"ทำไมถึงต้องจากล่ะคะ" เราจึงถามบ้าง
"ตามดวง โตที่นี่ไปได้ดีที่อื่น" นางบอก
"จะต้องเปลี่ยนงานไหมคะ"
"ย้ายงานแน่นอน แต่ไม่แย่หรอก ดวงงานเรามีผู้ใหญ่อุปถัมภ์อยู่"
"จะได้เนื้อคู่เมื่อไรและแต่งงานเมื่อไร"
"เนื้อคู่เรามีสองคนนะ แต่งงานสองหนได้ ดีทั้งนั้น แล้วแต่เคราะห์ของฝ่ายชาย" ฟังประโยคหลังนี่ทำให้หวาดไปเลย อ้อ มันไม่แม่นหรอก บอกกับตัวเอง และอยากจะจบคำถามเลยทีเดียว
เพื่อนหันมาสบตาด้วย เลยพยักหน้าว่าพอ จะคิดว่าน่ากลัว ไม่เชื่อก็ได้
"เขาขอดูแค่นี้ค่ะ" เพื่อนบอกนางไป และขยับตัวเปิดกระเป๋าจ่ายเงินไปสี่ร้อยบาท ตามสายตาเรามองอยู่
เมื่อวางเงินในพานหน้าหญิงอ้วนนั้นแล้ว เพื้อนและเราเราก็ถอยออกมา สมาชิกที่นั่งอยู่ห่าง ๆ ก็ขยับตัวลุกนั่งเปลี่ยนที่กันไป
เราพากันกลับออกมา เราควักเงินสองร้อยบาทค่าดูหมอให้เพื่อน
"เป็นไง แม่นมั้ย" เพื่อนถาม
"ดูโหงวเฮ้งเค้าไม่รู้เรื่องหรอก ว่าหน้าตาบอกอะไรบ้าง ดูลายมือนิดเดียว ส่วนแม่นมั้ยเค้าก็ไม่รู้ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย"
"อ้าว แล้วแฟนตัวล่ะ"
"เค้าก็ไม่รู้ว่าจะใช่แฟนมั้ย เพิ่งจะไปไหนมาไหนกัน ยังไม่รู้อะไรเลย การไปไหนครั้งสองครั้งยังไม่รู้อะไรหรอก"
"ตัวเลือกมากได้นี่"
"อ้าวใครก็ต้องเลือก ตัวล่ะถึงไหนแล้วล่ะ"
"ถึงไหนอะไรพูดดี ๆ นา" เพื่อนตอบแต่มีหัวเราะเขิน
"ก็ที่เล็ง ๆ ไว้น่ะ"
"เค้าก็ว่าจะถามตัวอยู่นี่แหละ..นี่ถ้าผู้ชายเค้าสนใจเรา เขาจะออกอาการยังไงบ้าง.."
"โอย..อาการผู้ชายคล้ายรถแข่ง ตามดูไม่ทันหรอก อย่าบอกนะว่าเพื่อนคนไหน ถามจริง ตัวก็สนใจใช่มั้ยล่ะ"
เพื่อนยิ้มเบือนหน้าหนี..
แต่สิ่งที่สะกิดใจเราคือ น่าจะเป็นเพื่อนที่เคยบอกว่า เราน่ารัก...คนนั้น เพราะเขาเป็นคนจีนเหมือนกัน และเขาเคยมารับเราไปทานข้าว โดยมีอีกหนุ่มหนึ่งมาหาเราที่บ้านคลาดกันนิดเดียว
เราหวนคิดถึงท่าทีของเขา...ระหว่างเดินทางกลับและแยกกันกลับบ้านในภายหลัง
สัปดาห์ต่อมา เราได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสมัยมัธยม บอกว่าได้เบอร์จากเพื่อนอีกคนนึงมา หลังจากถามทักทายแล้ว ก็เข้าจุดหมายที่โทรมาหา
"ตัวว่างมั้ย อยากเจอกันหน่อย"
"มีอะไรเหรอ บอกมาได้เลยตุ้ม"
"คือเขาอยากให้ตัวได้ดูทัปเปอร์แวร์รุ่นใหม่ ราคาถูกพิเศษ พอดีญาติทำทางนี้อยู่ ก็เลยช่วยเขาเราก็ได้เปอร์เซ็นต์บ้างแต่ของแถมเยอะเลย ตัวลองดูก่อนก็ได้นะ นัดทำปาร์ตี้ได้ก็ดี สัก ห้าหกคน" เพื่อนบอกลู่ทางธุรกิจของตนเอง
"วันอาทิตย์ไม่ว่างพี่จะมาที่บ้าน วันเสาร์ว่าง"
"วันเสาร์เค้าจะไปหาหลวงพี่ที่วัด"
"ทำบุญเรอะ เค้าไปทำด้วยก็ได้นะ อยากไปวัดเหมือนกัน"
"อ้าว งั้นก็ดี มีเวลาแยะเลย ตัวมาวัดภูเขาทองถูกมั้ย"
"ไม่ไกล ไปถูก นัดตรงไหนบอกมา กี่โมง"
"เค้ารอตรงประตูด้านใกล้ถนนราชดำเนินนะ ใกล้ภูเขาทองที่สุดแล้ว เก้าโมงครึ่งนะ"
"โอเค แล้วเจอกัน"
เมื่อถึงวันนัด เราก็รีบขึ้นรถเมล์ไปทางบางลำภู แล้วต่อรถจะเข้าถนนราชดำเนินนอก ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผ่านป้อมมหากาฬ ที่ตรงข้ามเคยมีโรงหนังเฉลิมไทยตรงโค้งพอดี แล้วเลี้ยวขวาตรงคลองมหานาค วัดภูเขาทองจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ
เมื่อลงรถเมล์แล้วก็เดินมาบนถนนมหาชัย ถามคนหาทางเข้าวัดได้แล้วจึงเดินผ่านป้ายประตูวัดสระเกศตามชื่อที่ถูกต้องไปรอตรงใกล้ทางผ่านที่เป็นถนนพื้นปูนทั้งหมด ยืนแหงนมองภูเขาทองสีสวยสักพักตุ้มก็เดินมาโน่นแล้ว เพื่อนก็ตัวใหญ่ขึ้น แต่เค้าหน้าแววตาและรอยยิ้มยังเหมือนเดิม
อากาศเริ่มร้อนขึ้น ตุ้มรีบกางร่มเมื่อเห็นแสงแดดส่องแรงขึ้นพาเรารีบเดินไปยังกุฏิหลวงพี่น้อยทันที
เมื่อเดินผ่านหลายกุฏิเห็นผู้คนเดินผ่านมาบ้าง เราก็นึกได้ว่า ตามวัดทั่วไปมักจะมีพระหมอดูด้วย จึงเอ่ยถามตุ้มว่า
"วัดนี้มีพระดูหมอมั้ย น่าสนใจนะ เราว่าดูกับพระขลังดี" ในใจก็คิดต่อว่า พระย่อมไม่โกหก
"อ้าว แล้วไม่บอกว่าสนใจ มีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า หลวงพี่นี่ดูหมอด้วยนะ" ตุ้มรีบบอกทันที
"โอ..จุดใต้ตำตอ คือเพื่อนพาไปดูหมอดู แล้วเขาทายมาแปลก ๆ มันกังขาน่ะ"
"เดี๋ยวบอกหลวงพี่ให้ ท่านเก่งนะ ดูแม่นด้วย" ได้ยินตุ้มตอบ เหมือนเจอผู้มาแก้ปมกังวลสงสัยให้ เพราะตามหลักแล้ว หมอไม่น่าทักเรื่องร้ายให้คนดู นอกจากจะเอาเงินค่าสะเดาะเคราะห์เท่านั้น นึกได้เท้าก็รีบเดินอย่างมุ่งมั่นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมาถึงหน้าประตูกุฏิซึ่งเหมือนอาคารยาวแต่มีลักษณะแยกกันตรงช่วงแต่ละห้องด้วยผนังกั้นสูงลักษณะเป็นส่วนตัว ตุ้มชะเง้อมองเข้าไป ส่งเสียงเรียก สักครู่พระอายุไม่เกินสี่สิบปีก็เดินมาที่ประตู
"อ้าว ตุ้ม มาเข้ามา" ท่านบอกแล้วก็หลบเข้าไปสักพัก ก็โผล่มาใหม่ด้วยกำลังครองผ้าห่มบิด โดยยกจีวรชูขึ้น อีกมือหนึ่งม้วนบิดจีวรให้กระชับ เพื่อห่มคลุมออกนอกวัด
"รับนิมนต์ฉันเพล เดี๋ยวต้องไป " ท่านบอก
"นี่ค่ะ ป้าฝากของถึงหลวงพี่" ตุ้มล้วงกระเป๋าถือเอาซองหนา ๆ วางถวายให้
"หลวงพี่พอมีเวลามั้ยคะ อยากให้ช่วยดูดวงให้เพื่อนตุ้มด้วยค่ะ" ตุ้มถามท่านทันที
"ได้สักประเดี๋ยวนึงนะ " ว่าแล้วท่านก็เดินเข้าไปอีกนิด หยิบแผ่นวงกลมสำหรับหมุนหาฤกษ์ยาม แล้วเอาม้านั่งเล็ก ๆ เลื่อนมาตรงหน้า แสงสว่างจากธรรมชาติส่องมาไม่สว่างมากนัก
"เอ้า วางมือขวาลงมาก่อน บอกวันเดือนปีเกิดมา เวลาตกฟากด้วย"
เราก็บอกท่านช้า ๆ ท่านหยิบเอากระดาษมีรูปวงกลมช่องลัคนาอยู่แล้ว มาเขียนเลขลงไป
"ลัคนาสถิตย์ที่ราศีพิจิก ราชาฤกษ์.." ท่านพูดพร้อมผูกดวงชะตา เสร็จก็หยิบแผ่นโลหะกลมคือแผ่นวางลัคนาสำเร็จรูปมาตรวจลัคนาว่าอยู่ราศีใดแน่ ท่านคำนวณอยู่พักหนึ่ง จึงเงยหน้ามามองดูเรา บอกว่า
"เอ้า แบมือขวาสิ" เรารีบวางฝ่ามือบนม้านั่ง ท่านเอาดินสอวางลากดูแนวเส้นแล้วจิ้มให้พลิกข้างสันมือ กลับไปดูที่ขีด ๆ เขียนไว้ เอาเลขมาบวกกันอีกพักหนึ่งก็พูดว่า
"จะจัดงานใหญ่นะ แต่มันก้ำกึ่งว่าจะเป็นงานไม่ใช่งานมงคลเสียมากกว่า มีเรื่องราวเปลี่ยนแปลงเพราะตกเบญจเพสพอดี" อ้าว..ท่านพูดถูกสินะ เราจะครบเบญจเพศแล้วนี่นา
"เป็นคนมีดวงชะตาแปลกสักหน่อย เอามือซ้ายมาดูสิ...นี่ไง ลายมือสองข้างต่างกันอย่างมาก ยังกะคนละคนกัน แต่ดวงแข็งมีเทวดาคุ้มครอง จะมีคนมาชอบพอมาก แต่ส่วนมากไม่ค่อยจะดีเท่าดวงชะตาของเรา คือดวงชะตาเขาต่ำกว่า จะทำให้อยู่กันไม่ยืดทั้งนั้น ถ้าพ้นเบญจเพสไปไม่เกินสามปี ดวงจะดีมาก มีคนลักษณะผิวไม่ขาวมาก เอ..เหมือนเจอกันแล้วนี่ แล้วหายไปไหน คนที่อายุแก่กว่าสามถึงห้าปีนะ จะเป็นคนที่คุ้มครองเราได้ อย่าว่อกแว่กกับคนรอบข้าง แต่มีคนดวงชะตาแรงมาติดพัน ถ้าช่วงนี้ต้องไม่ทำกิจการใด ๆ ทั้งนั้น ถึงมีอยู่ต้องล้มเลิก..."
ท่านหยุดคิดนิ่งไปอีก แล้วจึงพูดต่อว่า
"ดวงชะตาเรามีญาติพี่น้องครอบครัวดี ไม่มีเรื่องร้อนใจ การเงินยิ่งอายุมากยิ่งรวย ลูกหลานพึ่งได้หมด เพราะชาติภูมิเกิดตกฟากดี มีที่ถือว่าดาวทับลัคนาหรือดาวกุมลัคนาจะให้โทษ ดวงคู่เราตกและส่วนมากไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน และคู่มักจะต่ำกว่าตน เพราะดาวปัตนิกุมลัคนานั้น ย่อมเป็นประเกษตร ดาวเจ้าเรือนปัตนิ อยู่ภพมรณะ ท่านว่า มีคู่มักตายจากกันหรือเป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว มีง่ายก็ทิ้งง่าย แต่ดวงชะตาเดิมดีเป็นทุนอยู่แล้ว แม้จะมีดวงชะตาจรมาเสริม เหมือนพลัดพรากที่อยู่แต่จะเป็นโชค คือดีมากกว่าเสีย เหมือนไปเจริญที่อื่น"
ท่านหยุดแล้วมองหน้าตุ้มสลับมองหน้าเรา เหมือนถามว่า อยากจะถามอะไรมั้ย..
"สรุปแล้วต้องไม่ทำการอะไรใช่ไหมคะ แล้วจะได้คู่จริง ๆ ปีไหนคะ" เรานึกคำถามได้แค่นี้ อึงอลกับศัพท์ต่าง ๆ ที่ท่านพูดมา
(มีต่ออีกนิดครับ)