*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
**คำเตือน: หนังมีความรุนแรงในระดับเรต R มีเลือด มีฉากชำแหละร่างกายคนบ้าง ไม่เหมาะสำหรับคนไม่ชอบความโหดครับ

เรื่องย่อ: ทหารพรานมือดีนายหนึ่งอย่าง "ควินน์ แมคเคนน่า" ได้ไปเผชิญหน้ากับนักล่าระดับจักรวาลอย่าง "เพรดเดเตอร์" ระหว่างทำภารกิจ เขาเอาตัวรอดมาได้อย่างสะบักสะบอมและแอบฉกอาวุธของเอเลี่ยนตนนั้นมาด้วย

ต่อมาเขาจึงได้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ไม่ได้มาโลกเป็นครั้งแรก แต่การมาเยือนของเผ่าพันธุ์นักล่าเริ่มที่จะถี่ขึ้นจนน่าสงสัย องค์กรลับที่ก่อตั้งเพื่อตามจับและค้นคว้าเทคโนโลยีต่างดาวโดยเฉพาะจึงตามไล่ล่าแมคเคนน่าเพื่อหวังชิงข้อมูลวิทยาการมา ... และเจ้าตัวเพรดเดเตอร์เองก็กำลังไล่ล่าอาวุธของมันอยู่เช่นกัน





1.แรกสุดเลยคือหนังแม่ม "โคตรฮา" คือฮาแบบเฉียบมากๆ  เป็นมุกที่อาศัยจังหวะรับ-ส่งที่ดีและขยี้อย่างเหมาะสม ผมไม่รู้จะชื่นชมมันยังไงดี แต่เอาเป็นว่ามันทำให้ช่วงต้น-กลางเรื่องของหนังออกมาเจ๋งมากๆ ในแบบของมันเอง

คือในขณะที่เรากำลังค่อยๆ โดนป้อนข้อมูลปรับพื้นฐานให้เข้าใจตัวหนัง มันก็ยิงมุกใส่เราเรื่อยๆ ทำให้จังหวะหนังมัน flow มากๆ ... เผลอตัวอีกที อ้าว! นี่มันกลางเรื่องแล้วนี่นา การต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มแล้วเหรอ คือมันเพลินจริงๆ ใครดูแล้วไม่ขำขอท้าให้มาคอมเพลนกับผู้เขียนได้เลย

2.ข้อดีอีกอย่างของการที่หนังมันฮาก็คือ "เราได้ทำความรู้จักตัวละคร" ที่มีค่อนข้างเยอะได้ไว คือเผลอแป๊ปๆ เราก็จะได้เรียนรู้ถึงอุปนิสัยใจคอของแต่ละคนผ่านมุกที่มันเล่นออกมาได้แล้ว

ส่งผลให้ในช่วงเวลาที่มีคนตายมันเลยดู "สำคัญ" มากขึ้น (แน่นอนว่าหนัง Predator ต้องมีคนตายเป็นผักปลาอยู่แล้ว) ที่สำคัญคือแนวคิดของ "แก๊งคนบ้า" ก็เข้าท่าอยู่ คือมันบ้าสมชื่อจริงๆ ทำได้ทุกอย่าง จะตายจะสู้ยังไงก็ได้ ก็อั๊วะบ้าไง!

3.หนังมันโหดถึงใจมาก คือความเป็นหนังชื่อนี้ด้วยแหละ ถ้ามันไม่มีความรุนแรง/ไม่ได้เห็นเลือดก็คงรู้สึกแปลกอยู่ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบดูอะไรโหดๆ มากนัก แต่ถ้าหนังมันใส่ความรุนแรงเข้ามาได้ฟิตกับบริบทดีมันก็ถือว่าเป็นจุดแข็งของตัวเองได้ ซึ่งใน The Predator เองก็ไม่ได้ใส่ความซาดิสม์เข้ามาแบบไร้เหตุผลขนาดนั้น (ถ้าไม่นับฉากแรกสุด) ส่วนตัวคิดว่ามันกำลังดีเลยล่ะ

4.อีกส่วนที่ชอบมากๆ ก็คือหนัง "เฉลี่ยความสำคัญให้กับทุกตัวละครได้ดี" คือทุกคนจะมีส่วนในการรับมือกับเอเลี่ยนสุดโหดกันหมด ไม่มีใครที่ทำตัวเป็นภาระหรือร้องให้ฟูมฟาย กระทั่งเด็กสิบขวบก็ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้ศัตรูด้วยซ้ำ!

คือหนังมันตัดส่วนที่ทำให้ดูโง่ออกไปเลย ทุกคน capable ที้จะด่าพ่อล่อแม่แล้วชักปืนมายิงศัตรูได้หมด (แต่ถามว่าสู้ได้ไหมก็อีกเรื่อง) นี่แหละสิ่งที่คนดูอย่างเราต้องการ



1.มันก็ไม่เชิงเป็นข้อเสีย แต่ผู้เขียนคิดว่าฉากแอคชั่นในหลายช่วงมันดูก๊องแก๊งไปหน่อย คือคุณนึกภาพตามนะ ศัตรูฝั่ง Predator น่ะมันมีเกราะกันกระสุนปืนใช่มั้ย แล้วพวกตัวเอกมันก็จะพยายามเอาปืนกล-ปืนพกไปยิงมัน

ผลก็เหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปแทงคอนกรีตนี่แหละ มันตัดอารมณ์ร่วมไปเยอะเลย เป็นฟีลลิ่งแบบ "เอาเวลาไปวิ่งหนีดีกว่าม้างงงงง" ที่ผมรู้สึกว่ามันน่าจะสื่อมาได้เท่กว่านี้นะ

2.ช่วงระหว่างตอนกลาง-ท้ายเรื่องแอบมีความรู้สึกว่าหนังเป๋ไปพักหนึ่ง คือเหมือนจังหวะที่หนังปั้นมาตลอดในช่วงแรกมันโดนรบกวนไปนิด ก่อนจะมาตั้งหลักได้อีกครั้งในฉากบู๊ยาวๆ สุดท้ายของเรื่องไปจนถึงตอนจบ ถือว่าเป็นจุดเสียในด้านความต่อเนื่องแล้วกัน

3.บทหนังถือว่าเละเทะพอสมควร คือผมก็ยังไม่เก็ตว่าสรุปไอ้ตัว Predator มันจะมาทำอะไรที่โลกกันแน่? แล้วสุดยอดอาวุธที่มันพกมาถ้าดีนักทำไมไม่ใช้เอง? แล้วหมาเอเลี่ยนสุดโหดมันยืนโง่ๆ ให้มนุษย์ยิงทำแป๊ะอะไร? โอย เควสชั่นมาร์กเต็มหัวไปหมด ถ้าหนังไม่เน้นขายแอคชั่นฮานี่คงหักคะแนนเละเทะไปแล้ว


สำหรับผม ผมคิดว่า The Predator เป็นหนังที่ดีในหมวดของมันนะ มันเป็นหนังแอคชั่นที่ไม่พยายามทำอะไรที่มากกว่านั้น มันมีองค์ประกอบที่ทำให้หนังสนุกผสมผสานกันได้แบบพอดีๆ ทั้งความฮาและความโหด

เรียกได้ว่าอาจจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของสัปดาห์นี้ที่มีหนังเข้าน้อยเลยก็ว่าได้ ถ้าคุณอยากผ่อนคลายกับหนังบู๊ล้างผลาญขยันปล่อยมุกไม่คิดอะไร ผมขอ recommend ให้ไปจัดด่วนเลยๆ ละกัน

ป.ล.1 เกร็ดเล็กน้อย หนัง Predator ภาคแรกและภาคสองออกฉายในปี 1987/1990 ตามลำดับนะครับ โดยมีลุงอาโนลด์คนเหล็กของเราแสดงนำบู๊ล้างผลาญเช่นกัน

ป.ล.2 ผมขัดใจปากตัวเองมากๆ ที่หนังไม่เรียกตัวเองว่า "พรีเดเตอร์" แล้ว แม้จะเข้าใจว่ามันผิดตามหลักการถอดเสียง แต่ใจมันรักในชื่อนั้นมากกว่านี่นา TT

#ตั๋วหนังมันแพง

ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจ "ตั๋วหนังมันแพง" ในเฟซบุ๊กได้ครับผม!