http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=3570
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ซึ่งในปัจจุบันเริ่มขยายลุกลามทั่วโลก และวิกฤติค่าเงินของตุรกีและอินโดนีเซีย และยังไม่เห็นทีท่าว่าจะจบลงเช่นไร????? เริ่มส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดเงินในประเทศใหม่อย่างชัดเจน
สัปดาห์นี้ Smart Invest ร่วมจับสัญญาณ ผ่านข้อมูลของ บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด พบว่านับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา...
ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนรวมแบ่งตาม Morningstar Category ยังถือว่าไม่สดใสโดยเฉพาะในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงสูง
ขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยจากกลุ่มกองทุนหุ้นในเอเชียยังคงติดลบ
นำโดยกลุ่ม Emerging Market Equity -10.56%
ตามมาด้วย China Equity -8.50%
Asia Pacific ex-Japan Equity -8.09%
และ ASEAN Equity -8.05%
สะท้อนภาวะการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่ยังไม่สดใสนัก!!!!
สำหรับกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด...หนีไม่พ้นกลุ่ม Commodities Energy ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดที่ 21.10% โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน
แต่ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีและ 5 ปี ยังคง “ติดลบ”
ส่วนกลุ่มกองทุนที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเช่น Global Health Care ให้ผลตอบแทนโดดเด่นอยู่ที่ 12.66%
และกลุ่มอุตสาหกรรม Property Indirect ให้ผลตอบแทน 9.13%
ขณะที่กองทุนหุ้นในประเทศเช่นกลุ่ม Equity Large-Cap ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบที่ -1.77% เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่ม Small/Mid-Cap ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ -5.96%
สำหรับกลุ่มกองทุนหุ้นต่างประเทศผลตอบแทนเฉลี่ยจาก US Equity +8.63% Global Equity +2.36% และ Europe Equity +0.64%
ภาพของการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากปัญหา สงครามการค้า ค่าเงินในประเทศเกิดใหม่ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ
ขณะที่ภาพของปัจจัยภายในประเทศ เริ่มกลับมาเห็นสัญญาณ “เชิงบวก” จากการเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งของประเทศไทย ที่ชันว่าจะมีขึ้นในภายในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
หลังกฎหมายเลือกตั้ง 2 ฉบับ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
หลายโบรกฯมองดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมายืนเหนือ 1,800-1,900 จุด
สัปดาห์หน้ามาดูกันว่า กองทุนหุ้นไทยค่ายไหนผลตอบแทนติด TOP 10 แล้วพบกันครับ!!!
//////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com
กองทุนหุ้นเอเชีย-ตลาดใหม่สะเทือน ผลพวงสงครามการค้า-วิกฤติค่าเงิน (โดย Smart Invest เว็บ Share2Trade)
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ซึ่งในปัจจุบันเริ่มขยายลุกลามทั่วโลก และวิกฤติค่าเงินของตุรกีและอินโดนีเซีย และยังไม่เห็นทีท่าว่าจะจบลงเช่นไร????? เริ่มส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดเงินในประเทศใหม่อย่างชัดเจน
สัปดาห์นี้ Smart Invest ร่วมจับสัญญาณ ผ่านข้อมูลของ บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด พบว่านับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา...
ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนรวมแบ่งตาม Morningstar Category ยังถือว่าไม่สดใสโดยเฉพาะในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงสูง
ขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยจากกลุ่มกองทุนหุ้นในเอเชียยังคงติดลบ
นำโดยกลุ่ม Emerging Market Equity -10.56%
ตามมาด้วย China Equity -8.50%
Asia Pacific ex-Japan Equity -8.09%
และ ASEAN Equity -8.05%
สะท้อนภาวะการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่ยังไม่สดใสนัก!!!!
สำหรับกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด...หนีไม่พ้นกลุ่ม Commodities Energy ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดที่ 21.10% โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน
แต่ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีและ 5 ปี ยังคง “ติดลบ”
ส่วนกลุ่มกองทุนที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเช่น Global Health Care ให้ผลตอบแทนโดดเด่นอยู่ที่ 12.66%
และกลุ่มอุตสาหกรรม Property Indirect ให้ผลตอบแทน 9.13%
ขณะที่กองทุนหุ้นในประเทศเช่นกลุ่ม Equity Large-Cap ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบที่ -1.77% เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่ม Small/Mid-Cap ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ -5.96%
สำหรับกลุ่มกองทุนหุ้นต่างประเทศผลตอบแทนเฉลี่ยจาก US Equity +8.63% Global Equity +2.36% และ Europe Equity +0.64%
ภาพของการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากปัญหา สงครามการค้า ค่าเงินในประเทศเกิดใหม่ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ
ขณะที่ภาพของปัจจัยภายในประเทศ เริ่มกลับมาเห็นสัญญาณ “เชิงบวก” จากการเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งของประเทศไทย ที่ชันว่าจะมีขึ้นในภายในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
หลังกฎหมายเลือกตั้ง 2 ฉบับ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
หลายโบรกฯมองดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมายืนเหนือ 1,800-1,900 จุด
สัปดาห์หน้ามาดูกันว่า กองทุนหุ้นไทยค่ายไหนผลตอบแทนติด TOP 10 แล้วพบกันครับ!!!
//////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com