สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
จุดประสงค์หลักที่มีร่วมกันของคณะราษฎรตั้งแต่แรกคือการเปลี่ยนการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) มาเป็นระบอบที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย (Limited Monarchy) หรือ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ไม่ใช่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ (Republic) ครับ
ในหมู่สมาชิกของคณะราษฎรเองก็ไม่ได้มีความเห็นลงรอยกัน บางคนก็ไม่ได้ชื่นชอบระบอบกษัตริย์เลย แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีจุดประสงค์ล้มล้างระบบกษัตริย์เพียงแต่ต้องการให้กษัตริย์ลงมาอยู่ใต้กฎหมายเท่านั้น หลายคนมีหลักฐานว่าแม้ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่ยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และปฏิเสธที่จะใช้วิธีการรุนแรงตอนยึดอำนาจ สุดท้ายจึงนำมาสู่ข้อสรุปว่าควรจะคงระบอบกษัตริย์ไว้
เหตุผลอีกประการคือสังคมไทยผูกพันระบอบกษัตริย์มาหลายร้อยปี หากฝืนไปล้มล้างย่อมนำมาสู่ความขัดแย้งและการต่อต้านรัฐบาลใหม่อย่างรุนแรงจนอาจสูญเสียเลือดเนื้อได้ และคณะราษฎรเองที่มีสมาชิกจำนวนไม่มากก็ยากจะดำเนินการให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง จึงต้องประนีประนอมกับระบอบเก่าเพื่อสร้างสิทธิธรรมของตนเองที่เป็นกลุ่มอำนาจใหม่ด้วย
จึงปรากฏว่าแม้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วก็ใช้ว่าคณะราษฎรจะมีอำนาจเป็นสิทธิขาด ดังที่เห็นชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ ฉบับถาวรนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนร่วมในการร่างอย่างมาก และคณะอนุกรรมการร่าง ๘ ใน ๙ คนล้วนแต่เป็นข้าราชการในระบอบเก่า มีเพียงหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นสมาชิกคณะราษฎรเพียงคนเดียว ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงกว่าฉบับที่หลวงประดิษฐ์ฯ ร่างไว้ตอนแรกมาก
และในรัฐบาลใหม่ ทั้งคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่ได้มีแต่สมาชิกคณะราษฎร ยังมีเสนาบดี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในระบอบเก่า และเชื้อพระวงศ์เข้าร่วมอยู่หลายท่าน คณะราษฎรในเวลานั้นจึงไม่ได้มีอำนาจเป็นสิทธิขาดอย่างที่เข้าใจกัน
สำหรับเรื่องผู้สืบราชสมบัติหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสละราษฎรสมบัติ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๙ ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า
"การสืบราชสมบัติ ท่านว่า ให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ และประกอบด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร"
รัฐบาลในเวลานั้น (ซึ่งไม่ได้มีแต่คณะราษฎร) ก็ตกลงยึดถือปฏิบัติตามนั้น โดยตามบัญชีลำดับการราชสันตติวงศ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา ๙ กฎมณเฑียรบาล พ.ศ. ๒๔๖๗ ซึ่งกระทรวงวังเป็นผู้จัดทำขึ้นและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงลงพระนามรับรองว่าถูกต้องแล้วนั้น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลทรงอยู่อันดับ ๑
จริงๆ ตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่กี่วัน ก็ปรากฏบันทึกลับของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ราชเลขาธิการ ระบุเหตุการณ์วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทรงสมควรเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อไปตามกฎมณเฑียรบาล
"วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๑๕ น. โปรดเกล้าฯ ให้พระยามโนปกรณ์ ฯ พระยาศรีวิสาร ฯ พระยาปรีดาชลยุทธ พระยาพหลฯ กับหลวงประดิษฐมนูธรรมมาเฝ้าฯที่วังสุโขทัย มีพระราชดำรัสว่าอยากจะสอบถามความบางข้อ และบอกความจริงใจ ฯลฯ ฯลฯ อีกอย่างหนึ่ง อยากจะแนะนำเรื่องสืบสันตติวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และพระพุทธเจ้าหลวง ได้เคยทรงพระราชดำริที่จะออกจากราชสมบัติ เมื่อทรงพระชราเช่นเดียวกัน ในส่วนพระองค์ พระเนตรก็ไม่ปกติ คงทนงานไปได้ไม่นาน เมื่อการณ์ปกติแล้ว จึ่งอยากจะลาออกเสีย ทรงพระราชดำริเห็นว่าพระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชร์บูรณ์ก็ถูกข้ามมาแล้ว ผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อไปควรจะเป็นพระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงสงขลานครินทร์ ฯลฯ"
ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงขัดแย้งกับรัฐบาลจนประกาศว่าจะทรงสละราชสมบัติ ซึ่งการกระทำของพระองค์ไม่ได้ "เข้าทาง" รัฐบาลในเวลานั้นเลย ตรงกันข้ามรัฐบาลกับพยายามเจรจาประนีประนอมกับพระองค์ไม่ให้สละราชสมบัติ ดังที่กล่าวไว้แล้วว่ารัฐบาลใหม่ก็ยังต้องอาศัยระบอบเก่าอยู่ ในวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงทรงมีพระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๒ ถึงรัฐบาล โดยทรงพระราชทานผ่านพระยาราชวังสัน อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส มีใจความตอนหนึ่งได้แสดงพระราชดำริเกี่ยวกับผู้สืบราชสมบัติไว้ว่า
"ทางที่จะเลือกมีดังนี้
๑ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งอ้างได้ว่าให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ทางนี้ผลดีอยู่มาก คือเป็นทางที่ตรงตาม Legality แต่เสียทีที่ยังเป็นเด็ก แม้การเป็นเด็กนั้นเองก็อาจเป็นของดี เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดไป ก็ไม่กระทบกระเทือนถึงองค์พระมหากษัตริย์ ไม่มีใครซัดทอดไปถึงซึ่งจะเป็นข้อดีมาก ข้อสำคัญอยู่ที่การเลือกผู้สำเร็จราชการ ซึ่งฉันเห็นว่า เจ้าฟ้ากรมพระนริศฯ หรือทูลกระหม่อมหญิงวไลย องค์ใดองค์หนึ่งทรงดำรงตำแหน่งนี้แล้ว จะเป็นที่เคารพนับถือแก่คนทั่วไป และไม่น่าจะเป็นศูนย์กลางแห่งการแตกร้าวกันระหว่างคณะการเมืองต่างๆ ด้วย
๒ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ซึ่งอาจจะยินดียอมรับตำแหน่งและฉันได้ทราบแน่นอนว่ามีความคิดเห็นอยู่หลายอย่างในทางที่จะทำให้พระมหากษัตริย์กับคณะราษฎรหมดข้อบาดหมางกันได้ และดำเนิน Policy บางอย่างที่จะเป็นที่พอใจของคณะราษฎร เช่น จะยกสมบัติพระคลังข้างที่ให้กับรัฐบาลและขอเงินก้อนประจำปีแทน จะเลิกทหารรักษาวัง และยอมให้รัฐบาลตั้งข้าราชการในราชสำนักตามใจ วิธีการเหล่านี้ล้วนเป็นของที่ฉันเองยอมไม่ได้ และจะต้องวิวาทกับรัฐบาลอีกต่อไปอย่างแน่นอน เว้นแต่รัฐบาลจะผ่อนผันตาม
ทางเสียนั้น เห็นจะไม่ต้องอธิบาย เพราะๆ ใครก็นึกเห็นได้
ในสองทางที่จะเลือกนี้ ฉันพร้อมที่จะสนับสนุนโดยเต็มที่ แล้วแต่รัฐบาลและสภาฯ จะเลือกทางไหน"
(ข้อ ๒ ที่ทรงเสนอชื่อพระองค์จุลฯ ขึ้นมาเข้าใจว่าทรงประชดรัฐบาลมากกว่า ดังที่ทรงกล่าวในทำนองว่าพระองค์จุลฯ จะทรงยอมทำตามรัฐบาลหลายๆ เรื่องที่ทรงยอมไม่ได้ และที่สำคัญคือทรงทราบดีว่าพระองค์จุลฯ ทรงถูกข้ามจากการสืบสันตติวงศ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ แล้ว และยังทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระองค์จุลฯ อยู่หลายครั้งว่าพระองค์ทรงเห็นว่าพระองค์จุลฯ ไม่สมควรจะได้รับราชสมบัติ)
จึงปรากฏว่าตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มประกาศจะสละราชสมบัติไม่นาน รัฐบาลก็เริ่มได้ติดต่อกับพระองค์เจ้าอานันทมหิดลไว้บ้างแล้ว โดยนาวาตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้ไปเข้าเฝ้าพระองค์เจ้าอานันท์ฯ ที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ และได้ทาบทามเรื่องที่จะรับสืบราชสันตติวงศ์ (ซึ่งพระองค์เจ้าอานันท์ฯ ทรงตอบว่าไม่อยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยเหตุผล ๖ ข้อ)
และหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ ในวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี นาวาตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี และหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าเพื่อกราบบังคมทูลฯ ให้ทรงทราบว่าจะอัญเชิญพระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชสมบัติต่อไปตามกฎมณเฑียรบาลและรัฐธรรมนูญ สมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงตอบว่าท่านไม่มีเสียงอะไร ขอให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
จึงนำมาสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เพื่ออภิปรายเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ โดยตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าการสืบราชสมบัตินั้น นอกจากยึดตามกฎมณเฑียรบาลแล้วสภาผู้แทนราษฎรต้องให้ความเห็นชอบด้วย ถ้าสภาไม่เห็นชอบก็จะพิจารณาพระราชวงศ์ที่อยู่ในลำดับพระองค์ถัดไป ข้อนี้เป็นไปตามที่หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ทรงแถลงไว้ในสภาว่า
"ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๙ นั้น มีความว่าการสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ และประกอบด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา ๘ แห่งกฎมณเฑียรบาลที่ว่านั้นมีความว่าอย่างนี้ คือ ท่านให้เป็นหน้าที่ท่านเสนาบดีอัญเชิญเสด็จเจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์องค์ที่ ๑ ในลำดับสืบราชสันตติวงศ์ ดังได้แถลงไว้ในมาตรา ๙ ขึ้นทรงราชย์ สืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป แล้วก็ตามมาตรา ๙ บัญชีที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวังอ่านเสนอเมื่อกี้นี้ก็ลำดับตามมาตรา ๙ แต่ว่าตามมาตรา ๘ นั้นว่าให้ได้แก่พระองค์ที่ ๑ คราวนี้ควบเข้ากับรัฐธรรมนูญมาตรา ๙ ก็แปลว่าพระองค์ที่ ๑ คือได้แก่พระองค์เจ้าอานันทมหิดลนั้นจะสืบราชสมบัติได้ก็ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ต่อเมื่อสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบกับพระองค์นั้นแล้ว ก็จะต่อไปพระองค์ที่ ๒ ตามลำดับ"
จึงมีการอภิปรายถกเถียงกันในสภาถึงความเหมาะสมที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์เจ้าอานันท์ฯ อย่างยืดยาว มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่น
ร.ท.ทองคำ คล้ายโอภาส ผู้แทนราษฎรจังหวัดปราจีนบุรี อภิปรายเหตุผลในการเลือกพระมหากษัตริย์ที่เหมาะสมอย่างยืดยาว และกล่าวว่าการให้พระเจ้าแผ่นดินที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะนำมาสู่ปัญหาหลายประการดังที่เคยมีในประวัติศาสตร์ ต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการซึ่งก็อาจจะมีปัญหา และราษฎรอาจหาว่ารัฐบาลตั้งกษัตริย์เด็กไว้เป็นเครื่องมือ
นายไต๋ ปาณิกบุตร ผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร แถลงว่าผู้ที่จะทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ควรเป็นผู้ที่มหาชนนับถือได้ ส่วนตัวแล้วนับถือเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีทุกพระองค์แต่เห็นว่าพระองค์เจ้าอานันท์ฯ ยังทรงพระเยาว์
บางท่านก็เสนอว่าการตั้งผู้สำเร็จราชการจะเป็นการเสียเวลาอีก บ้างก็อ้างว่าไม่จำเป็นต้องยึดตามกฎมณเฑียรบาลก็ได้
แต่ ส.ส. ส่วนใหญ่เห็นควรว่าควรยึดถือตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้กฎมณเฑียรบาลมากกว่าจะเอาเรื่องอายุพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นเกณฑ์ ถ้าหากไม่เห็นชอบจึงจะพิจารณาเจ้านายพระองค์อื่นตามลำดับต่อไป เช่น
นายสร้อย ณ ลำปาง ผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง อภิปรายว่าพระองค์อานันทมหิดลที่อยู่อันดับ ๑ ก็สมควรจะได้รับราชสมบัติมากที่สุดตามสิทธิ หากไปเลือกผู้อื่นแล้วเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะจะทรงเสียพระทัย และอาจนำมาสู่ปัญหาความแตกร้าวในพระบรมวงศานุวงศ์หรือเป็นภัยต่อบ้านเมือง และในอดีตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงครองราชย์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์เหมือนกัน
นายสวัสดิ์ ยูวะเวส ผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ อภิปรายว่าถ้าถือตามรัฐธรรมนูญแล้ว พระมหากษัตริย์ทำอะไรไม่ผิด และพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทำอะไรเลย พระมหากษัตริย์ไม่มีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบ ความสำคัญของพระมหากษัตริย์ไม่มีเท่าไหร่นัก การเลือกพระเจ้าแผ่นดินเด็กจึงไม่มีปัญหา
พระพินิจธนากร ผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ อภิปรายว่า ได้รู้จักคุ้นเคยกับเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ว่าเป็นผู้ที่รักประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ถ้าลูกของท่านเหมือนพระบิดาจะเป็นการดี นอกจากนี้ท่านยังเด็กย่อมใช้จ่ายน้อย และการเมื่อมีรัฐธรรมนูญ สภาเป็นผู้รับผิดชอบ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงทำผิดไม่ได้คือ "The King can do no wrong" การเลือกพระเจ้าแผ่นดินเด็กจึงไม่มีปัญหา
การประชุมยืดเยื้อมาถึงวันที่ ๗ มีนาคม จึงปิดอภิปรายและให้ลงคะแนนเสียง ฝ่ายที่เห็นควรให้พระองค์เจ้าอานันท์ฯ เป็นพระมหากษัตริย์ชนะไปด้วยคะแนน ๑๒๗ ต่อ ๒
พระองค์เจ้าอานันท์จึงได้เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งราชวงศ์จักรีตามที่รัฐธรรมนูญและกฎมณเฑียรบาลกำหนดทุกประการ
ถ้าได้อ่านรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๓๓/๒๔๗๗ (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) ซึ่งผมลงเพิ่มเติมไว้ใน คห.ที่ 15-1 และ 15-2 จะเห็นรายละเอียดชัดเจนว่าการเลือกพระองค์เจ้าอานันทมหิดลนั้น นอกจากเป็นไปตามกระบวนการทางรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นไปตามยังเป็นไปตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๗ และยังมีเหตุผลอีกหลายประการดังที่ปรากฏในรายงานการประชุม ซึ่งมีอะไรมากกว่าที่อ้างกันว่าคณะราษฎรเลือกพระเจ้าแผ่นดินเด็กเพราะอยากกุมอำนาจ ซึ่งต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลในเวลานั้นไม่ได้มีแต่คณะราษฎรเท่านั้น แต่ยังมีข้าราชการในระบอบเก่าอยู่จำนวนมาก
ในหมู่สมาชิกของคณะราษฎรเองก็ไม่ได้มีความเห็นลงรอยกัน บางคนก็ไม่ได้ชื่นชอบระบอบกษัตริย์เลย แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีจุดประสงค์ล้มล้างระบบกษัตริย์เพียงแต่ต้องการให้กษัตริย์ลงมาอยู่ใต้กฎหมายเท่านั้น หลายคนมีหลักฐานว่าแม้ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่ยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และปฏิเสธที่จะใช้วิธีการรุนแรงตอนยึดอำนาจ สุดท้ายจึงนำมาสู่ข้อสรุปว่าควรจะคงระบอบกษัตริย์ไว้
เหตุผลอีกประการคือสังคมไทยผูกพันระบอบกษัตริย์มาหลายร้อยปี หากฝืนไปล้มล้างย่อมนำมาสู่ความขัดแย้งและการต่อต้านรัฐบาลใหม่อย่างรุนแรงจนอาจสูญเสียเลือดเนื้อได้ และคณะราษฎรเองที่มีสมาชิกจำนวนไม่มากก็ยากจะดำเนินการให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง จึงต้องประนีประนอมกับระบอบเก่าเพื่อสร้างสิทธิธรรมของตนเองที่เป็นกลุ่มอำนาจใหม่ด้วย
จึงปรากฏว่าแม้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วก็ใช้ว่าคณะราษฎรจะมีอำนาจเป็นสิทธิขาด ดังที่เห็นชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ ฉบับถาวรนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนร่วมในการร่างอย่างมาก และคณะอนุกรรมการร่าง ๘ ใน ๙ คนล้วนแต่เป็นข้าราชการในระบอบเก่า มีเพียงหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นสมาชิกคณะราษฎรเพียงคนเดียว ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงกว่าฉบับที่หลวงประดิษฐ์ฯ ร่างไว้ตอนแรกมาก
และในรัฐบาลใหม่ ทั้งคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่ได้มีแต่สมาชิกคณะราษฎร ยังมีเสนาบดี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในระบอบเก่า และเชื้อพระวงศ์เข้าร่วมอยู่หลายท่าน คณะราษฎรในเวลานั้นจึงไม่ได้มีอำนาจเป็นสิทธิขาดอย่างที่เข้าใจกัน
สำหรับเรื่องผู้สืบราชสมบัติหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสละราษฎรสมบัติ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๙ ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า
"การสืบราชสมบัติ ท่านว่า ให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ และประกอบด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร"
รัฐบาลในเวลานั้น (ซึ่งไม่ได้มีแต่คณะราษฎร) ก็ตกลงยึดถือปฏิบัติตามนั้น โดยตามบัญชีลำดับการราชสันตติวงศ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา ๙ กฎมณเฑียรบาล พ.ศ. ๒๔๖๗ ซึ่งกระทรวงวังเป็นผู้จัดทำขึ้นและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงลงพระนามรับรองว่าถูกต้องแล้วนั้น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลทรงอยู่อันดับ ๑
จริงๆ ตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่กี่วัน ก็ปรากฏบันทึกลับของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ราชเลขาธิการ ระบุเหตุการณ์วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทรงสมควรเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อไปตามกฎมณเฑียรบาล
"วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๑๕ น. โปรดเกล้าฯ ให้พระยามโนปกรณ์ ฯ พระยาศรีวิสาร ฯ พระยาปรีดาชลยุทธ พระยาพหลฯ กับหลวงประดิษฐมนูธรรมมาเฝ้าฯที่วังสุโขทัย มีพระราชดำรัสว่าอยากจะสอบถามความบางข้อ และบอกความจริงใจ ฯลฯ ฯลฯ อีกอย่างหนึ่ง อยากจะแนะนำเรื่องสืบสันตติวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และพระพุทธเจ้าหลวง ได้เคยทรงพระราชดำริที่จะออกจากราชสมบัติ เมื่อทรงพระชราเช่นเดียวกัน ในส่วนพระองค์ พระเนตรก็ไม่ปกติ คงทนงานไปได้ไม่นาน เมื่อการณ์ปกติแล้ว จึ่งอยากจะลาออกเสีย ทรงพระราชดำริเห็นว่าพระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชร์บูรณ์ก็ถูกข้ามมาแล้ว ผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อไปควรจะเป็นพระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงสงขลานครินทร์ ฯลฯ"
ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงขัดแย้งกับรัฐบาลจนประกาศว่าจะทรงสละราชสมบัติ ซึ่งการกระทำของพระองค์ไม่ได้ "เข้าทาง" รัฐบาลในเวลานั้นเลย ตรงกันข้ามรัฐบาลกับพยายามเจรจาประนีประนอมกับพระองค์ไม่ให้สละราชสมบัติ ดังที่กล่าวไว้แล้วว่ารัฐบาลใหม่ก็ยังต้องอาศัยระบอบเก่าอยู่ ในวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงทรงมีพระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๒ ถึงรัฐบาล โดยทรงพระราชทานผ่านพระยาราชวังสัน อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส มีใจความตอนหนึ่งได้แสดงพระราชดำริเกี่ยวกับผู้สืบราชสมบัติไว้ว่า
"ทางที่จะเลือกมีดังนี้
๑ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งอ้างได้ว่าให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ทางนี้ผลดีอยู่มาก คือเป็นทางที่ตรงตาม Legality แต่เสียทีที่ยังเป็นเด็ก แม้การเป็นเด็กนั้นเองก็อาจเป็นของดี เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดไป ก็ไม่กระทบกระเทือนถึงองค์พระมหากษัตริย์ ไม่มีใครซัดทอดไปถึงซึ่งจะเป็นข้อดีมาก ข้อสำคัญอยู่ที่การเลือกผู้สำเร็จราชการ ซึ่งฉันเห็นว่า เจ้าฟ้ากรมพระนริศฯ หรือทูลกระหม่อมหญิงวไลย องค์ใดองค์หนึ่งทรงดำรงตำแหน่งนี้แล้ว จะเป็นที่เคารพนับถือแก่คนทั่วไป และไม่น่าจะเป็นศูนย์กลางแห่งการแตกร้าวกันระหว่างคณะการเมืองต่างๆ ด้วย
๒ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ซึ่งอาจจะยินดียอมรับตำแหน่งและฉันได้ทราบแน่นอนว่ามีความคิดเห็นอยู่หลายอย่างในทางที่จะทำให้พระมหากษัตริย์กับคณะราษฎรหมดข้อบาดหมางกันได้ และดำเนิน Policy บางอย่างที่จะเป็นที่พอใจของคณะราษฎร เช่น จะยกสมบัติพระคลังข้างที่ให้กับรัฐบาลและขอเงินก้อนประจำปีแทน จะเลิกทหารรักษาวัง และยอมให้รัฐบาลตั้งข้าราชการในราชสำนักตามใจ วิธีการเหล่านี้ล้วนเป็นของที่ฉันเองยอมไม่ได้ และจะต้องวิวาทกับรัฐบาลอีกต่อไปอย่างแน่นอน เว้นแต่รัฐบาลจะผ่อนผันตาม
ทางเสียนั้น เห็นจะไม่ต้องอธิบาย เพราะๆ ใครก็นึกเห็นได้
ในสองทางที่จะเลือกนี้ ฉันพร้อมที่จะสนับสนุนโดยเต็มที่ แล้วแต่รัฐบาลและสภาฯ จะเลือกทางไหน"
(ข้อ ๒ ที่ทรงเสนอชื่อพระองค์จุลฯ ขึ้นมาเข้าใจว่าทรงประชดรัฐบาลมากกว่า ดังที่ทรงกล่าวในทำนองว่าพระองค์จุลฯ จะทรงยอมทำตามรัฐบาลหลายๆ เรื่องที่ทรงยอมไม่ได้ และที่สำคัญคือทรงทราบดีว่าพระองค์จุลฯ ทรงถูกข้ามจากการสืบสันตติวงศ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ แล้ว และยังทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระองค์จุลฯ อยู่หลายครั้งว่าพระองค์ทรงเห็นว่าพระองค์จุลฯ ไม่สมควรจะได้รับราชสมบัติ)
จึงปรากฏว่าตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มประกาศจะสละราชสมบัติไม่นาน รัฐบาลก็เริ่มได้ติดต่อกับพระองค์เจ้าอานันทมหิดลไว้บ้างแล้ว โดยนาวาตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้ไปเข้าเฝ้าพระองค์เจ้าอานันท์ฯ ที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ และได้ทาบทามเรื่องที่จะรับสืบราชสันตติวงศ์ (ซึ่งพระองค์เจ้าอานันท์ฯ ทรงตอบว่าไม่อยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยเหตุผล ๖ ข้อ)
และหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ ในวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี นาวาตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี และหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าเพื่อกราบบังคมทูลฯ ให้ทรงทราบว่าจะอัญเชิญพระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชสมบัติต่อไปตามกฎมณเฑียรบาลและรัฐธรรมนูญ สมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงตอบว่าท่านไม่มีเสียงอะไร ขอให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
จึงนำมาสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เพื่ออภิปรายเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ โดยตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าการสืบราชสมบัตินั้น นอกจากยึดตามกฎมณเฑียรบาลแล้วสภาผู้แทนราษฎรต้องให้ความเห็นชอบด้วย ถ้าสภาไม่เห็นชอบก็จะพิจารณาพระราชวงศ์ที่อยู่ในลำดับพระองค์ถัดไป ข้อนี้เป็นไปตามที่หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ทรงแถลงไว้ในสภาว่า
"ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๙ นั้น มีความว่าการสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ และประกอบด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา ๘ แห่งกฎมณเฑียรบาลที่ว่านั้นมีความว่าอย่างนี้ คือ ท่านให้เป็นหน้าที่ท่านเสนาบดีอัญเชิญเสด็จเจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์องค์ที่ ๑ ในลำดับสืบราชสันตติวงศ์ ดังได้แถลงไว้ในมาตรา ๙ ขึ้นทรงราชย์ สืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป แล้วก็ตามมาตรา ๙ บัญชีที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวังอ่านเสนอเมื่อกี้นี้ก็ลำดับตามมาตรา ๙ แต่ว่าตามมาตรา ๘ นั้นว่าให้ได้แก่พระองค์ที่ ๑ คราวนี้ควบเข้ากับรัฐธรรมนูญมาตรา ๙ ก็แปลว่าพระองค์ที่ ๑ คือได้แก่พระองค์เจ้าอานันทมหิดลนั้นจะสืบราชสมบัติได้ก็ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ต่อเมื่อสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบกับพระองค์นั้นแล้ว ก็จะต่อไปพระองค์ที่ ๒ ตามลำดับ"
จึงมีการอภิปรายถกเถียงกันในสภาถึงความเหมาะสมที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์เจ้าอานันท์ฯ อย่างยืดยาว มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่น
ร.ท.ทองคำ คล้ายโอภาส ผู้แทนราษฎรจังหวัดปราจีนบุรี อภิปรายเหตุผลในการเลือกพระมหากษัตริย์ที่เหมาะสมอย่างยืดยาว และกล่าวว่าการให้พระเจ้าแผ่นดินที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะนำมาสู่ปัญหาหลายประการดังที่เคยมีในประวัติศาสตร์ ต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการซึ่งก็อาจจะมีปัญหา และราษฎรอาจหาว่ารัฐบาลตั้งกษัตริย์เด็กไว้เป็นเครื่องมือ
นายไต๋ ปาณิกบุตร ผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร แถลงว่าผู้ที่จะทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ควรเป็นผู้ที่มหาชนนับถือได้ ส่วนตัวแล้วนับถือเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีทุกพระองค์แต่เห็นว่าพระองค์เจ้าอานันท์ฯ ยังทรงพระเยาว์
บางท่านก็เสนอว่าการตั้งผู้สำเร็จราชการจะเป็นการเสียเวลาอีก บ้างก็อ้างว่าไม่จำเป็นต้องยึดตามกฎมณเฑียรบาลก็ได้
แต่ ส.ส. ส่วนใหญ่เห็นควรว่าควรยึดถือตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้กฎมณเฑียรบาลมากกว่าจะเอาเรื่องอายุพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นเกณฑ์ ถ้าหากไม่เห็นชอบจึงจะพิจารณาเจ้านายพระองค์อื่นตามลำดับต่อไป เช่น
นายสร้อย ณ ลำปาง ผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง อภิปรายว่าพระองค์อานันทมหิดลที่อยู่อันดับ ๑ ก็สมควรจะได้รับราชสมบัติมากที่สุดตามสิทธิ หากไปเลือกผู้อื่นแล้วเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะจะทรงเสียพระทัย และอาจนำมาสู่ปัญหาความแตกร้าวในพระบรมวงศานุวงศ์หรือเป็นภัยต่อบ้านเมือง และในอดีตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงครองราชย์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์เหมือนกัน
นายสวัสดิ์ ยูวะเวส ผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ อภิปรายว่าถ้าถือตามรัฐธรรมนูญแล้ว พระมหากษัตริย์ทำอะไรไม่ผิด และพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทำอะไรเลย พระมหากษัตริย์ไม่มีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบ ความสำคัญของพระมหากษัตริย์ไม่มีเท่าไหร่นัก การเลือกพระเจ้าแผ่นดินเด็กจึงไม่มีปัญหา
พระพินิจธนากร ผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ อภิปรายว่า ได้รู้จักคุ้นเคยกับเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ว่าเป็นผู้ที่รักประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ถ้าลูกของท่านเหมือนพระบิดาจะเป็นการดี นอกจากนี้ท่านยังเด็กย่อมใช้จ่ายน้อย และการเมื่อมีรัฐธรรมนูญ สภาเป็นผู้รับผิดชอบ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงทำผิดไม่ได้คือ "The King can do no wrong" การเลือกพระเจ้าแผ่นดินเด็กจึงไม่มีปัญหา
การประชุมยืดเยื้อมาถึงวันที่ ๗ มีนาคม จึงปิดอภิปรายและให้ลงคะแนนเสียง ฝ่ายที่เห็นควรให้พระองค์เจ้าอานันท์ฯ เป็นพระมหากษัตริย์ชนะไปด้วยคะแนน ๑๒๗ ต่อ ๒
พระองค์เจ้าอานันท์จึงได้เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งราชวงศ์จักรีตามที่รัฐธรรมนูญและกฎมณเฑียรบาลกำหนดทุกประการ
ถ้าได้อ่านรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๓๓/๒๔๗๗ (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) ซึ่งผมลงเพิ่มเติมไว้ใน คห.ที่ 15-1 และ 15-2 จะเห็นรายละเอียดชัดเจนว่าการเลือกพระองค์เจ้าอานันทมหิดลนั้น นอกจากเป็นไปตามกระบวนการทางรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นไปตามยังเป็นไปตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๗ และยังมีเหตุผลอีกหลายประการดังที่ปรากฏในรายงานการประชุม ซึ่งมีอะไรมากกว่าที่อ้างกันว่าคณะราษฎรเลือกพระเจ้าแผ่นดินเด็กเพราะอยากกุมอำนาจ ซึ่งต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลในเวลานั้นไม่ได้มีแต่คณะราษฎรเท่านั้น แต่ยังมีข้าราชการในระบอบเก่าอยู่จำนวนมาก
แสดงความคิดเห็น
แปลกใจ ทำไมหลัง ร.7 สละราชสมบัติ คณะราษฎร์ถึงดิ้นรนเชิญพระองค์เจ้าอานันขึ้นครองราชย์
เลยอยากทราบว่า ทำไมคณะราษฎร์ถึงอยากให้พระอานันขึ้นครองราชย์ขนาดนั้นคับ