โลกเปลี่ยนแล้ว รู้ยัง ?? : เรื่องในวงการหนังสือ
....
ผมมีธุระเข้ากรุงเทพฯมาสองวัน กลับมาบ้านเมื่อวานตอนเย็น
ว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เหนื่อยเกินไป เพราะคงต้องคุยกันยาว
วันนี้เสร็จงานออฟฟิศมีเวลานั่งจิบ จึงเล่า (พิมพ์) ไปจิบไป ตรงหน้าจอคอมพ์ฯ
....
เมื่อวานตอนเช้ามีโอกาสได้คุยกันกับสายส่งฯหนังสือของผม (ทางโทรศัพท์)
ไถ่ถามถึงหนังสือเล่มใหม่ของผม ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่
ก็ตอบไปว่าหนังสือเข้าโรงพิมพ์แล้ว
ปีนี้ไม่ค่อยมีคนพิมพ์หนังสือ คิวจึงว่าง ซึ่งปรกติในช่วงนี้คิวโรงพิมพ์จะเต็ม
เพราะสำนักพิมพ์เตรียมพิมพ์งานออกขายงานสัปดาห์หนังสือฯกัน ที่จะมีในเดือนตุลาฯ
ถ้าเสร็จทันก็ดีจะได้ไปนั่งเซ็นหนังสือด้วย
ถ้าเสร็จไม่ทันก็ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ
....
ทางสายส่งเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ร้านค้าใหญ่ๆขอขึ้นเปอร์เซ็นการวางหน้าร้าน
จากสามสิบเจ็ดจุดห้าเปอร์เซ็นเป็นสี่สิบเปอร์เซ็น
โดยอ้างว่าค่าใช้จ่ายสูง และกำลังจะขยายร้าน (ในห้างฯ) ให้ใหญ่โตขึ้น
....
ผมแก่แล้ว เวลาเหลือไม่มาก จึงตัดบทว่า
ตกลงจะขอขึ้นเปอร์เซ็นค่าจัดจำหน่ายหนังสือของผม (ทั้งหมด) ใช่ไหม
แล้วบอกต่อไปว่า ผมไม่มีปัญหาเลย จะขึ้นก็ได้ผมจะให้
....
ที่ผมยอมเขาง่ายๆนั้น ไม่ได้มีอย่างอื่น นอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
ผมค้าขายกับเขามาน่าจะเกินสามสิบปี ผมไม่เคยเปลี่ยนผู้จัดจำหน่าย
ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา ทั้งยามตกต่ำและขึ้นสูงไม่เคยทิ้งกัน
ถ้าเขาจะขอขึ้นเปอร์เซ็นในครั้งนี้ เขาคงไม่เอาเหตุผลชุ่ยๆมาขอขึ้นเปอร์เซ็นกับผม
เรื่องนี้ผมคิดอยู่ในใจไม่ได้บอกเขา
....
สายส่งว่า ไม่ใช่ ไม่ได้ขอขึ้นเปอร์เซ็น
แต่ขอวางหนังสือของผม
ในร้านที่ขอขึ้นเปอร์เซ็นฝากขายหน้าร้านนั้นในจำนวนจำกัดได้ไหม
เพราะว่า เปอร์เซ็นต์ที่ผมให้สายส่งอยู่
กับเปอร์เซ็นการขายที่ร้านค้าเก็บสายส่ง
สายส่งไม่ได้อะไรเลย เผลอๆจะขาดทุนด้วย
เพราะมีค่าขนส่ง ค่าดูแลสต๊อก ฯลฯ
....
ผมว่าได้ เอาสิ ไม่ต้องวางให้มันเลยก็ได้ ผมจะยินดีมาก
ร้านนั้นอย่าขายหนังสือของผมเลย
....
ถ้า

คิดได้แค่นี้
....
ทีนี้พวกเราลองมาคิดกันดูในเรื่องนี้นะครับ
ปัจจุบันนี้สายส่ง คิดเปอร์เซ็นจากการจำหน่ายหนังสือของสำนักพิมพ์
ที่สี่สิบเปอร์เซ็น (จากราคาปก)
สายส่งมีรายได้จากส่วนต่างของเปอร์เซ็นที่ให้กับร้านหนังสือ
เช่น ให้ร้านค้า ยี่สิบห้าเปอร์เซ็น หรือ สามสิบเปอร์เซ็น
ขึ้นอยู่กับร้านเล็กร้านใหญ่ ยอดขาย
แต่ร้านใหญ่ๆที่มีอำนาจการต่อรองได้สูง เพราะทำยอดขายได้เป็นจำนวนมาก
สายส่งต้องเสียให้ร้านค้านั้น สามสิบเจ็ดจุดห้าเปอร์เซ็น (ซึ่งนับว่าสูง)
วันนี้มาขอขึ้นเป็นสี่สิบเปอร์เซ็น เท่ากับเปอร์เซ็นที่สายส่งได้จากสำนักพิมพ์
ถ้าสายส่งยอมให้ร้านค้าขึ้นเปอร์เซ็นการวางหน้าร้านได้ขนาดนี้
สายส่งก็ไม่มีรายได้จากผลต่างของเปอร์เซ็น
....
แล้วสายส่งจะทำอย่างไร ?
....
สายส่งก็ต้องมาขอขยับขึ้นเปอร์เซ็นกับสำนักพิมพ์
สำนักพิมพ์จะทำอะไร
สำนักพิมพ์ก็ต้องผลักภาระให้กับผู้อ่าน
ซึ่งเป็นผู้จำยอม (ที่มีสิทธิ์เลือก-ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ)
...
ผมบอกกับสายส่งว่า สำหรับผมง่าย
ผมขึ้นราคาหนังสือของผมอีกเล่มละยี่สิบบาท
ผมเชื่อเลยว่าผมขายได้ และได้กำไรมากกว่าเดิมด้วย
แต่มันยุติธรรมกับคนอ่านไหมเท่านั้นเอง
ขึ้นราคาเพื่อให้ร้านค้ารวย
....
งานนี้ถ้าการต่อรองเป็นจริง
สำนักพิมพ์เล็กๆ ที่พิมพ์หนังสือดีๆที่ขายไม่ค่อยได้ จะไปก่อน
.....
พรุ่งนี้มาอ่านต่อครับ ผมมีทางออก
....
วันนี้ไม่ไหวแล้ว หลายแก้วแล้ว ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพเคยเตือนผมว่า
"ชาติ กินเหล้าแล้วอย่าโมโห ชาติเป็นคนโมโหร้าย" 55
...........................................................................
จากเฟซบุ๊ก Chart Korbjitti 14 กันยายน เวลา 20:01 น.
(มีความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันหลายอย่างครับ)
https://www.facebook.com/phanmaba1988/posts/10155473172890163?__xts__[0]=68.ARBUrQ7NIESBi0FLRratnMFQT3fsS6bogaOPGimA9Yshg8EbTqh9l38ZtbtSNP01iZQjc0Nt4KiKWMGl0Gwp4JWETjquHCX9geTNh01s8zp2EcCJRlVm_5b4evfrshr8Y23t44uJ2syd6gbegflvlz_9no_hpH5shuX_-kRPniPrZn1xbB7wdXc&__tn__=-R
วงการหนังสือวันนี้ ในทัศนะ ชาติ กอบจิตติ
....
ผมมีธุระเข้ากรุงเทพฯมาสองวัน กลับมาบ้านเมื่อวานตอนเย็น
ว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เหนื่อยเกินไป เพราะคงต้องคุยกันยาว
วันนี้เสร็จงานออฟฟิศมีเวลานั่งจิบ จึงเล่า (พิมพ์) ไปจิบไป ตรงหน้าจอคอมพ์ฯ
....
เมื่อวานตอนเช้ามีโอกาสได้คุยกันกับสายส่งฯหนังสือของผม (ทางโทรศัพท์)
ไถ่ถามถึงหนังสือเล่มใหม่ของผม ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่
ก็ตอบไปว่าหนังสือเข้าโรงพิมพ์แล้ว
ปีนี้ไม่ค่อยมีคนพิมพ์หนังสือ คิวจึงว่าง ซึ่งปรกติในช่วงนี้คิวโรงพิมพ์จะเต็ม
เพราะสำนักพิมพ์เตรียมพิมพ์งานออกขายงานสัปดาห์หนังสือฯกัน ที่จะมีในเดือนตุลาฯ
ถ้าเสร็จทันก็ดีจะได้ไปนั่งเซ็นหนังสือด้วย
ถ้าเสร็จไม่ทันก็ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ
....
ทางสายส่งเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ร้านค้าใหญ่ๆขอขึ้นเปอร์เซ็นการวางหน้าร้าน
จากสามสิบเจ็ดจุดห้าเปอร์เซ็นเป็นสี่สิบเปอร์เซ็น
โดยอ้างว่าค่าใช้จ่ายสูง และกำลังจะขยายร้าน (ในห้างฯ) ให้ใหญ่โตขึ้น
....
ผมแก่แล้ว เวลาเหลือไม่มาก จึงตัดบทว่า
ตกลงจะขอขึ้นเปอร์เซ็นค่าจัดจำหน่ายหนังสือของผม (ทั้งหมด) ใช่ไหม
แล้วบอกต่อไปว่า ผมไม่มีปัญหาเลย จะขึ้นก็ได้ผมจะให้
....
ที่ผมยอมเขาง่ายๆนั้น ไม่ได้มีอย่างอื่น นอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
ผมค้าขายกับเขามาน่าจะเกินสามสิบปี ผมไม่เคยเปลี่ยนผู้จัดจำหน่าย
ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา ทั้งยามตกต่ำและขึ้นสูงไม่เคยทิ้งกัน
ถ้าเขาจะขอขึ้นเปอร์เซ็นในครั้งนี้ เขาคงไม่เอาเหตุผลชุ่ยๆมาขอขึ้นเปอร์เซ็นกับผม
เรื่องนี้ผมคิดอยู่ในใจไม่ได้บอกเขา
....
สายส่งว่า ไม่ใช่ ไม่ได้ขอขึ้นเปอร์เซ็น
แต่ขอวางหนังสือของผม
ในร้านที่ขอขึ้นเปอร์เซ็นฝากขายหน้าร้านนั้นในจำนวนจำกัดได้ไหม
เพราะว่า เปอร์เซ็นต์ที่ผมให้สายส่งอยู่
กับเปอร์เซ็นการขายที่ร้านค้าเก็บสายส่ง
สายส่งไม่ได้อะไรเลย เผลอๆจะขาดทุนด้วย
เพราะมีค่าขนส่ง ค่าดูแลสต๊อก ฯลฯ
....
ผมว่าได้ เอาสิ ไม่ต้องวางให้มันเลยก็ได้ ผมจะยินดีมาก
ร้านนั้นอย่าขายหนังสือของผมเลย
....
ถ้า
....
ทีนี้พวกเราลองมาคิดกันดูในเรื่องนี้นะครับ
ปัจจุบันนี้สายส่ง คิดเปอร์เซ็นจากการจำหน่ายหนังสือของสำนักพิมพ์
ที่สี่สิบเปอร์เซ็น (จากราคาปก)
สายส่งมีรายได้จากส่วนต่างของเปอร์เซ็นที่ให้กับร้านหนังสือ
เช่น ให้ร้านค้า ยี่สิบห้าเปอร์เซ็น หรือ สามสิบเปอร์เซ็น
ขึ้นอยู่กับร้านเล็กร้านใหญ่ ยอดขาย
แต่ร้านใหญ่ๆที่มีอำนาจการต่อรองได้สูง เพราะทำยอดขายได้เป็นจำนวนมาก
สายส่งต้องเสียให้ร้านค้านั้น สามสิบเจ็ดจุดห้าเปอร์เซ็น (ซึ่งนับว่าสูง)
วันนี้มาขอขึ้นเป็นสี่สิบเปอร์เซ็น เท่ากับเปอร์เซ็นที่สายส่งได้จากสำนักพิมพ์
ถ้าสายส่งยอมให้ร้านค้าขึ้นเปอร์เซ็นการวางหน้าร้านได้ขนาดนี้
สายส่งก็ไม่มีรายได้จากผลต่างของเปอร์เซ็น
....
แล้วสายส่งจะทำอย่างไร ?
....
สายส่งก็ต้องมาขอขยับขึ้นเปอร์เซ็นกับสำนักพิมพ์
สำนักพิมพ์จะทำอะไร
สำนักพิมพ์ก็ต้องผลักภาระให้กับผู้อ่าน
ซึ่งเป็นผู้จำยอม (ที่มีสิทธิ์เลือก-ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ)
...
ผมบอกกับสายส่งว่า สำหรับผมง่าย
ผมขึ้นราคาหนังสือของผมอีกเล่มละยี่สิบบาท
ผมเชื่อเลยว่าผมขายได้ และได้กำไรมากกว่าเดิมด้วย
แต่มันยุติธรรมกับคนอ่านไหมเท่านั้นเอง
ขึ้นราคาเพื่อให้ร้านค้ารวย
....
งานนี้ถ้าการต่อรองเป็นจริง
สำนักพิมพ์เล็กๆ ที่พิมพ์หนังสือดีๆที่ขายไม่ค่อยได้ จะไปก่อน
.....
พรุ่งนี้มาอ่านต่อครับ ผมมีทางออก
....
วันนี้ไม่ไหวแล้ว หลายแก้วแล้ว ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพเคยเตือนผมว่า
"ชาติ กินเหล้าแล้วอย่าโมโห ชาติเป็นคนโมโหร้าย" 55
...........................................................................
จากเฟซบุ๊ก Chart Korbjitti 14 กันยายน เวลา 20:01 น.
(มีความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันหลายอย่างครับ)
https://www.facebook.com/phanmaba1988/posts/10155473172890163?__xts__[0]=68.ARBUrQ7NIESBi0FLRratnMFQT3fsS6bogaOPGimA9Yshg8EbTqh9l38ZtbtSNP01iZQjc0Nt4KiKWMGl0Gwp4JWETjquHCX9geTNh01s8zp2EcCJRlVm_5b4evfrshr8Y23t44uJ2syd6gbegflvlz_9no_hpH5shuX_-kRPniPrZn1xbB7wdXc&__tn__=-R