วันนี้เพื่อนชาวต่างชาติที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ชวนผมไปเดินตลาดจตุจักร
คนหนึ่งมาจากออสเตรเลีย อีกคนหนึ่งมาจากอเมริกา สองคนนี้เพิ่งมาไทยได้เดือนกว่า ประทับใจอะไรหลาย ๆ อย่างและคิดว่าไทยประเทศที่ดีมาก
ผมถามเค้าว่าประเทศที่ชอบที่สุดคือประเทศไหน คนหนึ่งบอกบ้านเกิดเขา ส่วนอีกคนบอกประเทศไทยนี่แหละ ฟังแล้วก็น่ายินดีจริง ๆ
แต่เรื่องไม่น่าเกิดก็ดันเกิด หลังจากเราคุยกันเรื่องนี้เสร็จ เรา 4 คน (มี ผญ. ไทยมาด้วยอีกคนหนึ่ง) ตัดสินใจไปกินชาบูกันต่อ ตอนนั้นก็ประมาณ 6 โมงเย็น - หนึ่งทุ่มแล้ว เราเดินออกจากตลาดจตุจักรเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า แต่เพื่อนจากอเมริกาบอกว่า "ผมคิดว่าเรานั่งแท็กซี่ไปหารสี่คนถูกกว่านะ"
ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยตรงกัน จึงตัดสินใจเดินไปโบกแท็กซี่ข้างหน้า แต่ก็ไม่มีคันไหนผ่านมาเลย พวกเราจึงตัดสินใจเดินขยับไปอีกหน่อย เจอแท็กซี่คันนึงพร้อมคนขับตอบอยู่ เพื่อนผมก็เข้าไปคุยบอกจะไปนนทบุรีครับ ตอนแรกก็ดูเหมือนจะไป แต่เพื่อน ผญ. พอบอกว่า "กดมิเตอร์นะคะ" เท่านั้นแหละ
ส่ายหน้า แล้วชักสีหน้าใส่อย่างไม่ใยดี
โอเค ผมว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินะ (ทั้งที่มันไม่ควรจะปกติ) เพราะเขามาจอดรอแบบนี้ ถ้าเกิดยอมกดมิเตอร์ไปคงปาฏิหาริย์แล้วแหละ
ฝนกำลังจะตกแล้ว เราตัดสินใจข้ามไปอีกฝั่ง ผมเปิดกูเกิ้ลแมพเช็คดู เส้นทางจากจตุจักร (ฝั่งถนนกำแพงเพชร) รถไม่ติดมาก แต่พอข้ามไปปุ๊ป แท็กซี่สักคันก็ไม่เห็นจะมี
เราตัดสินใจเดินย้อนไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางเจอแท็กซี่เปิดไฟว่าง แต่โบกแล้วไม่จอดนะ เห้อ สงสัยเค้ารับคนมาแต่ลืมกดมิเตอร์ละมั้ง ผมคิดในแง่ดี
ฝนกำลังจะตกแล้ว ฟ้าฝ่าดังมาก เรารู้ตัวว่าถ้าไม่เข้าที่ร่มภายใน 10 นาทีรับรองเละแน่ ๆ เราจึงรีบพากันเดินย้อนกลับไปตรงแยกกำแพงเพชร ไม่ทันไรฝนกก็ตกลงมาห่าใหญ่ ตอนนี้เราเริ่มรู้ตัวกันว่าคิดผิดแล้วที่ไม่ไปรถไฟฟ้า แต่ขอแค่เจอแท็กซี่ซักคันก็สบายแล้ว
เรามาหยุดตรงใต้อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งที่มีคนเข้ามาหลบฝนจำนวนมาก ตอนนี้ฝนตกหนักมาก การจะเดินออกไปโบกแท็กซี่ให้คนขับเห็นนั้นต้องเดินฝ่าฝนออกไป เนื่องจากมีรถจอดบังอยู่หน้าอาคาร ทันทีที่เราเห็นรถแท็กซี่คันแรกวนเข้ามา เพื่อนอเมริกันผมไม่รอช้าที่จะฝ่าฝนออกไปโบก (คงเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของไอเดียที่ชวนเพื่อนขึ้นแท็กซี่) ผมเดินตามไป พร้อมบอกว่า ไปนนทบุรีครับ
เราถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี พร้อมถูกทิ้งให้ยืนเปียกฝนอยู่อย่างนั้น
อเมซซิ่งไทยแลนด์ แลนด์ออฟสไมล์จริง ๆ
เรารอไปสักพัก แท็กซี่หลายคันขับผ่านมาพร้อมไฟว่าง แต่ไม่มีใครรับพวกเราเลย ขับผ่านไปอย่างหน้าตาเฉย
เราเริ่มหิวกันแล้ว ค่อนข้างปวดขาด้วยเพราะเดินกันมาไกล พอมีคันหนึ่งโบกแล้วเปิดไฟเลี้ยวเข้ามา เราคิดว่าคันนี้ได้แน่ เพื่อนผู้หญิงกับผมจึงเดินออกไปคุย คนขับเปิดประตูออกมาถามว่าจะไปไหน พอผมบอกสถานที่ไป เขาปฏิเสธกลับมาทันที แต่ครั้งนี้ผมค่อนข้างโมโห เลยพูดอย่างใส่อารมณ์ว่า "ไปเถอะพี่ ผมไม่ไหวแล้ว" คนขับส่ายหัว "ไม่น้อง ไม่ ๆ ๆ " พร้อมปิดกระจกใส่ผม ผมปิดประตูรถใส่เต็มแรง "โหพี่

อะไรวะเนี้ย" ก่อนที่เขาจะเร่งรถขับออกไปด้วยความรวดเร็ว
"ทำไมเราต้องมาทำอะไรน่าสมเพชขนาดนี้ด้วยวะเนี้ย" ผมคิดกับตัวเอง
เมื่อฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เราลองเรียก grab มา ปรากฎว่าค่าโดยสารพุ่งไป 480 ผมนี่ปิดแอปทันที
เรารอไปอีกสักพัก ฝรั่งที่มาสองคนเริ่มตลกไม่ออก (ตอนแรกก็ชิล ๆ ) พอมีอีกคันเข้ามา เราก็ออกไปพูดอีกว่า ช่วยไปหน่อยนะครับ แค่นนทบุรีเอง
แล้วผลก็เป็นแบบเดิม ไม่ว่าจะพูดยังไง เค้าก็ไม่เคยเข้าใจถึงความลำบากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย มันน่าเศร้าใจมาก
ถึงตรงนี้ผมสงสัยหนึ่งอย่าง การที่แท็กซี่ปฎิเสธผู้โดยสารในสถานการณ์แบบนี้ คนขับคงจะมีจิตใจที่โหดร้ายมากใช่หรือไม่
ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าปฏิเสธคนที่เอาเงินมาให้ พร้อมขอให้ช่วยเหลือด้วยการพาไปส่ง โดยมีอีกสองคนเป็นแขกบ้านแขกเมือง รู้ทั้งรู้เช่นนี้แล้วก็ยังย่ำยีจิตใจของเพื่อนร่วมชาติด้วยกันเอง อีกทั้งยังเป็นการขับไล่ไสส่งให้คนต่างชาติรู้สึกแย่กับบ้านเราขึ้นมาอีก
เราตัดสินใจเดินลุยฝนกลับมาทางเดิมเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าหนุ่มอเมริกันคนเดิมจะยังยืนยันคำเดิมว่ายังจะชอบประเทศไทยที่สุดมั้ย ที่เจอพวก "คนร้าย" ออกมาทำแบบนี้ใส่ด้วยตนเอง มันเป็นอะไรที่น่าผิดหวังมาก แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่พอเจอบ่อย ๆ ผมว่าเหตุการณ์นี้มันไม่ควรเป็นเรื่องปกติ มันควรจะเป็นเรื่องใหญ่ ควรเป็นสิ่งที่ทุกคนซีเรียสกับมัน ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นจนชินแล้ว ให้หาวิธีแก้แบบอื่น
สุดท้ายผมให้คำแนะนำกับเพื่อนไปว่า ถ้าอยากนั่งแท็กซี่กับเรียกตอนกลางวันเอาและกัน ช่วง rush hour คุณไม่ได้นั่งหรอก ก่อนที่เราจะแบกสังขารขึ้นรถไฟฟ้ามาถึงที่หมายจนได้
ผมก็ยังสงสัยอยู่ถึงตอนนี้ว่า จำนวนคนอยากนั่งแท็กซี่มันมากมายมหาศาล เรียกว่า over demand ในช่วง rush hour เลย แต่กลับไม่มีแท็กซี่คันไหนอยากรับในช่วงเวลานั้น ๆ ทั้งที่ได้เงินแน่ ๆ ไปไหนก็มีแต่คนเรียกแน่ ๆ หรือเขาไม่รู้จักโครงสร้างของเมือง ความหมายของย่าน ลักษณะของย่าน ย่านไหนคนเยอะ ย่านไหนคนน้อย หรือวิธีการดูกูเกิ้ลแมพว่าไปทางไหนรถจะไม่ติด ทั้งหมดนี้ผมประสบมาตลอดหลายปี และสงสัยมาตลอด
เคสลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับผมหลายครั้งแล้ว อาจจะดูไม่หนักหนามาก แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ถึงทนไม่ได้ต้องระบายมันออกมา เพราะก่อนหน้านี้เคยรับเพื่อนเวียดนามมาเที่ยว ก็เจอปฏิเสธแบบนี้เหมือนกัน แต่แท็กซี่ก็ขับวนอยู่อย่างนั้น เจอกันสอง สาม สี่รอบ ตรงสนามหลวง ไม่รู้ว่าขับวนเยอะๆ มันคุ้มกับค่ารถที่จะไปส่งพวกผมหรือเปล่า งงจริง ๆ
ยังไม่รวมผมนั่งแท็กซี่แล้วเปิดใจกับคนขับว่าทำไมถึงต้องฟันนักท่องเที่ยว ถ้าได้อ่านแล้วจะต้องอึ้งในความคิดเลวๆ ของเขาเลย แต่ก็นะ ถ้ามีเวลาจะมีเขียนให้ฟัง
และที่ขาดไม่ได้เลย กรมการขนส่งทางบกครับ คุณทำงานได้สุดยอดมากๆ พิจารณาตัวเองนะครับ ผมเจอมาทั้งรถตู้ (ที่เกือบพาผมตาย) แท็กซี่ พวกคุณไม่เคยคุมพวกเขาได้เลย ขอบคุณที่เอาภาษีประชาชนไปกินฟรี ๆ ครับ พวกคุณช่วยเหลือประชาชนไม่ได้เลย
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ผมรักประเทศนี้ อยากให้ประเทศไทยดีขึ้น ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอเรื่องเหนื่อย ๆ แบบนี้ทุกวัน
ประสบการณ์สุดเจ็บช้ำกับการโบกแท็กซี่ในคืนฝนตก (กับชาวต่างชาติ)
คนหนึ่งมาจากออสเตรเลีย อีกคนหนึ่งมาจากอเมริกา สองคนนี้เพิ่งมาไทยได้เดือนกว่า ประทับใจอะไรหลาย ๆ อย่างและคิดว่าไทยประเทศที่ดีมาก
ผมถามเค้าว่าประเทศที่ชอบที่สุดคือประเทศไหน คนหนึ่งบอกบ้านเกิดเขา ส่วนอีกคนบอกประเทศไทยนี่แหละ ฟังแล้วก็น่ายินดีจริง ๆ
แต่เรื่องไม่น่าเกิดก็ดันเกิด หลังจากเราคุยกันเรื่องนี้เสร็จ เรา 4 คน (มี ผญ. ไทยมาด้วยอีกคนหนึ่ง) ตัดสินใจไปกินชาบูกันต่อ ตอนนั้นก็ประมาณ 6 โมงเย็น - หนึ่งทุ่มแล้ว เราเดินออกจากตลาดจตุจักรเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า แต่เพื่อนจากอเมริกาบอกว่า "ผมคิดว่าเรานั่งแท็กซี่ไปหารสี่คนถูกกว่านะ"
ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยตรงกัน จึงตัดสินใจเดินไปโบกแท็กซี่ข้างหน้า แต่ก็ไม่มีคันไหนผ่านมาเลย พวกเราจึงตัดสินใจเดินขยับไปอีกหน่อย เจอแท็กซี่คันนึงพร้อมคนขับตอบอยู่ เพื่อนผมก็เข้าไปคุยบอกจะไปนนทบุรีครับ ตอนแรกก็ดูเหมือนจะไป แต่เพื่อน ผญ. พอบอกว่า "กดมิเตอร์นะคะ" เท่านั้นแหละ
ส่ายหน้า แล้วชักสีหน้าใส่อย่างไม่ใยดี
โอเค ผมว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินะ (ทั้งที่มันไม่ควรจะปกติ) เพราะเขามาจอดรอแบบนี้ ถ้าเกิดยอมกดมิเตอร์ไปคงปาฏิหาริย์แล้วแหละ
ฝนกำลังจะตกแล้ว เราตัดสินใจข้ามไปอีกฝั่ง ผมเปิดกูเกิ้ลแมพเช็คดู เส้นทางจากจตุจักร (ฝั่งถนนกำแพงเพชร) รถไม่ติดมาก แต่พอข้ามไปปุ๊ป แท็กซี่สักคันก็ไม่เห็นจะมี
เราตัดสินใจเดินย้อนไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางเจอแท็กซี่เปิดไฟว่าง แต่โบกแล้วไม่จอดนะ เห้อ สงสัยเค้ารับคนมาแต่ลืมกดมิเตอร์ละมั้ง ผมคิดในแง่ดี
ฝนกำลังจะตกแล้ว ฟ้าฝ่าดังมาก เรารู้ตัวว่าถ้าไม่เข้าที่ร่มภายใน 10 นาทีรับรองเละแน่ ๆ เราจึงรีบพากันเดินย้อนกลับไปตรงแยกกำแพงเพชร ไม่ทันไรฝนกก็ตกลงมาห่าใหญ่ ตอนนี้เราเริ่มรู้ตัวกันว่าคิดผิดแล้วที่ไม่ไปรถไฟฟ้า แต่ขอแค่เจอแท็กซี่ซักคันก็สบายแล้ว
เรามาหยุดตรงใต้อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งที่มีคนเข้ามาหลบฝนจำนวนมาก ตอนนี้ฝนตกหนักมาก การจะเดินออกไปโบกแท็กซี่ให้คนขับเห็นนั้นต้องเดินฝ่าฝนออกไป เนื่องจากมีรถจอดบังอยู่หน้าอาคาร ทันทีที่เราเห็นรถแท็กซี่คันแรกวนเข้ามา เพื่อนอเมริกันผมไม่รอช้าที่จะฝ่าฝนออกไปโบก (คงเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของไอเดียที่ชวนเพื่อนขึ้นแท็กซี่) ผมเดินตามไป พร้อมบอกว่า ไปนนทบุรีครับ
เราถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี พร้อมถูกทิ้งให้ยืนเปียกฝนอยู่อย่างนั้น
อเมซซิ่งไทยแลนด์ แลนด์ออฟสไมล์จริง ๆ
เรารอไปสักพัก แท็กซี่หลายคันขับผ่านมาพร้อมไฟว่าง แต่ไม่มีใครรับพวกเราเลย ขับผ่านไปอย่างหน้าตาเฉย
เราเริ่มหิวกันแล้ว ค่อนข้างปวดขาด้วยเพราะเดินกันมาไกล พอมีคันหนึ่งโบกแล้วเปิดไฟเลี้ยวเข้ามา เราคิดว่าคันนี้ได้แน่ เพื่อนผู้หญิงกับผมจึงเดินออกไปคุย คนขับเปิดประตูออกมาถามว่าจะไปไหน พอผมบอกสถานที่ไป เขาปฏิเสธกลับมาทันที แต่ครั้งนี้ผมค่อนข้างโมโห เลยพูดอย่างใส่อารมณ์ว่า "ไปเถอะพี่ ผมไม่ไหวแล้ว" คนขับส่ายหัว "ไม่น้อง ไม่ ๆ ๆ " พร้อมปิดกระจกใส่ผม ผมปิดประตูรถใส่เต็มแรง "โหพี่
"ทำไมเราต้องมาทำอะไรน่าสมเพชขนาดนี้ด้วยวะเนี้ย" ผมคิดกับตัวเอง
เมื่อฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เราลองเรียก grab มา ปรากฎว่าค่าโดยสารพุ่งไป 480 ผมนี่ปิดแอปทันที
เรารอไปอีกสักพัก ฝรั่งที่มาสองคนเริ่มตลกไม่ออก (ตอนแรกก็ชิล ๆ ) พอมีอีกคันเข้ามา เราก็ออกไปพูดอีกว่า ช่วยไปหน่อยนะครับ แค่นนทบุรีเอง
แล้วผลก็เป็นแบบเดิม ไม่ว่าจะพูดยังไง เค้าก็ไม่เคยเข้าใจถึงความลำบากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย มันน่าเศร้าใจมาก
ถึงตรงนี้ผมสงสัยหนึ่งอย่าง การที่แท็กซี่ปฎิเสธผู้โดยสารในสถานการณ์แบบนี้ คนขับคงจะมีจิตใจที่โหดร้ายมากใช่หรือไม่
ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าปฏิเสธคนที่เอาเงินมาให้ พร้อมขอให้ช่วยเหลือด้วยการพาไปส่ง โดยมีอีกสองคนเป็นแขกบ้านแขกเมือง รู้ทั้งรู้เช่นนี้แล้วก็ยังย่ำยีจิตใจของเพื่อนร่วมชาติด้วยกันเอง อีกทั้งยังเป็นการขับไล่ไสส่งให้คนต่างชาติรู้สึกแย่กับบ้านเราขึ้นมาอีก
เราตัดสินใจเดินลุยฝนกลับมาทางเดิมเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าหนุ่มอเมริกันคนเดิมจะยังยืนยันคำเดิมว่ายังจะชอบประเทศไทยที่สุดมั้ย ที่เจอพวก "คนร้าย" ออกมาทำแบบนี้ใส่ด้วยตนเอง มันเป็นอะไรที่น่าผิดหวังมาก แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่พอเจอบ่อย ๆ ผมว่าเหตุการณ์นี้มันไม่ควรเป็นเรื่องปกติ มันควรจะเป็นเรื่องใหญ่ ควรเป็นสิ่งที่ทุกคนซีเรียสกับมัน ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นจนชินแล้ว ให้หาวิธีแก้แบบอื่น
สุดท้ายผมให้คำแนะนำกับเพื่อนไปว่า ถ้าอยากนั่งแท็กซี่กับเรียกตอนกลางวันเอาและกัน ช่วง rush hour คุณไม่ได้นั่งหรอก ก่อนที่เราจะแบกสังขารขึ้นรถไฟฟ้ามาถึงที่หมายจนได้
ผมก็ยังสงสัยอยู่ถึงตอนนี้ว่า จำนวนคนอยากนั่งแท็กซี่มันมากมายมหาศาล เรียกว่า over demand ในช่วง rush hour เลย แต่กลับไม่มีแท็กซี่คันไหนอยากรับในช่วงเวลานั้น ๆ ทั้งที่ได้เงินแน่ ๆ ไปไหนก็มีแต่คนเรียกแน่ ๆ หรือเขาไม่รู้จักโครงสร้างของเมือง ความหมายของย่าน ลักษณะของย่าน ย่านไหนคนเยอะ ย่านไหนคนน้อย หรือวิธีการดูกูเกิ้ลแมพว่าไปทางไหนรถจะไม่ติด ทั้งหมดนี้ผมประสบมาตลอดหลายปี และสงสัยมาตลอด
เคสลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับผมหลายครั้งแล้ว อาจจะดูไม่หนักหนามาก แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ถึงทนไม่ได้ต้องระบายมันออกมา เพราะก่อนหน้านี้เคยรับเพื่อนเวียดนามมาเที่ยว ก็เจอปฏิเสธแบบนี้เหมือนกัน แต่แท็กซี่ก็ขับวนอยู่อย่างนั้น เจอกันสอง สาม สี่รอบ ตรงสนามหลวง ไม่รู้ว่าขับวนเยอะๆ มันคุ้มกับค่ารถที่จะไปส่งพวกผมหรือเปล่า งงจริง ๆ
ยังไม่รวมผมนั่งแท็กซี่แล้วเปิดใจกับคนขับว่าทำไมถึงต้องฟันนักท่องเที่ยว ถ้าได้อ่านแล้วจะต้องอึ้งในความคิดเลวๆ ของเขาเลย แต่ก็นะ ถ้ามีเวลาจะมีเขียนให้ฟัง
และที่ขาดไม่ได้เลย กรมการขนส่งทางบกครับ คุณทำงานได้สุดยอดมากๆ พิจารณาตัวเองนะครับ ผมเจอมาทั้งรถตู้ (ที่เกือบพาผมตาย) แท็กซี่ พวกคุณไม่เคยคุมพวกเขาได้เลย ขอบคุณที่เอาภาษีประชาชนไปกินฟรี ๆ ครับ พวกคุณช่วยเหลือประชาชนไม่ได้เลย
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ผมรักประเทศนี้ อยากให้ประเทศไทยดีขึ้น ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอเรื่องเหนื่อย ๆ แบบนี้ทุกวัน