สวัสดีค่ะ ดิฉันมีเรื่องอยากเล่าเพื่อเป็นข้อเตือนใจให้กับสังคม เนื่องจากดิฉันได้รับหนังสือจากสำนักสรรพากรพื้นที่ปทุมธานี 2 เรื่อง ขอให้ส่งคืนาษีอากรที่รับคืนไป โดยระบุว่า ตามที่ดิฉันได้ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.91 ปี 2559 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 มีความประสงค์ขอคืนภาษี และทาง สรรพากรฯ ได้สั่งคืนให้แล้วนั้น ข้อเท็จจริงตรวจสอบพบว่าไม่มีสิทธิหักลดหย่อนคู่สมรส เนื่องจากคู่สมรสมีเงินได้และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.91 ในปีภาษี 2559 จึงขอให้นำเงินส่งคืน โดยกำหนดว่าดิฉันสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันรับจดหมาย
เนื่องจากข้อเท็จจริงสามีของดิฉันมีอาชีพรับจ้างไม่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีและไม่เคยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.91 มาก่อน ในวันที่ 13 กันยายน 2561 ดิฉันจึงได้เดินทางไปตรวจสอบ ณ สำนักสรรพากรพื้นที่ปทุมธานี 2 ปรากฏว่า การยื่นแสดงรายการภาษีของสามียื่นโดย ห้างหุ้นส่วนแห่งหนึ่ง ได้ทำการยื่นแสดงรายการฯ ในปี 2558 – 2560 โดยสามีดิฉันไม่ได้ทำงาน ณ ห้างฯ นี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริง คือ สามีดิฉันเคยไปฝึกอบรมอาชีพช่างซ่อมเครื่องปรับอากาศของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และทางกรมฯ ได้ส่งตัวให้ไปฝึกงานที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเป็นเวลา 1 เดือน ในเดือนกันยายน ปี 2558 โดยไม่มีการจ่ายเงินเดือนแต่อย่างใด ดิฉันจึงขอคัดสำเนา ภงด.91 ของสามีโดยต้องชำระเงินไปเป็นจำนวน 78 บาท และนำหลักฐานไปติดต่อกับฝ่ายขอคืนภาษีของสรรพากร เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าต้องมีใบแจ้งความด้วย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับห้างฯ ดังกล่าว
ในวันที่ 14 กันยายน 2561 ดิฉันกับสามีจึงเดินทางไปที่สน.คูคต เพื่อขอแจ้งความ เพราะเห็นว่าบ้านตัวเองและห้างฯ ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ทางตำรวจแจ้งว่าเหตุดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ของเค้า เนื่องจากผู้แจ้งถึงคุณคือสรรพากรพื้นที่ปทุมธานี 2 จึงต้องไปแจ้งความที่ สน.คลองหลวง ดิฉันและสามีจึงเดินทางไปยัง สน.คลองหลวง ตำรวจก็แจ้งว่าดิฉันและสามีไม่สามารถแจ้งความได้ ทำได้แค่ลงบันทึกประจำวัน เพราะดิฉันและสามีไม่ใช่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายคือ สรรพากร ดิฉันถามว่าแล้วการที่บัตรสามีถูกนำไม่ใช้ถือว่าไม่เสียหายเหรอ ทางตำรวจบอกว่าสามีคุณยังไม่ได้เสียหายอะไร ส่วนตัวคุณเองแค่นำบันทึกประจำวันไปยื่นสรรพากรก็ไม่ต้องคืนภาษีแล้ว มีเรื่องแบบนี้ทุกวัน เค้าทำกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ ดิฉันและสามีได้แต่อึ้ง จึงทำได้แค่ลงบันทึกประจำวัน แล้วรีบเดินทางไปสรรพากร เพราะหน่วยงานแต่ละที่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางนาน เมื่อถึงสรรพากรก็รีบไปยื่นเอกสารที่ฝ่ายเรียกคืนภาษี ประกอบด้วย สำเนาใบ ภงด.91 ของสามีที่คัดลอกมา สำเนาหนังสือส่งตัวไปฝึกงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน แล้วก็บันทึกเล่าเหตุการณ์เหมือนที่กำลังเล่าอยู่นี้ให้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่อ่านแล้วก็รับเรื่องไว้โดยขอให้เซ็นชื่อในท้ายบันทึกที่ยื่นและขอเบอร์โทรของดิฉัน โดยไม่มีการ ลงรับเอกสารแต่อย่างใด ดิฉันถามว่า แล้วเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป เจ้าหน้าที่ตอบว่า เดี๋ยวจะจัดการเรื่องเรียกคืนภาษีให้จบไป แล้วจะแจ้งหน่วยตรวจสอบให้ไปลงตรวจที่ห้างฯ ดังกล่าว ดิฉันถามว่าอีกนานมั้ย เจ้าหน้าที่ตอบว่ายังบอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่จะส่งเรื่องต่อให้แน่นอน แล้วก็ตัดบทไป
ดิฉันจึงรู้สึกกังวลว่า กว่าสรรพกรจะลงไปตรวจสอบ ทางห้างฯ นี้จะมีบัตรประชาชนของคนอีกกี่คน เพราะห้างฯ เป็นผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้สามารถส่งคนมาฝึกงานที่นี่ได้ โดยทางสามีได้ถามกับเพื่อนที่เคยไปฝึกงานด้วยกัน ก็ได้ทราบว่าเค้าไปขอบัตรสวัสดิการรัฐแล้วไม่ผ่าน เพราะในฐานข้อมูลระบุว่าเป็น ผู้มีรายได้เกินเกณฑ์ เค้าก็ได้แต่สงสัย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงคิดว่าน่าจะโดนเหมือนกัน ซึ่งการไปฝึกงานที่ห้างฯ นี้ ก็ไม่ได้ให้ฝึกงานจริง เค้าจะให้คนที่กรมพัฒนาฯ ส่งมาทำงานเป็นเพียงคนแบกของขึ้นลงรถเท่านั้น ไม่เคยได้ทำงานอย่างอื่นเลย ดิฉันจึงนำเรื่องมาเล่าให้สังคมได้ทราบ ว่าการที่เราถูกส่งตัวไปฝึกงานโดยหน่วยงานของราชการ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากการนำบัตรประชาชนเราไปใช้ทำประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านพึ่งระวังทุกครั้งเวลาทำนิติกรรมที่ต้องใช้บัตรประชาชน
ถูกนำบัตรประชาชนไปสวมสิทธิยื่นภาษีเงินได้
เนื่องจากข้อเท็จจริงสามีของดิฉันมีอาชีพรับจ้างไม่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีและไม่เคยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.91 มาก่อน ในวันที่ 13 กันยายน 2561 ดิฉันจึงได้เดินทางไปตรวจสอบ ณ สำนักสรรพากรพื้นที่ปทุมธานี 2 ปรากฏว่า การยื่นแสดงรายการภาษีของสามียื่นโดย ห้างหุ้นส่วนแห่งหนึ่ง ได้ทำการยื่นแสดงรายการฯ ในปี 2558 – 2560 โดยสามีดิฉันไม่ได้ทำงาน ณ ห้างฯ นี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริง คือ สามีดิฉันเคยไปฝึกอบรมอาชีพช่างซ่อมเครื่องปรับอากาศของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และทางกรมฯ ได้ส่งตัวให้ไปฝึกงานที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเป็นเวลา 1 เดือน ในเดือนกันยายน ปี 2558 โดยไม่มีการจ่ายเงินเดือนแต่อย่างใด ดิฉันจึงขอคัดสำเนา ภงด.91 ของสามีโดยต้องชำระเงินไปเป็นจำนวน 78 บาท และนำหลักฐานไปติดต่อกับฝ่ายขอคืนภาษีของสรรพากร เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าต้องมีใบแจ้งความด้วย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับห้างฯ ดังกล่าว
ในวันที่ 14 กันยายน 2561 ดิฉันกับสามีจึงเดินทางไปที่สน.คูคต เพื่อขอแจ้งความ เพราะเห็นว่าบ้านตัวเองและห้างฯ ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ทางตำรวจแจ้งว่าเหตุดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ของเค้า เนื่องจากผู้แจ้งถึงคุณคือสรรพากรพื้นที่ปทุมธานี 2 จึงต้องไปแจ้งความที่ สน.คลองหลวง ดิฉันและสามีจึงเดินทางไปยัง สน.คลองหลวง ตำรวจก็แจ้งว่าดิฉันและสามีไม่สามารถแจ้งความได้ ทำได้แค่ลงบันทึกประจำวัน เพราะดิฉันและสามีไม่ใช่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายคือ สรรพากร ดิฉันถามว่าแล้วการที่บัตรสามีถูกนำไม่ใช้ถือว่าไม่เสียหายเหรอ ทางตำรวจบอกว่าสามีคุณยังไม่ได้เสียหายอะไร ส่วนตัวคุณเองแค่นำบันทึกประจำวันไปยื่นสรรพากรก็ไม่ต้องคืนภาษีแล้ว มีเรื่องแบบนี้ทุกวัน เค้าทำกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ ดิฉันและสามีได้แต่อึ้ง จึงทำได้แค่ลงบันทึกประจำวัน แล้วรีบเดินทางไปสรรพากร เพราะหน่วยงานแต่ละที่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางนาน เมื่อถึงสรรพากรก็รีบไปยื่นเอกสารที่ฝ่ายเรียกคืนภาษี ประกอบด้วย สำเนาใบ ภงด.91 ของสามีที่คัดลอกมา สำเนาหนังสือส่งตัวไปฝึกงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน แล้วก็บันทึกเล่าเหตุการณ์เหมือนที่กำลังเล่าอยู่นี้ให้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่อ่านแล้วก็รับเรื่องไว้โดยขอให้เซ็นชื่อในท้ายบันทึกที่ยื่นและขอเบอร์โทรของดิฉัน โดยไม่มีการ ลงรับเอกสารแต่อย่างใด ดิฉันถามว่า แล้วเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป เจ้าหน้าที่ตอบว่า เดี๋ยวจะจัดการเรื่องเรียกคืนภาษีให้จบไป แล้วจะแจ้งหน่วยตรวจสอบให้ไปลงตรวจที่ห้างฯ ดังกล่าว ดิฉันถามว่าอีกนานมั้ย เจ้าหน้าที่ตอบว่ายังบอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่จะส่งเรื่องต่อให้แน่นอน แล้วก็ตัดบทไป
ดิฉันจึงรู้สึกกังวลว่า กว่าสรรพกรจะลงไปตรวจสอบ ทางห้างฯ นี้จะมีบัตรประชาชนของคนอีกกี่คน เพราะห้างฯ เป็นผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้สามารถส่งคนมาฝึกงานที่นี่ได้ โดยทางสามีได้ถามกับเพื่อนที่เคยไปฝึกงานด้วยกัน ก็ได้ทราบว่าเค้าไปขอบัตรสวัสดิการรัฐแล้วไม่ผ่าน เพราะในฐานข้อมูลระบุว่าเป็น ผู้มีรายได้เกินเกณฑ์ เค้าก็ได้แต่สงสัย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงคิดว่าน่าจะโดนเหมือนกัน ซึ่งการไปฝึกงานที่ห้างฯ นี้ ก็ไม่ได้ให้ฝึกงานจริง เค้าจะให้คนที่กรมพัฒนาฯ ส่งมาทำงานเป็นเพียงคนแบกของขึ้นลงรถเท่านั้น ไม่เคยได้ทำงานอย่างอื่นเลย ดิฉันจึงนำเรื่องมาเล่าให้สังคมได้ทราบ ว่าการที่เราถูกส่งตัวไปฝึกงานโดยหน่วยงานของราชการ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากการนำบัตรประชาชนเราไปใช้ทำประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านพึ่งระวังทุกครั้งเวลาทำนิติกรรมที่ต้องใช้บัตรประชาชน