ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบัน ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นปัญหาระดับโลก และนับวันๆก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งสาเหตุนั้นมาจากการที่มีใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อโดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อเรื่อง ยาปฏิชีวนะ = ยาแก้อักเสบ หรือยาปฏิชีวนะใช้กินป้องกันโรคต่างๆได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดๆ บวกกับในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีจำนวนยาปฏิชีวนะใหม่ๆลดน้อยลงด้วยแล้ว จึงทำให้อนาคตเราอาจไม่มียาปฏิชีวนะที่จะใช้ในการรักษาโรคติดต่อจากเชื้อได้อีก เราจึงสมควรแล้วรึยังที่จะตระหนักถึงการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น หรือที่เรียกว่า "Rational drug use"
สำหรับมู้ในวันนี้ผมจะขอพูดถึงปัญหาเชื้อดื้อยาซึ่งอาจจะก่อปัญหาร้ายแรงในอนาคต เพื่อหวังว่าทุกคนจะตระหนักถึงปัญหานี้และระวังเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะกันอย่างมากยิ่งขึ้น :3 หากมีข้อผิดพลาดประการใด จขกท. ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ
นับตั้งแต่อดีตครั้งแรกที่โลกได้รู้จักกับยาปฏิชีวนะตัวแรกคือปี ค.ศ. 1928 โดย Sir Alexander fleming ซึ่งค้นพบ Penicillin เป็นครั้งแรก และได้รับการศึกษาต่อยอดเพิ่มเติมโดย H. Florey เป็นการเปิดยุคใหม่ของการรักษาโรคติดเชื้อ หลังจาก Penicillin ก็มีการนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นยาใหม่ๆอีกมากมายเช่น การเติมหมู่ฟังก์ชั่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมลบมากยิ่งขึ้นเช่น Ampicillin, การดัดแปลงโครงสร้างไปเลยจนได้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นมีความ Broad spectrum มากยิ่งขึ้นอย่าง Tetracycline เป็นต้น
ในช่วงที่ยาปฏิชีวนะเริ่มมีการพัฒนาจนกลายเป็นยาใหม่ๆมากมาย ก็ได้มีการศึกษาพบว่า เชื้อแบคทีเรียเองก็กำลังพัฒนาตัวเองให้สามารถรับมือกับยาปฏิชีวนะได้จนกลายเป็นการดื้อยาได้ โดยในปี 1940 มีการค้นพบการดื้อยา Penicillin โดยเชื้อ
Sraphylococcus จึงเป็นสาเหตุให้ Sir Alexander fleming ต้องออกมากล่าวว่า
การใช้ยาปฏิชีวนะควรใช้เท่าที่จำเป็น ในวันที่ 11 ธันวาคม 1945 (Fleming A. Penicillin Nobel Lecture, December 11, 1945. Available at:
https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/laureates/1945/fleming-lecture.pdf)
จากนี้เองจะเห็นแล้วว่า
ความตระหนักเรื่องเชื้อดื้อยานั้นมีมาตั้งแต่เมื่อ 70 ปีกว่าที่แล้ว แต่การประกาศครั้งนี้ก็ไม่ได้มีผลลดการเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาแต่อย่างใด เพราะ หลังจากคำพูดนั้นอีก 15 ปี หลังจากมีการพัฒนายาตัวใหม่ที่เป็น Broad spectrum (ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้หลายชนิด) และนำมาใช้อย่างแพร่หลายอย่าง Tetracycline เพียง 9 ปี ก็พบกับเชื้อดื้อยาตัวใหม่อย่าง
Shigella ซึ่งดื้อยา Tetracycline

ภาพแสดงจานเพาะเชื้อ Salmonella และ Shigella ที่สามารถทนต่อยา Tetracycline, Amoxicillin และ Penicillin ตามรูป A,B และ C ตามลำดับ ซึ่งพบในน้ำทิ้งของโรงพยาบาล
จากงานวิจัยของ Md Hafizur et al. 2013 แหล่งที่มา :
https://www.researchgate.net/publication/296706058
เราจะเห็นแล้วว่า ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 10 ปี หลังการประกาศนำใช้ยาปฏิชีวนะตัวใหม่ ก็พบอุบัติการณ์เชื้อดื้อยาได้แล้ว นี้ยังไม่นับเชื้ออื่นๆ ที่บางตัวใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้และรับมือกับยาปฏิชีวะตัวใหม่ในระยะเวลาเพียงปีกว่าๆ
ภายหลังช่วงการค้นพบยาปฏิชีวนะใหม่ๆ การค้นพบว่าเชื้อดื้อยาใหม่ๆเองก็เป็นเงาตามตัวไปตลอดด้วย โดยตลอดระยะเวลาเพียง 50 ปี เราก็พบว่ามีเชื้อดื้อยาใหม่ๆ มากมายเช่น
1960 ประกาศใช้ยา Methicillin
1962 พบการดื้อยา Methicillin ของเชื้อ
Staphylococcus และพบการดื้อยา Penicillin ของเชื้อ
Pneumococcus
1967 ประกาศใช้ยา Gentamicin
1979 พบการดื้อยา Gentamicin ของเชื้อ
Enterococcus
1972 ประกาศใช้ยา Vancomycin
1987 พบการดื้อยา Vancomycin ของเชื้อ
Entercoccus และพบการดื้อยา Ceftazidime ของเชื้อ
Enterobactericeae
1996 ประกาศใช้ยา Levofloxacin
1996 พบการดื้อยา Levofloxacin ของเชื้อ
Pneumococcus
และพบการดื้อยา Imipenam ของเชื้อ
Enterobactericeae
2000 ประกาศใช้ยา Linezolid
2003 ประกาศใช้ยา Daptomycin
2010 ประกาศใช้ยา Ceftaroline
2000-2011 พบอุบัติการณ์การดื้อยา ดังนี้
XDR-
Tuberculosis (วัณโรค)
Linezolid
Staphylococcus
Vancomycin
Staphylococcus
PDR-
Acinetobactor &
Pseudomonas
New Dellhi metallo-beta-Lactamase (NDM-1)
Ceftriaxone
Neisseria gonorrhea
PDR-
Enterobacteriaceae
Ceftaroline
Staphylococcus
และล่าสุดที่ร้ายแรงสุดๆคือ ที่รัฐเนวาด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการพบผู้ป่วยหญิงเสียชีวิตจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่สามารถทนต่อยาปฏิชีวนะได้ถึง 26 ชนิด ในปี 2017 ซึ่งทั้ง 26 ชนิดของยาปฏิชีวนะนั้น เป็นยาปฏิชีวนะทั้งหมดที่มีในอเมริกา
จากอุบัติการณ์ข้างต้นจะแสดงให้เห็นแล้วว่า ตลอดช่วงระเวลาเพียง 70 ปีที่ผ่านมา เรามีการค้นพบยาปฏิชีวนะใหม่พอๆกับการค้นพบการดื้อยาของเชื้อใหม่ๆด้วยเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบัน ปัญหาเชื้อดื้อยานี้เองกำลังเป็นปัญหาที่สะสมและพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อดื้อยา จะมากกว่าคนที่เสียชีวิตด้วโรงมะเร็ง หรือเบาหวานซะอีก
จากโรคที่แต่เดิมเราไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก กลับจะกลายมาเป็นโรคที่มีความร้ายแรงหนักกว่าโรคมะเร็งซะอีก

ภาพแสดงการคาดการณ์สาเหตุการเสียชีวิตหลักในอนาคตปี 2050 แหล่งที่มา:O'neill J (May 2016). "TACKLING DRUG-RESISTANT INFECTIONS GLOBALLY: FINAL REPORT AND RECOMMENDATIONS" (PDF). amr-review.org/. Retrieved November 10, 2017.
เราอาจคิดว่าเรื่องเชื้อดื้อยานั้นเป็นปัญหาไกลตัว เพราะเกิดที่ อเมริกา :3 แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ปัญหาไกลตัวเลย โดยในปี 2012 มีการศึกษาโดยภาณุมาศ ภูมาศ และคณะ พบว่ามีคนไข้กว่าแสนคนที่ติดเชื้อดื้อยาจากโรงพยาบาลทั่วประเทศไทย และเป็นสาหตุการเสียชีวิตที่สูงมากถึง 38,481 คนต่อปี
นอกจากนี้ ในไทยเรายังพบว่ามีความชุกของเชื้อดื้อยาอีก เช่น imipenem resistant
Acinetobacter spp, imipenem resistant
Pseudomonas aeruginosa, vancomycin resistant
enterococci, carbapenem resistant
Enterobacteriaceae, extended spectrum β-lactamase producing
Enterobacteriaceae
ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมทั้งจากที่โรงพยาบาลสั่งจ่ายเองและจากการที่มีการซื้อใช้เองของคนไข้ ซึ่งใช้ยาอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ อาจผิดพลาดทั้งตัวเลือกการใช้ยา และ ระยะเวลาที่ใช้ยาไม่เหมาะสม
โดยเฉพาะในบ้านเราที่เราพบได้บ่อยคือการใช้อย่างไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม บางคนเข้าใจว่ายาปฏิชีวนะคือยาแก้อักเสบจึงซื้อใช้เอง และหยุดยาเองไม่ครบ dose สาเหตุเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดการพัฒนาการดื้อยาของเชื้อโรคได้ ซึ่งได้มีการศึกษา (Centers for Disease Control and Prevention. Antibiotic / Antimicrobial Resistance. Available at:
https://www.cdc.gov/drugresistance/index.html. Accessed April 15, 2018) พบว่าปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็น จะยิ่งก่อให้เกิดการดื้อยามากยิ่งขึ้น โดยแบคทีเรียที่ดื้อยาจะส่งต่อความสามารถให้สู่รุ่นลูก หรืออาจส่งต่อให้กับเชื้ออื่นๆต่อไป
(กระบวนการที่ส่งต่อการดื้อยาไปสู้เชื้ออื่นอาจมากจาก การที่มันมี Pili ซึ่งสามารถช้อนเอาเศษซาก DNA ของเชื้อดื้อยาที่ตายเข้าไปสู่ตัวเองได้ครับ เรียกว่า Horizontal Gene Transfer)

ภาพแสดง Pili ขอเชื้อแบคทีเรีย
จากข้างต้นเราได้ทราบถึงความสำคัญและสาเหตุของเชื้อดื้อยาแล้ว แล้วเรามีมาตรการจัดการอะไรมั้ย?
ทางด้านองค์การอนามัยโลกได้วางมาตรการในการรับมือไว้ในหัวข้อ Global Action Plan on Antimicrobial Resistance ตั้งแต่ช่วงปี 2015
โดยระบุเป็นข้อๆดังนี้
1) สร้างความเข้าใจและความตระหนัก โดยการให้ความรู้เรื่องเชื้อดื้อยาผ่านสื่อมวลชน
2) สร้างองค์ความรู้และหลักฐานเชิงประจักษ์ด้วยการเฝ้าระวังและงานวิจัยให้มีความน่าเชื่อถือ
3) ลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อด้วยการรักษาสุขลักษณะและการป้องกันการติดเชื้อ
4) ส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพในมนุษย์และสัตว์ให้มีความเหมาะสม
5) สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ยา อุปกรณ์ วัคซีน ในการต่อสู้กับเชื้อดื้อยา
ซึ่งประเทศไทยเราเองก็มีการตื่นตัวกับเรื่องนี้เช่นกัน คือตื่นตัวนะไม่ใช่ตื่นเต้น โดยกระทรวงสาธารณฯ บ้านเราก็มีทั้งการจัดตั้ง ศูนย์เฝ้าระวังเชื้อดื้อยาแห่งชาติ (National AMR Surveillance Centre) และจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อรับมือและให้ความรู้แก่ประชาชน
จากทั้งหมดทั้งมวลเราจะเห็นแล้วว่า ปัญหาเชื้อดื้อยามีเป็นมาและความร้ายแรงอย่างไร ดังนั้นหลังจากนี้หวังว่าทุกท่านจะใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้นนะครับ สุดท้าย หากเจอญาติพี่น้องที่ยังเข้าใจเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างผิดๆเช่น ยาปฏิชีวนะคือยาแก้อักเสบ ก็อาจแนะนำปรับความเข้าใจกันนะครับบบบบบ
นอกจากนี้เรายังมีช่องแชนแนลที่เกี่ยวข้องกับความรู้และเกม โดยเป็นหัวข้อของ ยาปฏิชีวนะต่างจากยาแก้อักเสบอย่างไร ฝากทุกท่านเข้าไปรับชมติดตามและให้กำลังใจทีมงานกันด้วยนะครับ
(รายการขายของ)
References
1. Infectious Diseases Society of America. Faces of Antimicrobial Resistance Report. Available at:
http://www.idsociety.org/uploadedFiles/IDSA/FOAR/FOAR%20Report%201-up%20final.pdf.
2. Fleming A. Penicillin Nobel Lecture, December 11, 1945. Available at:
https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/laureates/1945/fleming-lecture.pdf.
3. World Health Organization. Antibiotic resistance. Available at:
http://www.who.int/mediacentre/factsheets/antibiotic-resistance/en/.
4. ภาณุมาศ ภูมาศ, ตวงรัตน์ โพธะ, วิษณุ ธรรมลิขิตกุล, อาธร ลิ้วไพบูลย์, ภูษิต ประคองสาย, สุพล ลิ้มวัฒนานนท์. ผลกระทบด้านสุขภาพและเศรษฐศาสตร์จากการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทย : กรณีศึกษาเบื้องต้น. วารสารวิจัย ระบบสาธารณสุข 2012; 6(3): 352-360。
5. World Health Organization. World Antibiotic Awareness Week, 12-18 November 2018. Available at: www.who.int/campaigns/world-antibiotic-awareness-week/en/.
“เชื้อดื้อยา superbug” ผลจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ
สำหรับมู้ในวันนี้ผมจะขอพูดถึงปัญหาเชื้อดื้อยาซึ่งอาจจะก่อปัญหาร้ายแรงในอนาคต เพื่อหวังว่าทุกคนจะตระหนักถึงปัญหานี้และระวังเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะกันอย่างมากยิ่งขึ้น :3 หากมีข้อผิดพลาดประการใด จขกท. ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ
นับตั้งแต่อดีตครั้งแรกที่โลกได้รู้จักกับยาปฏิชีวนะตัวแรกคือปี ค.ศ. 1928 โดย Sir Alexander fleming ซึ่งค้นพบ Penicillin เป็นครั้งแรก และได้รับการศึกษาต่อยอดเพิ่มเติมโดย H. Florey เป็นการเปิดยุคใหม่ของการรักษาโรคติดเชื้อ หลังจาก Penicillin ก็มีการนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นยาใหม่ๆอีกมากมายเช่น การเติมหมู่ฟังก์ชั่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมลบมากยิ่งขึ้นเช่น Ampicillin, การดัดแปลงโครงสร้างไปเลยจนได้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นมีความ Broad spectrum มากยิ่งขึ้นอย่าง Tetracycline เป็นต้น
ในช่วงที่ยาปฏิชีวนะเริ่มมีการพัฒนาจนกลายเป็นยาใหม่ๆมากมาย ก็ได้มีการศึกษาพบว่า เชื้อแบคทีเรียเองก็กำลังพัฒนาตัวเองให้สามารถรับมือกับยาปฏิชีวนะได้จนกลายเป็นการดื้อยาได้ โดยในปี 1940 มีการค้นพบการดื้อยา Penicillin โดยเชื้อ Sraphylococcus จึงเป็นสาเหตุให้ Sir Alexander fleming ต้องออกมากล่าวว่า การใช้ยาปฏิชีวนะควรใช้เท่าที่จำเป็น ในวันที่ 11 ธันวาคม 1945 (Fleming A. Penicillin Nobel Lecture, December 11, 1945. Available at: https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/laureates/1945/fleming-lecture.pdf)
จากนี้เองจะเห็นแล้วว่า ความตระหนักเรื่องเชื้อดื้อยานั้นมีมาตั้งแต่เมื่อ 70 ปีกว่าที่แล้ว แต่การประกาศครั้งนี้ก็ไม่ได้มีผลลดการเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาแต่อย่างใด เพราะ หลังจากคำพูดนั้นอีก 15 ปี หลังจากมีการพัฒนายาตัวใหม่ที่เป็น Broad spectrum (ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้หลายชนิด) และนำมาใช้อย่างแพร่หลายอย่าง Tetracycline เพียง 9 ปี ก็พบกับเชื้อดื้อยาตัวใหม่อย่าง Shigella ซึ่งดื้อยา Tetracycline
ภาพแสดงจานเพาะเชื้อ Salmonella และ Shigella ที่สามารถทนต่อยา Tetracycline, Amoxicillin และ Penicillin ตามรูป A,B และ C ตามลำดับ ซึ่งพบในน้ำทิ้งของโรงพยาบาล
จากงานวิจัยของ Md Hafizur et al. 2013 แหล่งที่มา :https://www.researchgate.net/publication/296706058
เราจะเห็นแล้วว่า ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 10 ปี หลังการประกาศนำใช้ยาปฏิชีวนะตัวใหม่ ก็พบอุบัติการณ์เชื้อดื้อยาได้แล้ว นี้ยังไม่นับเชื้ออื่นๆ ที่บางตัวใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้และรับมือกับยาปฏิชีวะตัวใหม่ในระยะเวลาเพียงปีกว่าๆ
ภายหลังช่วงการค้นพบยาปฏิชีวนะใหม่ๆ การค้นพบว่าเชื้อดื้อยาใหม่ๆเองก็เป็นเงาตามตัวไปตลอดด้วย โดยตลอดระยะเวลาเพียง 50 ปี เราก็พบว่ามีเชื้อดื้อยาใหม่ๆ มากมายเช่น
1960 ประกาศใช้ยา Methicillin
1962 พบการดื้อยา Methicillin ของเชื้อ Staphylococcus และพบการดื้อยา Penicillin ของเชื้อ Pneumococcus
1967 ประกาศใช้ยา Gentamicin
1979 พบการดื้อยา Gentamicin ของเชื้อ Enterococcus
1972 ประกาศใช้ยา Vancomycin
1987 พบการดื้อยา Vancomycin ของเชื้อ Entercoccus และพบการดื้อยา Ceftazidime ของเชื้อ Enterobactericeae
1996 ประกาศใช้ยา Levofloxacin
1996 พบการดื้อยา Levofloxacin ของเชื้อ Pneumococcus
และพบการดื้อยา Imipenam ของเชื้อ Enterobactericeae
2000 ประกาศใช้ยา Linezolid
2003 ประกาศใช้ยา Daptomycin
2010 ประกาศใช้ยา Ceftaroline
2000-2011 พบอุบัติการณ์การดื้อยา ดังนี้
XDR-Tuberculosis (วัณโรค)
Linezolid Staphylococcus
Vancomycin Staphylococcus
PDR-Acinetobactor & Pseudomonas
New Dellhi metallo-beta-Lactamase (NDM-1)
Ceftriaxone Neisseria gonorrhea
PDR- Enterobacteriaceae
Ceftaroline Staphylococcus
จากอุบัติการณ์ข้างต้นจะแสดงให้เห็นแล้วว่า ตลอดช่วงระเวลาเพียง 70 ปีที่ผ่านมา เรามีการค้นพบยาปฏิชีวนะใหม่พอๆกับการค้นพบการดื้อยาของเชื้อใหม่ๆด้วยเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบัน ปัญหาเชื้อดื้อยานี้เองกำลังเป็นปัญหาที่สะสมและพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อดื้อยา จะมากกว่าคนที่เสียชีวิตด้วโรงมะเร็ง หรือเบาหวานซะอีก
จากโรคที่แต่เดิมเราไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก กลับจะกลายมาเป็นโรคที่มีความร้ายแรงหนักกว่าโรคมะเร็งซะอีก
ภาพแสดงการคาดการณ์สาเหตุการเสียชีวิตหลักในอนาคตปี 2050 แหล่งที่มา:O'neill J (May 2016). "TACKLING DRUG-RESISTANT INFECTIONS GLOBALLY: FINAL REPORT AND RECOMMENDATIONS" (PDF). amr-review.org/. Retrieved November 10, 2017.
เราอาจคิดว่าเรื่องเชื้อดื้อยานั้นเป็นปัญหาไกลตัว เพราะเกิดที่ อเมริกา :3 แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ปัญหาไกลตัวเลย โดยในปี 2012 มีการศึกษาโดยภาณุมาศ ภูมาศ และคณะ พบว่ามีคนไข้กว่าแสนคนที่ติดเชื้อดื้อยาจากโรงพยาบาลทั่วประเทศไทย และเป็นสาหตุการเสียชีวิตที่สูงมากถึง 38,481 คนต่อปี
นอกจากนี้ ในไทยเรายังพบว่ามีความชุกของเชื้อดื้อยาอีก เช่น imipenem resistant Acinetobacter spp, imipenem resistant Pseudomonas aeruginosa, vancomycin resistant enterococci, carbapenem resistant Enterobacteriaceae, extended spectrum β-lactamase producing Enterobacteriaceae
ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมทั้งจากที่โรงพยาบาลสั่งจ่ายเองและจากการที่มีการซื้อใช้เองของคนไข้ ซึ่งใช้ยาอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ อาจผิดพลาดทั้งตัวเลือกการใช้ยา และ ระยะเวลาที่ใช้ยาไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในบ้านเราที่เราพบได้บ่อยคือการใช้อย่างไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม บางคนเข้าใจว่ายาปฏิชีวนะคือยาแก้อักเสบจึงซื้อใช้เอง และหยุดยาเองไม่ครบ dose สาเหตุเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดการพัฒนาการดื้อยาของเชื้อโรคได้ ซึ่งได้มีการศึกษา (Centers for Disease Control and Prevention. Antibiotic / Antimicrobial Resistance. Available at:https://www.cdc.gov/drugresistance/index.html. Accessed April 15, 2018) พบว่าปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็น จะยิ่งก่อให้เกิดการดื้อยามากยิ่งขึ้น โดยแบคทีเรียที่ดื้อยาจะส่งต่อความสามารถให้สู่รุ่นลูก หรืออาจส่งต่อให้กับเชื้ออื่นๆต่อไป
(กระบวนการที่ส่งต่อการดื้อยาไปสู้เชื้ออื่นอาจมากจาก การที่มันมี Pili ซึ่งสามารถช้อนเอาเศษซาก DNA ของเชื้อดื้อยาที่ตายเข้าไปสู่ตัวเองได้ครับ เรียกว่า Horizontal Gene Transfer)
ภาพแสดง Pili ขอเชื้อแบคทีเรีย
จากข้างต้นเราได้ทราบถึงความสำคัญและสาเหตุของเชื้อดื้อยาแล้ว แล้วเรามีมาตรการจัดการอะไรมั้ย?
ทางด้านองค์การอนามัยโลกได้วางมาตรการในการรับมือไว้ในหัวข้อ Global Action Plan on Antimicrobial Resistance ตั้งแต่ช่วงปี 2015
โดยระบุเป็นข้อๆดังนี้
1) สร้างความเข้าใจและความตระหนัก โดยการให้ความรู้เรื่องเชื้อดื้อยาผ่านสื่อมวลชน
2) สร้างองค์ความรู้และหลักฐานเชิงประจักษ์ด้วยการเฝ้าระวังและงานวิจัยให้มีความน่าเชื่อถือ
3) ลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อด้วยการรักษาสุขลักษณะและการป้องกันการติดเชื้อ
4) ส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพในมนุษย์และสัตว์ให้มีความเหมาะสม
5) สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ยา อุปกรณ์ วัคซีน ในการต่อสู้กับเชื้อดื้อยา
ซึ่งประเทศไทยเราเองก็มีการตื่นตัวกับเรื่องนี้เช่นกัน คือตื่นตัวนะไม่ใช่ตื่นเต้น โดยกระทรวงสาธารณฯ บ้านเราก็มีทั้งการจัดตั้ง ศูนย์เฝ้าระวังเชื้อดื้อยาแห่งชาติ (National AMR Surveillance Centre) และจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อรับมือและให้ความรู้แก่ประชาชน
จากทั้งหมดทั้งมวลเราจะเห็นแล้วว่า ปัญหาเชื้อดื้อยามีเป็นมาและความร้ายแรงอย่างไร ดังนั้นหลังจากนี้หวังว่าทุกท่านจะใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้นนะครับ สุดท้าย หากเจอญาติพี่น้องที่ยังเข้าใจเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างผิดๆเช่น ยาปฏิชีวนะคือยาแก้อักเสบ ก็อาจแนะนำปรับความเข้าใจกันนะครับบบบบบ
นอกจากนี้เรายังมีช่องแชนแนลที่เกี่ยวข้องกับความรู้และ
เกมโดยเป็นหัวข้อของ ยาปฏิชีวนะต่างจากยาแก้อักเสบอย่างไร ฝากทุกท่านเข้าไปรับชมติดตามและให้กำลังใจทีมงานกันด้วยนะครับ(รายการขายของ)
References
1. Infectious Diseases Society of America. Faces of Antimicrobial Resistance Report. Available at:
http://www.idsociety.org/uploadedFiles/IDSA/FOAR/FOAR%20Report%201-up%20final.pdf.
2. Fleming A. Penicillin Nobel Lecture, December 11, 1945. Available at:
https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/laureates/1945/fleming-lecture.pdf.
3. World Health Organization. Antibiotic resistance. Available at: http://www.who.int/mediacentre/factsheets/antibiotic-resistance/en/.
4. ภาณุมาศ ภูมาศ, ตวงรัตน์ โพธะ, วิษณุ ธรรมลิขิตกุล, อาธร ลิ้วไพบูลย์, ภูษิต ประคองสาย, สุพล ลิ้มวัฒนานนท์. ผลกระทบด้านสุขภาพและเศรษฐศาสตร์จากการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทย : กรณีศึกษาเบื้องต้น. วารสารวิจัย ระบบสาธารณสุข 2012; 6(3): 352-360。
5. World Health Organization. World Antibiotic Awareness Week, 12-18 November 2018. Available at: www.who.int/campaigns/world-antibiotic-awareness-week/en/.