Getty Images
รถ "ด้วง" ที่กลายเป็น รถ "เต่า" ในเวลาต่อมา เป็นที่ชื่นชอบของคนหลายรุ่น
โฟล์คสวาเกนกำลังจะยกเลิกการผลิต "รถเต่า" ในปี 2019 โดยถือเป็นการปิดฉากรถยนต์ที่มีการออกแบบได้โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่งในโลก
บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมันระบุว่า การผลิตรถยนต์ล็อตสุดท้ายซึ่งเป็นรุ่นเฉลิมฉลองรถยนต์อันมีเอกลักษณ์นี้จะเกิดขึ้นที่โรงงานผลิตในประเทศเม็กซิโก ในเดือน ก.ค. 2019
รถบีเทิล หรือที่รู้จักในนาม "รถเต่า" มีต้นกำเนิดในยุคนาซีของเยอรมนีด้วยแนวคิดให้เป็น "รถยนต์ของประชาชน" จากเดิมมีแต่รถหรูหราไว้ให้เศรษฐีได้ซื้อหาและครอบครองเท่านั้น แต่รถเต่ามาเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเมื่อปรากฏโฉมในภาพยนตร์ของวอล์ท ดิสนีย์
AFP
รถเต่าเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อภาพยนตร์ "เฮอร์บี รถเต่านักรัก" เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ก่อนนำเรื่องราวกลับมาสร้างใหม่ในปี 2005
ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ยอดขายรถได้ลดลง โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ บรรดาผู้บริโภคหันไปใช้รถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น รถประเภทครอสโอเวอร์ หรือเอสยูวี
ก่อนหน้านี้ บริษัทโฟล์คสวาเกนเผชิญเรื่องอื้อฉาวหลังถูกตรวจพบว่าได้ติดตั้งซอฟท์แวร์ในรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมันดีเซลเพื่อโกงผลทดสอบค่าไอเสีย อีกทั้งยังทุ่มงบมหาศาลไปลงทุนผลิตรถยนต์สำหรับครอบครัวและรถยนต์ไฟฟ้า
ทางบริษัทระบุว่า รถเต่าโฉมสุดท้ายจะมีทั้งแบบสองประตูและเปิดประทุน
"การหายไปของรถเต่าที่อยู่ในตลาดมาสามรุ่นจนมีอายุใกล้ครบ 70 ปี จะทำให้แฟน ๆ ผู้นิยมในรถเต่าหวนระลึกถึงมัน" เฮนริช โวฟเคน ประธานกลุ่มโฟล์กสวาเกนในอเมริกา กล่าว
Getty Images
รถเต่าถูกออกแบบขึ้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยวิศวกรยานยนต์ซึ่งถือเป็นบุคคลในตำนานอย่าง แฟร์ดีนันด์ ปอร์เช ตามคำสั่งของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ต้องการสร้างรถยนต์ราคาถูกให้ประชาชนชาวเยอรมันได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
แต่กระบวนการผลิตต้องหยุดชะงักลงเพราะสงคราม เมื่อความจำเป็นทางทหารได้รับความสนใจมากกว่า ขณะเดียวกันโรงงานการผลิตรถก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากนั้นก็ตกไปอยู่ในมือของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนกลับมาเริ่มเดินเครื่องการผลิตอีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 กระทั่งปี 1955 รถยนต์นับล้านคันก็วิ่งอยู่บนถนนเยอรมนี
รูปแบบของรถยนต์รุ่นนี้โด่งดังในระดับโลกช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 จากภาพยนตร์เรื่อง "เฮอร์บี รถเต่านักรัก" (Herbie the Love Bug ) ของค่ายวอล์ท ดิสนีย์ ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของรถเต่านักแข่งซึ่งมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง ส่งผลให้รถเต่ากลายเป็นรถยอดนิยมในช่วงดังกล่าว และได้รับการยกย่องว่าเป็นรถขนาดเล็กที่ใช้งานได้ดี งดงาม และมีคุณภาพ
การผลิตรถเต่าได้ยุติลง แล้วกลับมาผลิตใหม่หลายครั้งในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
Getty Images
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ฐานการผลิตถูกย้ายจากยุโรปไปเม็กซิโก เพื่อให้ใกล้กับตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ
ในช่วงปี 1990 "เดอะ นิว บีเทิล" หรือรถเต่าโฉมใหม่ ออกสู่ตลาด สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการรถยนต์ของสหรัฐฯ ด้วยยอดขายกว่า 80,000 คันในปี 1999
ทางบริษัทคิดว่าจะทบทวนและปรับปรุงรูปแบบที่เป็นไปได้ และใช้เป็นทางเลือกในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนตัดสินใจเลิกการผลิตมัน
◾คุณเข้าใจ ระบบ 'ออโตไพล็อต' ในรถยนต์รุ่นใหม่ อย่างถูกต้องหรือไม่?
◾'เทสลา' ส่งมอบ 'Model 3' รถยนต์ไฟฟ้าถูกสุดของบริษัท หวังขยายฐานตลาด
อย่างไรก็ตาม ประธานกลุ่มโฟล์กในอเมเริกาไม่ได้ตั้งกฎที่ชัดเจนตายตัวว่ารูปแบบรถเต่านี้จะไม่ฟื้นกลับมาอีก "อย่าเพิ่งบอกว่าเป็นไปไม่ได้" เขากล่าว
บริษัทโฟล์กสวาเกนขายรถเต่าได้ 11,151 คันในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ โดยถือเป็นสัดส่วนที่ลดลงร้อยละ 2.2 หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2017
BBC/NEWS/ไทย
เมื่อ “รถเต่า” กำลังจะหายไปจากถนน
Getty Images
รถ "ด้วง" ที่กลายเป็น รถ "เต่า" ในเวลาต่อมา เป็นที่ชื่นชอบของคนหลายรุ่น
โฟล์คสวาเกนกำลังจะยกเลิกการผลิต "รถเต่า" ในปี 2019 โดยถือเป็นการปิดฉากรถยนต์ที่มีการออกแบบได้โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่งในโลก
บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมันระบุว่า การผลิตรถยนต์ล็อตสุดท้ายซึ่งเป็นรุ่นเฉลิมฉลองรถยนต์อันมีเอกลักษณ์นี้จะเกิดขึ้นที่โรงงานผลิตในประเทศเม็กซิโก ในเดือน ก.ค. 2019
รถบีเทิล หรือที่รู้จักในนาม "รถเต่า" มีต้นกำเนิดในยุคนาซีของเยอรมนีด้วยแนวคิดให้เป็น "รถยนต์ของประชาชน" จากเดิมมีแต่รถหรูหราไว้ให้เศรษฐีได้ซื้อหาและครอบครองเท่านั้น แต่รถเต่ามาเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเมื่อปรากฏโฉมในภาพยนตร์ของวอล์ท ดิสนีย์
AFP
รถเต่าเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อภาพยนตร์ "เฮอร์บี รถเต่านักรัก" เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ก่อนนำเรื่องราวกลับมาสร้างใหม่ในปี 2005
ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ยอดขายรถได้ลดลง โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ บรรดาผู้บริโภคหันไปใช้รถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น รถประเภทครอสโอเวอร์ หรือเอสยูวี
ก่อนหน้านี้ บริษัทโฟล์คสวาเกนเผชิญเรื่องอื้อฉาวหลังถูกตรวจพบว่าได้ติดตั้งซอฟท์แวร์ในรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมันดีเซลเพื่อโกงผลทดสอบค่าไอเสีย อีกทั้งยังทุ่มงบมหาศาลไปลงทุนผลิตรถยนต์สำหรับครอบครัวและรถยนต์ไฟฟ้า
ทางบริษัทระบุว่า รถเต่าโฉมสุดท้ายจะมีทั้งแบบสองประตูและเปิดประทุน
"การหายไปของรถเต่าที่อยู่ในตลาดมาสามรุ่นจนมีอายุใกล้ครบ 70 ปี จะทำให้แฟน ๆ ผู้นิยมในรถเต่าหวนระลึกถึงมัน" เฮนริช โวฟเคน ประธานกลุ่มโฟล์กสวาเกนในอเมริกา กล่าว
Getty Images
รถเต่าถูกออกแบบขึ้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยวิศวกรยานยนต์ซึ่งถือเป็นบุคคลในตำนานอย่าง แฟร์ดีนันด์ ปอร์เช ตามคำสั่งของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ต้องการสร้างรถยนต์ราคาถูกให้ประชาชนชาวเยอรมันได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
แต่กระบวนการผลิตต้องหยุดชะงักลงเพราะสงคราม เมื่อความจำเป็นทางทหารได้รับความสนใจมากกว่า ขณะเดียวกันโรงงานการผลิตรถก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากนั้นก็ตกไปอยู่ในมือของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนกลับมาเริ่มเดินเครื่องการผลิตอีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 กระทั่งปี 1955 รถยนต์นับล้านคันก็วิ่งอยู่บนถนนเยอรมนี
รูปแบบของรถยนต์รุ่นนี้โด่งดังในระดับโลกช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 จากภาพยนตร์เรื่อง "เฮอร์บี รถเต่านักรัก" (Herbie the Love Bug ) ของค่ายวอล์ท ดิสนีย์ ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของรถเต่านักแข่งซึ่งมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง ส่งผลให้รถเต่ากลายเป็นรถยอดนิยมในช่วงดังกล่าว และได้รับการยกย่องว่าเป็นรถขนาดเล็กที่ใช้งานได้ดี งดงาม และมีคุณภาพ
การผลิตรถเต่าได้ยุติลง แล้วกลับมาผลิตใหม่หลายครั้งในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
Getty Images
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ฐานการผลิตถูกย้ายจากยุโรปไปเม็กซิโก เพื่อให้ใกล้กับตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ
ในช่วงปี 1990 "เดอะ นิว บีเทิล" หรือรถเต่าโฉมใหม่ ออกสู่ตลาด สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการรถยนต์ของสหรัฐฯ ด้วยยอดขายกว่า 80,000 คันในปี 1999
ทางบริษัทคิดว่าจะทบทวนและปรับปรุงรูปแบบที่เป็นไปได้ และใช้เป็นทางเลือกในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนตัดสินใจเลิกการผลิตมัน
◾คุณเข้าใจ ระบบ 'ออโตไพล็อต' ในรถยนต์รุ่นใหม่ อย่างถูกต้องหรือไม่?
◾'เทสลา' ส่งมอบ 'Model 3' รถยนต์ไฟฟ้าถูกสุดของบริษัท หวังขยายฐานตลาด
อย่างไรก็ตาม ประธานกลุ่มโฟล์กในอเมเริกาไม่ได้ตั้งกฎที่ชัดเจนตายตัวว่ารูปแบบรถเต่านี้จะไม่ฟื้นกลับมาอีก "อย่าเพิ่งบอกว่าเป็นไปไม่ได้" เขากล่าว
บริษัทโฟล์กสวาเกนขายรถเต่าได้ 11,151 คันในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ โดยถือเป็นสัดส่วนที่ลดลงร้อยละ 2.2 หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2017
BBC/NEWS/ไทย