ช่วงเวลาอยู่กับตัวเอง ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าในหน้าฝน...

สวัสดีครับ หลายๆคนอาจจะไม่ชอบความเฉอะแฉะในหน้าฝน แต่สำหรับบางคนกลับจะบอกว่า หน้าฝนนี่สิ มีแต่ความชุ่มฉ่ำ
สำหรับผม ณ วันนั้น ขอแค่ความสงบ ได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ ก็พอแล้ว และเป้าหมายของผมคือ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ครับ...
คิดปุ๊บเช็คบ้านพักของทางอุทยานทันที ด้วยความที่ต้องการความสงบ เลยวางแผนเดินทางวันพฤหัส กลับวันเสาร์ เพื่อหลีกหนีผู้คน
ห้องว่างเยอะมาก จองทันทีบ้านเชิงดอย 108 เป็นบ้านแบบห้องแถว 4 ห้องใน 1 หลัง ห้องนึง พักได้ 3 คนครับ ราคา 800 บาทต่อคืน
ช่วงโลว์ซีซัน ลด 15% จอง 2 คืนเป็นเงิน 1360 บาท ในห้องมีเครื่องนอน ที่ทำน้ำอุ่น ให้ครับ
ตรวจสอบเส้นทาง ระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตรจากแจ้งวัฒนะที่อาศัยอยู่ ใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 6 ชม. คำนวน ค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำมันบวกกับค่าที่พักแล้ว
จากเดิมที่ตั้งใจไปคนเดียว จึงตัดสินใจหาคนหารค่าน้ำมันดีกว่า
แต่ก็นะ วางแผนฉุกละหุกแบบนี้ ลางาน 2 วันด้วย เพื่อนๆ ไม่ค่อยจะสะดวกกัน เลยชวนน้องที่รู้จักกันเพราะหลงใหลในการถ่ายรูปด้วยเลนส์มือหมุน
เหมือนกันว่าสนมั้ย? ไปพักผ่อนกัน น้องตอบมาง่ายๆว่า ไปพี่...
เออ ง่ายดี งั้นไปกัน 2 หนุ่มนี่แหละ...
เส้นทางการเดินทาง ผมเลือกใช้เส้นทางผ่านอยุธยา ชัยนาท นครสวรรค์ (ทางหลวงหมายเลข 32 ต่อ 117 แล้ว 12 + ทางเลี่ยงเมือง)
เส้นนี้ระยะทางจะไกลกว่าเส้น ตากฟ้าประมาณ 30 กิโลเมตรครับ (ทางหลวงหมายเลข 11) แต่ถนนจะวิ่งได้ง่ายกว่าเลยเลือกใช้เส้นทางนี้ครับ
ออกเดินทางประมาณ 6 โมงเช้า แวะพักเป็นระยะๆ ทุกๆ 1.30 ชม. และเข้าถึงอุทยานก็ประมาณ เที่ยงครึ่งครับ
ติดต่อขอรับกุญแจห้อง แล้วนั่งทานข้าวกัน ตรงที่ทำการอุทยาน จะมีอยู่ 2 ร้านครับ ร้านดวงใจ กับร้านรังทอง เลือกกันตามอัธยาศัย
ส่วนตัวฝากท้องไว้กับร้านรังทองแทบจะทุกมื้อ รสชาติ และปริมาณเหมาะสมกับราคาในสถานที่ท่องเที่ยวครับ
(หลักๆผมจะทานเป็นอาหารจานเดียว)
จัดแจงเอาของไปเก็บในห้องให้เรียบร้อย เตรียมอุปกรณ์ ตั้งใจไปดูพระอาทิตย์ตกที่ลานหินปุ่มกันสำหรับเย็นนี้
มาพูดถึงห้องพักสักนิดนึง ห้องขนาดใหญ่ โล่งสบายพอสมควรครับ ผมจองห้องริมไว้ เลยมีหน้าต่างด้านข้าง
ทำให้ไม่อึดอัดจนเกินไป เอารถมาจอดข้างบ้านพักได้เลย
ข้อเสียก็คือ พวกหน้าต่างปิดล็อคไม่ได้นะครับ ของมีค่าไม่ควรทิ้งเอาไว้ กับบริเวณข้างๆ จะมีบ้านพักขนาดใหญ่อยู่ด้วย
โชคร้ายหน่อยก็จะเจอเสียงดังยาวๆ ซัดเหล้ากันตั้งแต่บ่ายๆ ประมาณนั้น แต่ 4 ทุ่ม อุทยานจะปิดไฟบางส่วนครับ เลยรอดไป...

เป้าหมายแรกของวันนี้ เป็นโรงเรียนการเมือง และกังหันน้ำครับ ขับรถจากที่ทำการอุทยานไป 4 กิโลเมตรโดยประมาณ
จอดรถสะดวกสบายหน้าโรงเรียนการเมืองได้เลยครับ ^^

ถ่ายมาได้ไม่กี่รูปก็ยอมแพ้ครับ ด้วยสภาพแสงที่ไม่เอื้ออำนวย ถ่ายมาเลยไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่นัก เลยเดินข้ามถนนมา เข้าไปที่กังหันน้ำแทน
เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ครับ น้ำตกเย็นสบาย เงียบ เพลิดเพลินครับ ^^
ถ่ายกันได้สักพักก็เคลื่อนย้าย เพราะแผนที่วางไว้สำหรับเย็นนี้คือ ดูพระอาทิตย์ตกที่ลานหินปุ่มครับ เลยต้องรีบเข้าไปหน่อย
เนื่องจาก ลานหินปุ่ม นั้นจะต้องเดินเข้าไปในเส้นทางศึกษาธรรมชาติประมาณ กิโลนิดๆ อีกทั้งหน้านี้เป็นหน้าฝน
จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกันนิดหน่อย ทั้งเสื้อคลุมกันฝน rain cover ของกระเป๋ากล้อง ไฟฉายดีๆ เผื่อไว้ในขากลับ
สเปรย์กันแมลง ของพวกนี้จำเป็นมากครับในหน้าฝน
ทางเดินไม่ได้ลำบากอะไรนัก มีลื่นๆ บ้างเป็นบางจุด เดินต้องระมัดระวัง ระวังทางเดินก็จะมีจุดไฮไลท์ให้ชมเรื่อยๆ เช่น ผานาคราช

ส่วนตัวผม ก็ก้มๆ เงยๆ ถ่ายดอกไม้ ใบหญ้า มอส เฟิร์น อะไรไปเรื่อยๆครับ พอดีติดเลนส์มาโครมาด้วย...
ข้อดีของการเที่ยวป่าหน้าฝนก็คือสีสันนี่แหละครับ มองไปทางไหนก็สดชื่น






ใช้เวลาเดินประมาณ ชม. นิดๆ เราก็มาถึงลานหินปุ่มก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกประมาณ ชม. กว่าๆ
ก็นั่งพัก เดินดูนู้นนี่ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆครับ
จนท. บอกว่าช่วงนี้เย็นๆฝนตกทุกวัน วันนี้ก็มาลุ้นกัน ฟ้าใส แดดมาเต็ม นั่งรับแดดกันครับ...
ใกล้ได้เวลาพระอาทิตย์ตกล่ะ และแล้ว เมฆฝนมาตามนัดจริงๆ เลยไม่ได้ภาพแสงสุดท้าย หรือฟ้าระเบิดอะไรเลย
ต้องทำใจครับ สายธรรมชาติ เรากำหนดทุกอย่างเองไม่ได้จริงๆ
รอลุ้นจนฟ้ามืด เลยจำใจเดินกลับ ถามว่าผิดหวังมั้ย? ก็ไม่นะครับ เพราะหน้าฝนต้องทำใจ โอกาสเจอฟ้าเคลียร์ๆมีน้อย ภาพที่ได้ในวันนี้ก็ถือว่าพอใจแล้วสำหรับอากาศคาดว่าจะเย็น แต่เอาจริงๆกำลังสบาย เสื้อกันหนาวไม่ต้องใช้ครับ แถมเดินมาเรื่อยๆ เหงื่อแตกอีกต่างหาก ^^
กลับมาที่เห็นบริเวณจุดกลางเต้นท์ เห็นฟ้าเปิดอีกรอบ เลยรีบกลับไปทานข้าวที่ห้อง (สั่งใส่กล่องไว้ เพราะช่วงนี้ร้านปิดหกโมงเย็นครับ)
แล้วก็เดินกลับมาที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ หน้าจุดกลางเต็นท์ส่องดาวกันที่นี่ต่อครับ

Noise อาจจะเยอะไปหน่อยนะครับ เพราะถ่ายมาเป็น Jpeg ส่งเข้ามือถือมาดึงแสงเลยแค่นั้น ไม่ได้เก็บรายละเอียดอะไรเยอะครับ
เพราะผมแต่งรูปไม่เป็น ชอบบรรยากาศตอนนั่นงถ่ายรูปมากกว่า ยกเก้าอี้สนามไปนั่งในลานรับลมเย็นๆ ถ่ายไปนั่งเล่นไป
เพราะเมฆมาก ได้ภาพไม่เยอะ แต่ความสุขเยอะมากๆครับ ^^
นั่งถ่ายกันอยู่จน 4 ทุ่มกว่าๆก็เข้ามาอาบน้ำ พักผ่อนครับ เช้ามีเป้าหมายดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูแผงม้า
เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นตีสี่ครึ่งครับ เตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ภูแผงม้า จะอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 28 กิโลเมตรครับ
เกือบถึงภูทับเบิกเลยทีเดียว ใช้เวลาขับรถตามกูเกิ้ล คือ 48 นาที วันนี้พระอาทิตย์ขึ้น ตอน หกโมงหกนาที รีบเดินทางกันดีกว่าครับ
สำหรับผู้ไม่ชำนาญทาง อาจจะต้องใช้เวลาเยอะหน่อยนะครับ เผื่อเวลากันดีๆ เพราะเป็นทางโค้งขึ้น ลงเขา ควรใช้ความระมัดระวังครับ
ส่วนผมขับมาถึงเนินทางขึ้นภูแผงม้าตอนตีห้า ห้าสิบ หันหัวรถเตรียมเอาขึ้นไปจอดข้างบน แค่ทิ่มหัวไปเท่านั้นต้องเปลี่ยนใจครับ
เพราะทางค่อนข้างแฉะ และมีร่องลึกๆอยู่ รถไม่ใช่ 4WD ไม่เสี่ยงดีกว่า เลยถอยหลังมาจอดแนบข้างทางแทน ด้
วยความที่ทางขึ้นเป็นหัวโค้งพอดีเพื่อความปลอดภัยเลยเอารถเข้าแนบไหล่ทางเยอะหน่อยครับ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อรถอื่นๆด้วย
หลังจากนั้น รีบหยิบอาวุธออกตัวขึ้นภูแผงม้ากันครับ ระยะทางไม่ไกลมาก ไม่เกินครึ่งกิโล แต่ ชันชิบ...เดินเหนื่อยกว่าไปลานหินปุ่มเยอะเลย
ช่วยไม่ได้ รีบจ้ำกันเถอะครับ อีก 10 นาที เพราะอาทิตย์จะขึ้นแล้ว โอ้ย เหนื่อย.........
และแล้ว...
ด้วยความไม่มีเลนส์เทเลครับ ก็เลยไม่มีภาพพรอาทิตย์ดวงโตๆ เก็บแต่ภาพวิวกว้างๆแทน
สดชื่นครับ อากาศดีมากๆ ฟ้าเปิด สวย เพลิน สงบ มันดีงาม...


บนภูแผงม้า เค้าทำระเบียงไว้ให้ยืนชมวิว ถ่ายรูปนะครับ แต่ต้องเดินระวังๆกันนิดนึง เนื่องจากมีพื้นบางส่วนชำรุด ผุพังเป็นรูขนาดขาร่วงลงไปได้ 1 ขา สบายๆเลยทีเดียว
เวลาไปเที่ยวกัน ก็อยาก action กระโดดถ่ายภาพกันเลยนะครับ มันทำให้พื้นเสียหาย เก็บไว้ให้คนอื่นมีโอกาสได้ชมบ้าง
ถ่ายวิว และเซลฟี่เสร็จ ก็มาถึงทางถนัดครับ ถ่ายภาพสายโบเก้...
สำหรับคนที่นิยมเลนส์มือหมุนแล้ว มักจะไม่พลาดกับการเสพโบเก้ครับ น้ำค้างยอดหญ้าที่สะท้อนแสงแดดนี่ ทีเด็ดเลยทีเดียวครับ...










หลังจากสำราญกับโบเก้แล้วก็เดินลงครับ เป้าหมายถัดไป คือ โรงเรียนการเมืองอีกครั้งครับ ต้องการไปแก้มือ ^^
แต่ รถที่แนบไว้ข้างทางนี่สิ ดันติดหล่มครับ เอาไม่ขึ้น กรำ...ติดอยู่ 1 ล้อ โยกกันอยู่นานก็เอาไม่ขึ้น
พอดีมีรถตู้ใจดีผ่านมาถามว่า “ไหวมั้ย”
คำตอบก็คือ ไม่ไหวครับ พี่ช่วยลากนิดนะครับ ^^
ด้วยความช่วยเหลือของรถตู้ กทม. ที่ใจดี ใช้เวลาไม่นานก็หลุดออกมาได้ครับ
ขอบคุณมากจริงๆครับ สำหรับน้ำใจของคนไทย ^^
ระหว่างทางกลับ สภาพแสงผลุบๆโผล่ๆ ฝนทำท่าจะตกแหล่ ไม่ตกแหล่ ด้วยสภาพแสงแบบนี้ เลยแวะทานข้านร้านเดิม แล้วจึงกลับห้องพักดีกว่า
ไปเอาแรงสักงีบก่อนครับ เพราะเมื่อคืนนอนอยู่ 4 ชม.กว่า คืนก่อนเดินทางก็นอนน้อย ยังต้องขับรถกลับอีก ดูแลสภาพร่างกายกันหน่อย
หลังจากหลับไป 1 งีบ ก็ตื่นมาเตรียมตัวออกไปหาอะไรถ่ายกันต่อ เราเลือกน้ำตกสายฝนครับ เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ทางเดินไม่ไกล ประมาณ 200 เมตร
ทริปนี้กะแบบสบายๆ ไม่ต้องลุยมาก เนื่องจากสภาพร่างกายไม่อำนวย
น้ำตกสายฝน ทางเข้าจะอยู่ห่างที่ทำการอุทยานไปไม่ไกลครับ จะอยู่ก่อนถึงทางเข้าไปลานหินปุ่ม ผมไม่กล้าจอดรถแนบข้างทางแล้วกลัวติดหล่มอีก
ก็เลยจอดบริเวณทางเข้าลานหินปุ่มแล้วเดินย้อนลงมาครับ
เดินไม่ไกลก็มาถึง และไม่ผิดหวังจริงๆครับ กับน้ำตกสายฝน...


แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่