สวัสดีค่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า เรื่องมีอยู่ว่าหนู จริงๆก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ปีนี้ก็19แล้วค่ะ แต่ขออนุญาตแทนสรรพนามตนเองว่าหนูนะคะ มันชินเสียแล้วน่ะค่ะ
หนูเพิ่งเข้ารับการรักษาภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งย่านเมืองนนท์ ได้ประมาณ 1 ปี ในตอนแรกที่รักษาหนูไม่ได้รักษาที่โรงพยาบาลนี้หรอกค่ะ แต่เลือกที่จะไปรักษาที่สาธารณสุขใกล้มหาวิทยาลัย แทบจะทันทีที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพได้หนูก็ตัดสินใจที่จะไปรักษาทันที
หนูมีอาการทำร้ายตัวเองมาตั้งแต่เด็ก บ่อยครั้งที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และในทุกๆวันต้องมีสักเวลาที่หนูรู้สึกโดดเดี่ยวแล้วกรี๊ดและร้องไห้อัดหน้าลงกับหมอนเพื่อไม่ให้แม่ได้ยินเสียง หนูถูกเลี้ยงมาในครอบครัวคนจีนคุณพ่อเป็นจีนแท้ ส่วนคุณแม่เป็นเชื้อสายจีน คุณพ่อทำงานค้าขายตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อต ส่วนคุณแม่กับธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่บ้าน หนูเป็นลูกคนกลางค่ะ คุณแม่บอกว่าหนูตอนเด็กเลี้ยงง่ายที่สุด แต่การที่เป็นคนไม่เคยมีปัญหาทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรม ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่เมื่อวันหนึ่งเมื่อพี่สาวของฉันในวัยมัธยมเริ่มมีแฟน ซึ่งแน่นอนทั้งคุณพ่อและคุณแม่ด่าทอ และต่อจากนั้นก็ไล่ฉันออกไปจากห้องนั้น เสียงด่าทอของแม่ทำให้น้องชายที่ห่างจากหนู7ปี และเป็นออทิสติกและไม่สามารถพูดได้ แต่น้องสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ เสียงน้องชายที่ร้องไห้จ้า เสียงพ่อและแม่ที่ด่าทอพี่สาวหนู หนูจูงมือน้องชายออกมาจากห้องนั้นให้เร็วที่สุด แล้วแอบกันอยู่ที่บันได และเมื่อประตูห้องที่พี่สาวของฉันถูกรุมอยู่นั้นได้เปิดออก กลิ่นของความอันตรายออกมาจากห้องนั้นหนูรู้สึก และคงเป็นตอนนั้นเองที่หนูหยิกตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าหยิก รู้เพราะตอนอาบน้ำเห็นรอยเป็นจ้ำๆ หนูไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพี่สาวของหนูและครอบครัวหนู
หลังจากนั้นน้องชายของหนูถูกคุณแม่ที่คิดว่าลูกชายของตัวเองสามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ ในตอนแรกๆหนูก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคิดว่าน้องอาจจะดีขึ้นก็ได้ แต่เมื่อผ่านไป3ปีน้องชายหนูยังคงอยู่อนุบาล1 โรงเรียนเดียวกันกับหนูมันทำให้ตอนพักกลางวัน หนูแอบมองหาน้องชายที่บ้างวันก็ร้องไห้จ้า บางวันก็เล่นมืออยู่คนเดียว บางวันก็มีรอยกัด ในทุกๆวันจะมีกิจกรรมระหว่างคุณแม่และน้องชายนั่นคือ การทำการบ้าน อาจจะดูปกติค่อนข้างไปทางดีด้วยซ้ำที่คุณพ่อหรือคุณแม่ช่วยลูกทำการบ้าน แต่มันไม่ใช่โดยสิ้นเชิงสำหรับบ้านของหนู น้องชายของหนูไม่สามารถเขียนตามเส้นประได้ เพี๊ยะ! เขาบวกเลขหรือลบเลขไม่ได้ เพี๊ยะ! เขาไม่สามารถอ่านหนังสือได้ เพี๊ยะ! และเขาก็เริ่มร้องไห้จ้า คุณแม่เริ่มโมโหขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนสุดทายแม่ก็ทุบตีน้องชายของหนู หนูเห็นภาพนี้ทุกวันจบเรียนจบมัธยมปลาย หลายครั้งที่หนูโทษตัวเองที่ช่วยน้องจากคุณแม่และพี่สาวไม่ได้ ใช่ค่ะ พี่สาวหนูเปลี่ยนไปเป็นอีกคนถึงแม้ว่าแฟนที่พี่สาวคบก็ยังคงเป็นคนเดิม คนที่คุณพ่อและคุณแม่ด่าทอพี่สาวในห้องนั้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแฟนของพี่สาวคนนั้นสอบเข้าหมอได้
ห้ามเป็นทอม! อย่าห้าว! หนูถูกสั่งสอนด้วยประโยคนี้มาตลอด คุณแม่บอกกับฉันว่ามันน่ารังเกียจและไม่มีวันเป็นไปได้ ส่วนคุณพ่อของหนูไม่ต้องพูดถึง เมื่อหนูเริ่มเครียดและทำร้ายตัวเอง หนูก็เริ่มหาที่พึ่งนั่นก็คือครูนั่นเอง วิธีที่หนูใช้คือเมื่อครูสั่งให้เขียนเรียงความเกี่ยวกับครอบครัวของตนเอง หนูก็เขียนพรรณาทุกอย่างที่อยู่ข้างในตัวหนู และหลังจากนั้นไม่นานคุณพ่อและคุณแม่ถูกเรียกมาที่โรงเรียน หนูไม่เข้าใจในตอนแรกว่ามากันทำไม มาเพราะหนูเรียนตกเหรอ หรือเพราะหนูกลับบ้านช้าบ่อยๆ แต่สุดท้ายครูคนนั้นก็ขอให้คุณพ่อและคุณแม่ของหนูเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูหนู แต่เมื่อขึ้นรถกลับบ้าน บรรยากาศน่ากลัวเริ่มเกิดขึ้น และเมื่อถึงบ้านหนูก็เข้าใจเเล้วว่าห้องที่พี่สาวของหนูถูกด่าทอนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง หนูถูกด่าทอ และทุบตี ไม่ต่างจากน้องชายของหนูเลย หลังจากนั้นหนูก็ถูกจับผิดทุกอย่าง หนูโทรคุยระบายปัญหากับเพื่อนเป็นระยะๆ แล้ววันนึ่งแม่ก็เปิดประตูห้องนอนหนูแล้วดึงคอลากหนูลงมาจากชั้น2 และตีนบันไดมีคุณพ่อรออยู่ พ่อไม่ได้มาช่วยหนูแต่พ่อมาล๊อคแขนหนูให้แม่ด่าทอ หนูเริ่มเกเร เริ่มกินเหล้า (ที่เอามาจากการไหว้บรรพบุรุษ) และเริ่มสูบบุหรี่ มันทำให้หนูรู้สึกช้าลง ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย และสุดท้ายหนูก็เสพติดมัน
ที่พิมพ์ร่ายยาวมาทั้งหมดเพราะหนูคิดว่าการที่พอจะรู้ภูมิหลังชีวิตของหนู อาจจะเข้าใจหนูมากขึ้น อาจจะช่วยตัดสินใจปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตหนู ในเดือนหน้านี้คุณหมอที่รักษาหนูขอให้หนูเอาคุณแม่มาด้วย คุณหมอจะขอทำครอบครัวบำบัด แต่หนูกลัวค่ะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้คุณแม่มาดีไหม หนูกลัวว่าคุณแม่จะไม่ยอมรับการรักษา กลัวว่าคุณแม่จะระเบิดลงใส่หนูอีก แต่หนูก็อยากหายจากโรคนี้เหมือนกัน เรื่องที่แม่พูดกับหนูอยู่เสมอตั้งแต่หนูตัดสินใจบอกแม่ว่าหนูป่วย นั่นก็คือ แกต้องเข้มแข็ง คนอื่นหายได้แกก็ต้องหายได้ อย่าทำตัวอ่อนแอ และ ตอนแรกฉันดีใจนะที่แกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว หนูรู้สึกเจ็บปวดค่ะ เหมือนมีมีดมาค่อยๆกรีดลงกลางตัวของหนู
.
.
.
.
สุดท้ายนี้ หนูรู้สึกว่าการกอดของแม่ ตอนหนูอายุ19 หนูขยะแขยงค่ะ รู้สึกสะอิสะเอียนและเมื่อแม่มาส่งหน้าหอ แม่จะทำสิ่งนี้เสมอ และลับหลังแม่หนูก็ไปอ้วกจริงๆค่ะ หนูผิดมากไหมคะที่รู้สึกแบบนี้ หนูรู้ว่าหนูไม่ควรรู้สึกแบบนี้แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยกอดหนูเลย
ถึงตรงนี้ ขอบคุณมากๆค่ะที่อ่านจนจบ หนูไม่ได้อยากตายหรอกนะคะ แต่การหายใจด้วยความทุกข์ทรมาน มันก็เหมือนหนูตายทั้งเป็น ตายทุกๆวัน วันละหลายๆรอบวนซ้ำไปซ้ำมา ขอบคุณค่ะ
ช่วยหนูด้วย
ซึมเศร้า กับ ครอบครัว
หนูเพิ่งเข้ารับการรักษาภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งย่านเมืองนนท์ ได้ประมาณ 1 ปี ในตอนแรกที่รักษาหนูไม่ได้รักษาที่โรงพยาบาลนี้หรอกค่ะ แต่เลือกที่จะไปรักษาที่สาธารณสุขใกล้มหาวิทยาลัย แทบจะทันทีที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพได้หนูก็ตัดสินใจที่จะไปรักษาทันที
หนูมีอาการทำร้ายตัวเองมาตั้งแต่เด็ก บ่อยครั้งที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และในทุกๆวันต้องมีสักเวลาที่หนูรู้สึกโดดเดี่ยวแล้วกรี๊ดและร้องไห้อัดหน้าลงกับหมอนเพื่อไม่ให้แม่ได้ยินเสียง หนูถูกเลี้ยงมาในครอบครัวคนจีนคุณพ่อเป็นจีนแท้ ส่วนคุณแม่เป็นเชื้อสายจีน คุณพ่อทำงานค้าขายตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อต ส่วนคุณแม่กับธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่บ้าน หนูเป็นลูกคนกลางค่ะ คุณแม่บอกว่าหนูตอนเด็กเลี้ยงง่ายที่สุด แต่การที่เป็นคนไม่เคยมีปัญหาทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรม ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่เมื่อวันหนึ่งเมื่อพี่สาวของฉันในวัยมัธยมเริ่มมีแฟน ซึ่งแน่นอนทั้งคุณพ่อและคุณแม่ด่าทอ และต่อจากนั้นก็ไล่ฉันออกไปจากห้องนั้น เสียงด่าทอของแม่ทำให้น้องชายที่ห่างจากหนู7ปี และเป็นออทิสติกและไม่สามารถพูดได้ แต่น้องสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ เสียงน้องชายที่ร้องไห้จ้า เสียงพ่อและแม่ที่ด่าทอพี่สาวหนู หนูจูงมือน้องชายออกมาจากห้องนั้นให้เร็วที่สุด แล้วแอบกันอยู่ที่บันได และเมื่อประตูห้องที่พี่สาวของฉันถูกรุมอยู่นั้นได้เปิดออก กลิ่นของความอันตรายออกมาจากห้องนั้นหนูรู้สึก และคงเป็นตอนนั้นเองที่หนูหยิกตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าหยิก รู้เพราะตอนอาบน้ำเห็นรอยเป็นจ้ำๆ หนูไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพี่สาวของหนูและครอบครัวหนู
หลังจากนั้นน้องชายของหนูถูกคุณแม่ที่คิดว่าลูกชายของตัวเองสามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ ในตอนแรกๆหนูก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคิดว่าน้องอาจจะดีขึ้นก็ได้ แต่เมื่อผ่านไป3ปีน้องชายหนูยังคงอยู่อนุบาล1 โรงเรียนเดียวกันกับหนูมันทำให้ตอนพักกลางวัน หนูแอบมองหาน้องชายที่บ้างวันก็ร้องไห้จ้า บางวันก็เล่นมืออยู่คนเดียว บางวันก็มีรอยกัด ในทุกๆวันจะมีกิจกรรมระหว่างคุณแม่และน้องชายนั่นคือ การทำการบ้าน อาจจะดูปกติค่อนข้างไปทางดีด้วยซ้ำที่คุณพ่อหรือคุณแม่ช่วยลูกทำการบ้าน แต่มันไม่ใช่โดยสิ้นเชิงสำหรับบ้านของหนู น้องชายของหนูไม่สามารถเขียนตามเส้นประได้ เพี๊ยะ! เขาบวกเลขหรือลบเลขไม่ได้ เพี๊ยะ! เขาไม่สามารถอ่านหนังสือได้ เพี๊ยะ! และเขาก็เริ่มร้องไห้จ้า คุณแม่เริ่มโมโหขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนสุดทายแม่ก็ทุบตีน้องชายของหนู หนูเห็นภาพนี้ทุกวันจบเรียนจบมัธยมปลาย หลายครั้งที่หนูโทษตัวเองที่ช่วยน้องจากคุณแม่และพี่สาวไม่ได้ ใช่ค่ะ พี่สาวหนูเปลี่ยนไปเป็นอีกคนถึงแม้ว่าแฟนที่พี่สาวคบก็ยังคงเป็นคนเดิม คนที่คุณพ่อและคุณแม่ด่าทอพี่สาวในห้องนั้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแฟนของพี่สาวคนนั้นสอบเข้าหมอได้
ห้ามเป็นทอม! อย่าห้าว! หนูถูกสั่งสอนด้วยประโยคนี้มาตลอด คุณแม่บอกกับฉันว่ามันน่ารังเกียจและไม่มีวันเป็นไปได้ ส่วนคุณพ่อของหนูไม่ต้องพูดถึง เมื่อหนูเริ่มเครียดและทำร้ายตัวเอง หนูก็เริ่มหาที่พึ่งนั่นก็คือครูนั่นเอง วิธีที่หนูใช้คือเมื่อครูสั่งให้เขียนเรียงความเกี่ยวกับครอบครัวของตนเอง หนูก็เขียนพรรณาทุกอย่างที่อยู่ข้างในตัวหนู และหลังจากนั้นไม่นานคุณพ่อและคุณแม่ถูกเรียกมาที่โรงเรียน หนูไม่เข้าใจในตอนแรกว่ามากันทำไม มาเพราะหนูเรียนตกเหรอ หรือเพราะหนูกลับบ้านช้าบ่อยๆ แต่สุดท้ายครูคนนั้นก็ขอให้คุณพ่อและคุณแม่ของหนูเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูหนู แต่เมื่อขึ้นรถกลับบ้าน บรรยากาศน่ากลัวเริ่มเกิดขึ้น และเมื่อถึงบ้านหนูก็เข้าใจเเล้วว่าห้องที่พี่สาวของหนูถูกด่าทอนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง หนูถูกด่าทอ และทุบตี ไม่ต่างจากน้องชายของหนูเลย หลังจากนั้นหนูก็ถูกจับผิดทุกอย่าง หนูโทรคุยระบายปัญหากับเพื่อนเป็นระยะๆ แล้ววันนึ่งแม่ก็เปิดประตูห้องนอนหนูแล้วดึงคอลากหนูลงมาจากชั้น2 และตีนบันไดมีคุณพ่อรออยู่ พ่อไม่ได้มาช่วยหนูแต่พ่อมาล๊อคแขนหนูให้แม่ด่าทอ หนูเริ่มเกเร เริ่มกินเหล้า (ที่เอามาจากการไหว้บรรพบุรุษ) และเริ่มสูบบุหรี่ มันทำให้หนูรู้สึกช้าลง ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย และสุดท้ายหนูก็เสพติดมัน
ที่พิมพ์ร่ายยาวมาทั้งหมดเพราะหนูคิดว่าการที่พอจะรู้ภูมิหลังชีวิตของหนู อาจจะเข้าใจหนูมากขึ้น อาจจะช่วยตัดสินใจปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตหนู ในเดือนหน้านี้คุณหมอที่รักษาหนูขอให้หนูเอาคุณแม่มาด้วย คุณหมอจะขอทำครอบครัวบำบัด แต่หนูกลัวค่ะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้คุณแม่มาดีไหม หนูกลัวว่าคุณแม่จะไม่ยอมรับการรักษา กลัวว่าคุณแม่จะระเบิดลงใส่หนูอีก แต่หนูก็อยากหายจากโรคนี้เหมือนกัน เรื่องที่แม่พูดกับหนูอยู่เสมอตั้งแต่หนูตัดสินใจบอกแม่ว่าหนูป่วย นั่นก็คือ แกต้องเข้มแข็ง คนอื่นหายได้แกก็ต้องหายได้ อย่าทำตัวอ่อนแอ และ ตอนแรกฉันดีใจนะที่แกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว หนูรู้สึกเจ็บปวดค่ะ เหมือนมีมีดมาค่อยๆกรีดลงกลางตัวของหนู
.
.
.
.
สุดท้ายนี้ หนูรู้สึกว่าการกอดของแม่ ตอนหนูอายุ19 หนูขยะแขยงค่ะ รู้สึกสะอิสะเอียนและเมื่อแม่มาส่งหน้าหอ แม่จะทำสิ่งนี้เสมอ และลับหลังแม่หนูก็ไปอ้วกจริงๆค่ะ หนูผิดมากไหมคะที่รู้สึกแบบนี้ หนูรู้ว่าหนูไม่ควรรู้สึกแบบนี้แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยกอดหนูเลย
ถึงตรงนี้ ขอบคุณมากๆค่ะที่อ่านจนจบ หนูไม่ได้อยากตายหรอกนะคะ แต่การหายใจด้วยความทุกข์ทรมาน มันก็เหมือนหนูตายทั้งเป็น ตายทุกๆวัน วันละหลายๆรอบวนซ้ำไปซ้ำมา ขอบคุณค่ะ
ช่วยหนูด้วย