ชาวสวนยาง 3 จังหวัดใต้ รุดยื่นหนังสือร้อง รมว.เกษตรฯ แก้ปัญหายางตกต่ำ
https://www.matichon.co.th/region/news_1124035
เมื่อวันที่ 10 กันยายน ตัวแทนเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย จากจังหวัดตรัง พัทลุง และกระบี่ นำโดยนาย
ประทบ สุขสนาน รองประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย, นาย
ถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน ที่ปรึกษาประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรฯ, นาย
ไพรัช เจ้ยชุม กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์เครือข่ายสถาบันเกษตรกร, นาย
สมบัติ บุญสนิท ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรฯ จ.พัทลุง, นาย
สมปอง นวลสมศรี ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดกระบี่ และนาย
ชาญชัย ทองแก้ว เกษตรกรชาวสวนยาง เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องต่อนาย
กฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เร่งแก้ไข
ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ และความล้มเหลวของการบริหารงานของ กยท.ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหายางพาราได้ แต่กลับสร้างวิกฤตด้านราคาซ้ำ
นาย
ประทบกล่าวว่า ทั้งโครงการส่งเสริมใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐของรัฐบาลที่ล้มเหลวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าถ้าเดินหน้าตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้จะสามารถกระตุ้นการใช้ยางในประเทศ จะผลักดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน และให้ทบทวนการทำงานของนาย
เยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย
นาย
ไพรัชกล่าวว่า ปัญหาความล้มเหลวในการบริหารของรักษาการผู้ว่าการ กยท. การที่ไม่สามารถแก้ปัญหาราคายางตกต่ำได้ แต่กลับสร้างวิกฤตด้านราคาเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลกับ กยท.ไม่มีความจริงใจ และไม่สามัคคีกัน แต่ทำงานไปคนละทิศคนละทาง ขณะที่ กยท. ก็แบ่งออกเป็น 2-3 ฝ่าย ทำให้ปัญหามาตกกับเกษตรกรชาวสวนยางที่ราคาตกต่ำลงทุกวัน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะมีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 500 บาท รายละไม่เกิน 6 ไร่ ฟังแล้วไม่มีใครเห็นด้วยกับนโยบายนี้ ที่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาเคยพยายามทุ่มใช้งบประมาณเพื่อนโยบายนี้ แต่สุดท้ายไม่สามารถจะแก้ปัญหาให้มั่นคงและยั่งยืนแก่เกษตรกรได้ และชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิก็ไม่สามารถจะเข้าถึงความช่วยเหลือนี้ได้ จึงมองว่าการที่รัฐบาลทำแบบนี้ก็สร้างปัญหาให้แก่รัฐบาลเองอีก แต่รัฐบาลควรจะนำงบประมาณมหาศาลเหล่านั้น มาส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียน เพื่อนำมาแปรรูปต่อยอดผลิตภัณฑ์จากยางพารา ทั้งผ่านโรงงานของสถาบัน ของสหกรณ์ รวมทั้งโรงงานของ กยท.เอง จะทำให้เห็นเป็นผลงานของรัฐบาลและแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมให้เกษตรกรมากกว่านี้ รวมทั้งการก่อสร้างโรงงานน้ำยางข้นให้เกิดขึ้นกระจายไปทุกภูมิภาคที่มีการผลิตยาง
“ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ทางรัฐบาลจะเอายางที่ค้างอยู่ในสต๊อกออกมาใช้ ทางเครือข่ายและชาวสวนยางไม่เห็นด้วย เพราะสภาวะราคายางขณะนี้ตกต่ำอยู่แล้ว หากนำยางในสต๊อกออกมาใช้อีกจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมตลาด พร้อมเรียกร้องไปยังผู้นำเกษตรกรชาวสวนยางพาราทุกกลุ่มที่แยกกันอยู่ขณะนี้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกกลุ่มทุกองค์กรที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องการแก้ปัญหาราคายาง ควรจะหันหน้ามาจับมือกันสร้างความสามัคคี รวมกันให้เกิดความเป็นเอกภาพ เพราะถ้าไม่รวมกันจะไม่มีพลังที่จะต่อรองกับรัฐบาลได้” นาย
ไพรัชกล่าว
นาย
ถนอมเกียรติกล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อช่วยพยุงราคาให้สูงขึ้น เพื่อช่วยเหลือเกษตรโดยด่วน คือ การพัฒนาตลาดกลางยางพาราที่มีทั้ง 6 แห่ง เกี่ยวกับระเบียบ วิธีการปฏิบัติ ให้ใช้ตลาดกลางยางพาราเป็นเครื่องมือในการผลักดันราคาให้สูงขึ้น และรัฐบาลควรเข้ามาดูแลตลาดกลางใกล้ชิด ป้องกันการฮั้วประมูลของบริษัทใหญ่ที่กดดันราคา ซึ่งจะทำให้ราคายางปรับตัวขึ้นได้แน่นอน รวมทั้งตั้งกองทุนซื้อรวบรวมยางให้ตลาดเครือข่ายรายย่อยก่อนส่งต่อตลาดกลาง รวมทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีไฟเขียวเรื่องการแก้ผังเมืองรวมให้เกิดประโยชน์กับการพัฒนายาง เช่น การก่อสร้างโรงงานน้ำยางข้นในทุกภูมิภาค เพื่อเอื้อให้เกิดการก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา
JJNY : ชาวสวนยาง 3 จังหวัดใต้ รุดยื่นหนังสือร้อง รมว.เกษตรฯ/ชาวชุมพรโวยอ่างเก็บน้ำกว่า25 ล้านสองปี เก็บน้ำไม่ได้ฯ
https://www.matichon.co.th/region/news_1124035
เมื่อวันที่ 10 กันยายน ตัวแทนเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย จากจังหวัดตรัง พัทลุง และกระบี่ นำโดยนายประทบ สุขสนาน รองประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย, นายถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน ที่ปรึกษาประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรฯ, นายไพรัช เจ้ยชุม กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์เครือข่ายสถาบันเกษตรกร, นายสมบัติ บุญสนิท ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรฯ จ.พัทลุง, นายสมปอง นวลสมศรี ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดกระบี่ และนายชาญชัย ทองแก้ว เกษตรกรชาวสวนยาง เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องต่อนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เร่งแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ และความล้มเหลวของการบริหารงานของ กยท.ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหายางพาราได้ แต่กลับสร้างวิกฤตด้านราคาซ้ำ
นายประทบกล่าวว่า ทั้งโครงการส่งเสริมใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐของรัฐบาลที่ล้มเหลวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าถ้าเดินหน้าตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้จะสามารถกระตุ้นการใช้ยางในประเทศ จะผลักดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน และให้ทบทวนการทำงานของนายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย
นายไพรัชกล่าวว่า ปัญหาความล้มเหลวในการบริหารของรักษาการผู้ว่าการ กยท. การที่ไม่สามารถแก้ปัญหาราคายางตกต่ำได้ แต่กลับสร้างวิกฤตด้านราคาเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลกับ กยท.ไม่มีความจริงใจ และไม่สามัคคีกัน แต่ทำงานไปคนละทิศคนละทาง ขณะที่ กยท. ก็แบ่งออกเป็น 2-3 ฝ่าย ทำให้ปัญหามาตกกับเกษตรกรชาวสวนยางที่ราคาตกต่ำลงทุกวัน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะมีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 500 บาท รายละไม่เกิน 6 ไร่ ฟังแล้วไม่มีใครเห็นด้วยกับนโยบายนี้ ที่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาเคยพยายามทุ่มใช้งบประมาณเพื่อนโยบายนี้ แต่สุดท้ายไม่สามารถจะแก้ปัญหาให้มั่นคงและยั่งยืนแก่เกษตรกรได้ และชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิก็ไม่สามารถจะเข้าถึงความช่วยเหลือนี้ได้ จึงมองว่าการที่รัฐบาลทำแบบนี้ก็สร้างปัญหาให้แก่รัฐบาลเองอีก แต่รัฐบาลควรจะนำงบประมาณมหาศาลเหล่านั้น มาส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียน เพื่อนำมาแปรรูปต่อยอดผลิตภัณฑ์จากยางพารา ทั้งผ่านโรงงานของสถาบัน ของสหกรณ์ รวมทั้งโรงงานของ กยท.เอง จะทำให้เห็นเป็นผลงานของรัฐบาลและแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมให้เกษตรกรมากกว่านี้ รวมทั้งการก่อสร้างโรงงานน้ำยางข้นให้เกิดขึ้นกระจายไปทุกภูมิภาคที่มีการผลิตยาง
“ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ทางรัฐบาลจะเอายางที่ค้างอยู่ในสต๊อกออกมาใช้ ทางเครือข่ายและชาวสวนยางไม่เห็นด้วย เพราะสภาวะราคายางขณะนี้ตกต่ำอยู่แล้ว หากนำยางในสต๊อกออกมาใช้อีกจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมตลาด พร้อมเรียกร้องไปยังผู้นำเกษตรกรชาวสวนยางพาราทุกกลุ่มที่แยกกันอยู่ขณะนี้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกกลุ่มทุกองค์กรที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องการแก้ปัญหาราคายาง ควรจะหันหน้ามาจับมือกันสร้างความสามัคคี รวมกันให้เกิดความเป็นเอกภาพ เพราะถ้าไม่รวมกันจะไม่มีพลังที่จะต่อรองกับรัฐบาลได้” นายไพรัชกล่าว
นายถนอมเกียรติกล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อช่วยพยุงราคาให้สูงขึ้น เพื่อช่วยเหลือเกษตรโดยด่วน คือ การพัฒนาตลาดกลางยางพาราที่มีทั้ง 6 แห่ง เกี่ยวกับระเบียบ วิธีการปฏิบัติ ให้ใช้ตลาดกลางยางพาราเป็นเครื่องมือในการผลักดันราคาให้สูงขึ้น และรัฐบาลควรเข้ามาดูแลตลาดกลางใกล้ชิด ป้องกันการฮั้วประมูลของบริษัทใหญ่ที่กดดันราคา ซึ่งจะทำให้ราคายางปรับตัวขึ้นได้แน่นอน รวมทั้งตั้งกองทุนซื้อรวบรวมยางให้ตลาดเครือข่ายรายย่อยก่อนส่งต่อตลาดกลาง รวมทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีไฟเขียวเรื่องการแก้ผังเมืองรวมให้เกิดประโยชน์กับการพัฒนายาง เช่น การก่อสร้างโรงงานน้ำยางข้นในทุกภูมิภาค เพื่อเอื้อให้เกิดการก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา