เสนามาร

เสนามาร

    มารตบะจะสูงกว่าเทวดา

    ๑. มารสายขาว คือ มารที่มาทดสอบ ตรวจสอบ สอนบทเรียน คุมข้อสอบ มารจะมาในรูปแบบของปริศนาธรรม ถ้าสอบผ่านก็จะยกระดับขึ้นภูมิ แต่ถ้าสอบไม่ผ่านก็ตกภูมิ หรืออยู่ภูมิเดิม

    มารฝ่ายขาวเทียบเท่ากับพระอินทร์

    ๒. มารสายดำ คือ ทำลาย ขัดขวาง ไม่มาในรูปแบบของปริศนาธรรม

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต และในคัมภีร์สุทธัฏฐกสุตตนิเทศ คัมภีร์มหานิเทศ กล่าวถึงพญามารว่า

    เสนามารที่ ๑ กิเลสกาม คือ ความรักใคร่ น่าพึงพอใจ

    เสนามารที่ ๒ อรติ ความไม่ยินดีในกุศลธรรม คือ เกิดความทนง อหังการ ทำดีแล้วยึดดีเป็นของตน เมื่อทำดียึดดีก็ไม่ได้ดี

    เสนามารที่ ๓ ขุปปิปาสา คือ ความหิวกระหาย
        ๑)  หิวอยากจะทำดี หิวกระหายไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เช่น อยากแต่งตัวดีกว่าเขา
        ๒) หิวกระหายอยากทำชั่ว
        ๓) ความหิวกระหายอยากกินดีอยู่ดี เช่น ขายตัวแล้วติดโรค โดยธรรมชาติความหนักเบาขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองปรุงแต่ง

    เสนามารที่ ๔ ตัณหา คือ ความทะยานอยาก
        ๑) อยากในกาม
        ๒) อยากมีอยากเป็น
        ๓) อยากไม่มีอยากไม่เป็น

    เสนามารที่ ๕ ถีนมิทธะ คือ ความหย่อนยาน เป็นตัวประธาน ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย เซ็ง

    เสนามารที่ ๖ ภีรุ คือ  ความขี้ขลาด ความกลัว บางครั้งเรื่องไม่เป็นจริงก็เอามาสร้างเป็นเรื่องจนเกิดความกลัว

    เสนามารที่ ๗ วิจิกิจฉา คือ ไม่ยอมสรุป จึงเกิดความลังเลสงสัย จึงไม่ก้าวพ้น

    เสนามารที่ ๘ มักขะถัมภะ แยกเป็นข้อ คือ ความหลบหลู่ (มักขะ) หัวดื้อ (ถัมภะ) คือ สำคัญตนเองผิด ได้แก่
        หลงใหลว่าตนเองใหญ่
        หลงใหลว่าตนเองเล็ก เรายังด้อย ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว เช่น การดูถูกตนเอง

    เสนามารกองที่ ๙  คือ ลาภ ความสรรเสริญ สักการะและยศที่ได้มาผิดๆ

    เสนามารกองที่ ๑๐ อวชานาติ คือ การยกตนข่มผู้อื่น

ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา

อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่