ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 6
คงเป็นด้วยระบบทหารของไทยโบราณใช้การเกณฑ์ไพร่พลเป็นหลัก จึงทำให้เกิดความเข้าใจว่าในสังคมไทยในอดีตไม่มี "ระบบทหารประจำการ" หรือ "ระบบทหารอาชีพ"
ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะมีหลักฐานจำนวนมากบ่งชี้ว่าไทยมีระบบทหารประจำการตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยาแล้ว โดยพลเมืองที่สมัครใจเข้ารับราชการเป็นทหารประจำการก็จะถูกเรียกว่า “พลอาสา” หรือ “ทหารอาสา” ซึ่งเป็นกองกำลังที่ได้รับการฝึกการรบการต่อสู้มาโดยตรง
โดยเฉพาะในการปกครองส่วนราชธานีที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน กรมทหารประจำการในส่วนราชธานีอาจจะแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ
๑. กรมทหารรักษาพระองค์ สังกัดอยู่ในฝ่ายทหารแต่ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหม ขึ้นตรงกับพระเจ้าแผ่นดินเพียงพระองค์เดียว ประกอบด้วย กรมพระตำรวจหลวง กรมสนมทหาร กรมรักษาพระองค์ กรมพลพัน กรมทหารใน กรมทนายเลือก กรมเรือคู่ชัก (รายละเอียดอ่านได้จาก https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1591676747562456)
๒. กรมทหารสำหรับราชการสามัญ ได้แก่ กรมอาสาหกเหล่า กรมพระคชบาล (กรมช้าง) กรมพระอัศวราช (กรมม้า) กรมช่างทหาร
๓. กรมทหารอาสาต่างประเทศ ได้แก่ กรมอาสามอญ กรมอาสาจาม กรมอาสาญี่ปุ่น กรมเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง กรมฝรั่งแม่นปืน ซึ่งสังกัดอยู่ฝ่ายทหารแต่ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมเช่นเดียวกันทหารรักษาพระองค์ แต่ส่วนใหญ่ผูกพันกับเบี้ยหวัดพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินมากกว่า เว้นแต่กรมอาสามอญซึ่งอาจจะไม่ได้แตกต่างจากทหารไทยมากนัก
นอกจากนี้ว่าก็มีการนำทหารอาสาต่างประเทศมาเป็นทหารรักษาพระองค์อยู่หลายครั้ง อย่างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ทรงมีกองทหารม้ารักษาพระองค์ต่างประเทศหลายเชื้อชาติ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1534846776578787
สำหรับกรมทหารสำหรับราชการสามัญซึ่งไพร่พลเป็นคนไทยเป็นหลัก ก็มีการแบ่งอีกว่าอยู่ในสังกัดฝ่ายทหารหรือพลเรือน โดยกรมอาสาหกเหล่าและกรมช่างฝีมือแขนงต่างๆ อยู่ในสังกัดทหาร ส่วนกรมพระคชบาลและกรมพระอัศวราชอยู่ในสังกัดพลเรือน สันนิษฐานว่าเป็นการถ่วงดุลไม่ให้ฝ่ายทหารมีอำนาจมากเกินไป แต่ในยามศึกสงครามก็ต่างทำหน้าที่เป็นทหารไม่แบ่งแยก
ซึ่งในบทความนี้จะขอกล่าวถึง “กรมอาสาหกเหล่า” ซึ่งเป็นกองทหารประจำการ หรือ "ทหารอาชีพ" ที่เป็นกำลังหลักในราชการสงครามครับ
“กรมอาสาหกเหล่า” เป็นกรมทหารจำนวน ๖ กรมที่สังกัดฝ่ายทหารและอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมที่เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร เป็นกองทหารประจำการที่มีหน้าที่รักษาพระนครกับพระราชอาณาเขต และเป็นกองทัพที่จะออกไปทำสงครามปราบปราบข้าศึกศัตรูในทุกทิศ
ด้วยชื่ออาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ากรมนี้เป็นทหารอาสาต่างประเทศ แต่ความเป็นจริงทั้งข้าราชการและไพร่พลในกรมเป็นคนไทยเป็นหลัก โดยทหารประจำการในกรมอาสาหกเหล่าก็คือ “พลอาสา” หรือ “ทหารอาสา” ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง ซึ่งในแต่ละกรมก็จะมีตำแหน่งข้าราชการชั้นผู้น้อยเป็น "ขุนอาสา" และ "หมื่นอาสา"
จากวรรณกรรมของไทยหลายเรื่องได้สะท้อนให้เห็นว่ากรมอาสาหกเหล่าเป็นกำลังรบแนวหน้าทำหน้าที่บุกทลวงฟัน ดังที่ปรากฏในบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ว่า
"อันโยธาอาสาหกเหล่า..........ทั้งเกณฑ์หัดจัดเข้าเป็นกองขัน
สามารถอาจออกทะลวงฟัน.....รายกันตั้งกองริมกำแพง"
อาจเป็นด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการเรียกทหารอาสาหกเหล่าในอีกชื่อหนึ่งว่า “ทหารหน้า” ซึ่งหมายถึงทหารที่แห่นำกระบวนเสด็จอยู่ข้างหน้า หรือกรมทหารนอกจากกรมทหารรักษาพระองค์ที่มีหน้าที่ต้องไปทำราชการก่อน
โครงสร้างของกรมอาสาหกเหล่าแบ่งเป็น ๖ กรมย่อย ประกอบด้วย กรมอาสาซ้ายขวา กรมเขนทองซ้ายขวา กรมทวนทองซ้ายขวา มีสายบังคับบัญชาดังที่ปรากฏในพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองที่ตราในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) แห่งกรุงศรีอยุทธยาต่อไปนี้ (บรรดาศักดิ์ไม่ได้ตายตัว)
๏ จางวางกรมอาสาหกเหล่า คือ พระยารามจัตุรงค์ ศักดินา ๑๐,๐๐๐ ไร่เทียบเท่าสมุหพระกลาโหม เป็นผู้ควบคุมกรมอาสาหกเหล่าทั้งซ้ายและขวา เช่นเดียวกับกรมระดับสูงที่มีกำลังพลมากและมีกรมย่อยหลายกรมจึงต้องมีตำแหน่ง “จางวาง” เป็นผู้ควบคุม อย่างกรมคชบาลและกรมพระตำรวจ
๏ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าซ้ายขวา (ภายหลังเรียกรวมกันว่ากรมอาสาใหญ่) ศักดินาคนละ ๑๐,๐๐๐ ไร่ มีฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่ชั้นที่ ๑ ได้แก่
- ออกพญาศรีราชเดโชไชยอะไภรีพิรียปรากรมภาหุ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าขวา ตราหนุมานแผลงฤทธิ์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า พระยาศรีราชเดโช พระยาสีหราชเดโช หรือพระยาเดโช (สมัยรัชกาลที่ ๔ แปลงทินนามเป็น ‘ฤทธิไกรเกรียงหาญพลการภักดี’ แต่สมัยนั้นก็ยังพบว่ามีผู้เป็นพระยาสีหราชเดโชไชยอยู่อีกคน)
- ออกพญาศรีราชเดชไชยท้ายน้ำอะไภยรีพิรียปรากรมภาหุ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าซ้าย ตราองคตถือพระขรรค์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า พระยาท้ายน้ำ (สมัยรัชกาลที่ ๔ แปลงทินนามเป็น ‘สีหราชฤทธิไกรท้ายน้ำ’)
๏ กรมอาสาซ้ายขวา (ภายหลังเปลี่ยนมาเรียกว่า กรมอาสารอง) เจ้ากรมมีศักดินาคนละ ๕,๐๐๐ ไร่ มีฐานะเป็นแม่ทัพชั้นที่ ๒
-พระพิไชยสงคราม เจ้ากรมอาสาซ้าย ตราพาลีถือพระชรรค์
-พระรามกำแหง เจ้ากรมอาสาขวา ตราองคตถือธง
๏ กรมเขนทองซ้ายขวา เจ้ากรมมีศักดินาคนละ ๕,๐๐๐ ไร่ มีฐานะเป็นแม่ทัพชั้นที่ ๒
-พระพิไชยรณฤทธิ เจ้ากรมเขนทองขวา ตราองคตนั่งแท่น (สมัยรัชกาลที่ ๔ แปลงทินนามเป็น ‘พิไชยชาญฤทธิ์’)
-พระวิชิตณรงค์ เจ้ากรมเขนทองซ้าย ตราหนุมานถือกิ่งไม้
๏ กรมทวนทองซ้ายขวา เจ้ากรมมีศักดินาคนละ ๑,๖๐๐ ไร่ เทียบเท่านายพล
- พระอนุรักษ์โยธา เจ้ากรมทวนทองซ้าย
- พระมหาสงคราม เจ้ากรมทวนทองขวา
รายละเอียดความแตกต่างของแต่ละกรมไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน แต่พบว่ามีการฝึกฝนอาวุธแตกต่างกันไปตามชื่อกรม โดย
- กรมเขนทอง ใช้อาวุธประเภทดาบคู่กับเขน (โล่กลม) และมีการใช้ปืนด้วย เพราะมีการแบ่งตำแหน่งข้าราชการในกรมเป็นตำแหน่ง "เขน" และ "ปืน"
- กรมทวนทอง ใช้ทวน
นอกจากนี้ก็มีอาวุธประเภทอื่นที่กรมอาสาหกเหล่าใช้ ปรากฏในริ้วระบวนแห่เสด็จเลียบพระนครทางบกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยรัชกาล ๕ ว่า ทหารกรมอาสาหกเหล่าไปตั้งกระโจมหอกจุกช่องรายทาง อาสาใหญ่ถือดาบเชลย อาสารองถือตรี กรมเขนทองถือเขนแบกดาบ กรมทวนทองถือทวน
เจ้ากรมอาสาหกเหล่าทั้งเดโชท้ายน้ำต่างมีข้าราชการและไพร่ในสังกัดของตนเองจนมีฐานะเป็นกรม เรียกว่า “อาสาเดโช” และ “อาสาท้ายน้ำ”
ในสมัยรัตนโกสินทร์จึงพบว่าเรียกรวมกันว่า “กรมอาสาใหญ่” และถูกนำไปเรียกรวมกับกรมอาสาอีก ๖ กรมเดิมว่าเป็น “กรมอาสาแปดเหล่า” (แต่ส่วนมากแล้วพบว่านิยมเรียกว่า อาสาหกเหล่า ตามเดิม)
ผู้เป็นที่เดโชท้ายน้ำสามารถใช้ตราประจำตำแหน่งคือ "ตราหนุมานแผลงฤทธิ์" และ "ตราองคตถือพระขรรค์" แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่ง “ขุนพล” หรือแม่ทัพประจำหัวเมืองเอกโทตรีจัตวาได้ โดยแยกว่าหัวเมืองนั้นเป็นเลกขึ้นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา เดโชดูแลฝ่ายขวา ท้ายน้ำดูแลฝ่ายซ้าย
นอกจากนี้ยังมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่ง “นายด่าน” ประจำหัวเมืองตามซ้ายขวาได้เช่นกัน เพราะว่าเป็นกรมอาสาเป็นทหารที่ต้องยกทัพไปปราบปราบข้าศึก การตั้งด่านจึงเป็นการเตรียมรับมือสถานการณ์ล่วงหน้า ซึ่งหากมีข่าวศึกก็จะได้รายงานมาถึงตัวแม่ทัพโดยตรง จะได้เตรียมการจัดกองทัพออกไปได้โดยเร็ว
แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้ยกเลิกธรรมเนียมให้เจ้ากรมต่างๆ มีอำนาจแต่งตั้งกรมการหัวเมือง กรมอาสาหกเหล่าจึงมีอำนาจตั้งด่านแต่ในเขตกรุงเทพฯ สำหรับตรวจตราคนเข้าออกพระนครเท่านั้น
ด้วยบทบาทหน้าที่ของเจ้ากรมอาสาหกเหล่าซึ่งเป็นหลักสำคัญในการสงครามจนมีการเปรียบเปรยว่าเป็น "มือ" ของแผ่นดิน ดังที่ปรากฏสำนวนในสมัยโบราณว่า “เจ้าแผ่นดินเปนใจเมือง อรรคมหาเสนาบดีทั้ง ๒ เปนตาเมือง จตุสดมภ์ ๔ เปนตัวเมืองเปนตีนเมือง เดโชสีหราชเป็นมือเมือง”
นอกจากราชการสงครามแล้ว กรมอาสาหกเหล่าจะมีหน้าที่เวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกนอกพระราชวังเท่านั้น คือทำหน้าที่จุกช่องล้อมวงรายทางเพื่อถวายอารักขาโดยไม่ต้องแห่ตามเสด็จในกระบวน นอกจากว่าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จกระบวนเรือจึงต้องมีแม่ทัพในกรมลงเรือกลองนำเสด็จ ๑ หรือ ๒ ลำ หรือเวลาเสด็จพยุหยาตราทางบกจึงเกณฑ์ทหารอาสาเข้ากระบวนแห่เหมือนอย่างออกราชการสงคราม
นอกจากนี้ก็มีหน้าที่ที่ไม่ใช่งานประจำ เช่น เวลาผลัดแผ่นดินจะใช้ทหารอาสาในกรมเป็นกองจับไพร่มาสักเลกในแผ่นดินใหม่
แต่ถ้าเป็นยุคที่บ้านเมืองสงบสุขไม่มีสงคราม กรมอาสาหกเหล่าก็แทบไม่มีหน้าที่อะไรให้ทำเลย ตัวเจ้ากรมปลัดกรมอาสาหกเหล่าก็มักไม่ได้เป็นผู้ที่มีความดีความชอบในการสงคราม เป็นแต่ตั้งไว้ให้เต็มตำแหน่งเท่านั้น ผลประโยชน์จากตำแหน่งก็ไม่คุ้มค่าสู้เป็นขุนนางพลเรือนไม่ได้ ทำให้ไม่ค่อยมีคนอยากเป็นขุนนางฝ่ายทหาร ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายไว้ว่า
“ครั้นเมื่อตกมาถึงเวลาที่ไม่มีการทัพศึก เจ้ากรมปลัดกรมอาษาเหล่านี้ไม่เปนคนที่มีความชอบความดีในการศึกสงครามมาแต่ก่อน ซึ่งเปนเหตุจะให้มีแต้มคูดีขึ้น ก็เปนแต่ตั้งคงตำแหน่งไว้ ถ้ามีราชการทัพศึกเล็กน้อยก็ต้องเกณฑ์ไปเสมอเพียงขัดทัพ การที่ไปขัดทัพเปนที่เดือนร้อนของผู้ที่ต้องไปมากกว่าให้ไปรบตีเมืองใด เพราะถ้าไปเช่นนั้นจะได้ผลประโยชน์มีได้เชลยเปนต้น การที่ไปขัดทัพเปนไปเปล่ามาเปล่า ผลประโยชน์อันใดก็ไม่ได้ทวีขึ้น เปนแต่ต้องจากบ้านไปช้านาน ครั้นเมื่อกลับมาก็ไม่มีอันใดทำ เมื่อเห็นข้าราชการฝ่ายพลเรือนชั้นใหม่ที่อยู่กับบ้านสบายแลได้ผลประโยชน์มาก ก็ไม่มีผู้ใดจะสมัคเปนขุนนางฝ่ายทหาร ด้วยได้ผลประโยชน์ผิดกันหลายเท่าหลายส่วน จนชั้นเบี้ยหวัดต่อเบี้ยหวัดก็ไม่ใคร่เทียมหน้า เพราะฉนั้นขุนนางในกรมเหล่านี้จึงเปนแต่คนเดนเลือก จนภายหลังจะหาตัวผู้ใดเปนเดโชท้ายน้ำ ก็ไม่มีใครยอม”
ในสมัยธนบุรีจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นซึ่งมีสงครามบ่อยใหญ่ครั้ง พบว่าทั้งพระราชวงศ์ ข้าราชการจากส่วนกลางและหัวเมืองทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนหลายคนมีบทบาทในการรบบัญชาการศึกมาก ทำให้กรมอาสาหกเหล่าที่เป็นกำลังรบในสงครามโดยตรงไม่มีบทบาทโดดเด่นมาก แต่ก็ยังปรากฏชื่อของเจ้ากรมอาสาหกเหล่าเป็นแม่ทัพนายกองอยู่หลายครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการศึกโดยตรงก็ตาม
จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ และ ๕ ซึ่งว่างศึกสงครามลงไปมาก ก็ยังคงมีกรมอาสาหกเหล่าอยู่ แต่คงเป็นตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายว่าไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนัก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงทรงกล่าวไว้ว่า
"ในกรมอาษาทั้งแปดกรมนี้ยังเปนกรมขึ้นกรมพระกระลาโหมอยู่ห่าง ๆ เมื่อมีราชการอันใดในกรมพระกระลาโหมที่เปนการจรแลการแห้ง ๆ ก็มักจะขอขุนนางในกรมเหล่านี้ไปใช้อยู่บ้าง แต่ต้องนับว่าเป็นกรมร้างแลซุดโทรมสิ้นทั้งแปดกรม"
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts//1592694034127394/
ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะมีหลักฐานจำนวนมากบ่งชี้ว่าไทยมีระบบทหารประจำการตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยาแล้ว โดยพลเมืองที่สมัครใจเข้ารับราชการเป็นทหารประจำการก็จะถูกเรียกว่า “พลอาสา” หรือ “ทหารอาสา” ซึ่งเป็นกองกำลังที่ได้รับการฝึกการรบการต่อสู้มาโดยตรง
โดยเฉพาะในการปกครองส่วนราชธานีที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน กรมทหารประจำการในส่วนราชธานีอาจจะแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ
๑. กรมทหารรักษาพระองค์ สังกัดอยู่ในฝ่ายทหารแต่ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหม ขึ้นตรงกับพระเจ้าแผ่นดินเพียงพระองค์เดียว ประกอบด้วย กรมพระตำรวจหลวง กรมสนมทหาร กรมรักษาพระองค์ กรมพลพัน กรมทหารใน กรมทนายเลือก กรมเรือคู่ชัก (รายละเอียดอ่านได้จาก https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1591676747562456)
๒. กรมทหารสำหรับราชการสามัญ ได้แก่ กรมอาสาหกเหล่า กรมพระคชบาล (กรมช้าง) กรมพระอัศวราช (กรมม้า) กรมช่างทหาร
๓. กรมทหารอาสาต่างประเทศ ได้แก่ กรมอาสามอญ กรมอาสาจาม กรมอาสาญี่ปุ่น กรมเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง กรมฝรั่งแม่นปืน ซึ่งสังกัดอยู่ฝ่ายทหารแต่ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมเช่นเดียวกันทหารรักษาพระองค์ แต่ส่วนใหญ่ผูกพันกับเบี้ยหวัดพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินมากกว่า เว้นแต่กรมอาสามอญซึ่งอาจจะไม่ได้แตกต่างจากทหารไทยมากนัก
นอกจากนี้ว่าก็มีการนำทหารอาสาต่างประเทศมาเป็นทหารรักษาพระองค์อยู่หลายครั้ง อย่างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ทรงมีกองทหารม้ารักษาพระองค์ต่างประเทศหลายเชื้อชาติ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1534846776578787
สำหรับกรมทหารสำหรับราชการสามัญซึ่งไพร่พลเป็นคนไทยเป็นหลัก ก็มีการแบ่งอีกว่าอยู่ในสังกัดฝ่ายทหารหรือพลเรือน โดยกรมอาสาหกเหล่าและกรมช่างฝีมือแขนงต่างๆ อยู่ในสังกัดทหาร ส่วนกรมพระคชบาลและกรมพระอัศวราชอยู่ในสังกัดพลเรือน สันนิษฐานว่าเป็นการถ่วงดุลไม่ให้ฝ่ายทหารมีอำนาจมากเกินไป แต่ในยามศึกสงครามก็ต่างทำหน้าที่เป็นทหารไม่แบ่งแยก
ซึ่งในบทความนี้จะขอกล่าวถึง “กรมอาสาหกเหล่า” ซึ่งเป็นกองทหารประจำการ หรือ "ทหารอาชีพ" ที่เป็นกำลังหลักในราชการสงครามครับ
“กรมอาสาหกเหล่า” เป็นกรมทหารจำนวน ๖ กรมที่สังกัดฝ่ายทหารและอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมที่เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร เป็นกองทหารประจำการที่มีหน้าที่รักษาพระนครกับพระราชอาณาเขต และเป็นกองทัพที่จะออกไปทำสงครามปราบปราบข้าศึกศัตรูในทุกทิศ
ด้วยชื่ออาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ากรมนี้เป็นทหารอาสาต่างประเทศ แต่ความเป็นจริงทั้งข้าราชการและไพร่พลในกรมเป็นคนไทยเป็นหลัก โดยทหารประจำการในกรมอาสาหกเหล่าก็คือ “พลอาสา” หรือ “ทหารอาสา” ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง ซึ่งในแต่ละกรมก็จะมีตำแหน่งข้าราชการชั้นผู้น้อยเป็น "ขุนอาสา" และ "หมื่นอาสา"
จากวรรณกรรมของไทยหลายเรื่องได้สะท้อนให้เห็นว่ากรมอาสาหกเหล่าเป็นกำลังรบแนวหน้าทำหน้าที่บุกทลวงฟัน ดังที่ปรากฏในบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ว่า
"อันโยธาอาสาหกเหล่า..........ทั้งเกณฑ์หัดจัดเข้าเป็นกองขัน
สามารถอาจออกทะลวงฟัน.....รายกันตั้งกองริมกำแพง"
อาจเป็นด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการเรียกทหารอาสาหกเหล่าในอีกชื่อหนึ่งว่า “ทหารหน้า” ซึ่งหมายถึงทหารที่แห่นำกระบวนเสด็จอยู่ข้างหน้า หรือกรมทหารนอกจากกรมทหารรักษาพระองค์ที่มีหน้าที่ต้องไปทำราชการก่อน
โครงสร้างของกรมอาสาหกเหล่าแบ่งเป็น ๖ กรมย่อย ประกอบด้วย กรมอาสาซ้ายขวา กรมเขนทองซ้ายขวา กรมทวนทองซ้ายขวา มีสายบังคับบัญชาดังที่ปรากฏในพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองที่ตราในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) แห่งกรุงศรีอยุทธยาต่อไปนี้ (บรรดาศักดิ์ไม่ได้ตายตัว)
๏ จางวางกรมอาสาหกเหล่า คือ พระยารามจัตุรงค์ ศักดินา ๑๐,๐๐๐ ไร่เทียบเท่าสมุหพระกลาโหม เป็นผู้ควบคุมกรมอาสาหกเหล่าทั้งซ้ายและขวา เช่นเดียวกับกรมระดับสูงที่มีกำลังพลมากและมีกรมย่อยหลายกรมจึงต้องมีตำแหน่ง “จางวาง” เป็นผู้ควบคุม อย่างกรมคชบาลและกรมพระตำรวจ
๏ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าซ้ายขวา (ภายหลังเรียกรวมกันว่ากรมอาสาใหญ่) ศักดินาคนละ ๑๐,๐๐๐ ไร่ มีฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่ชั้นที่ ๑ ได้แก่
- ออกพญาศรีราชเดโชไชยอะไภรีพิรียปรากรมภาหุ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าขวา ตราหนุมานแผลงฤทธิ์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า พระยาศรีราชเดโช พระยาสีหราชเดโช หรือพระยาเดโช (สมัยรัชกาลที่ ๔ แปลงทินนามเป็น ‘ฤทธิไกรเกรียงหาญพลการภักดี’ แต่สมัยนั้นก็ยังพบว่ามีผู้เป็นพระยาสีหราชเดโชไชยอยู่อีกคน)
- ออกพญาศรีราชเดชไชยท้ายน้ำอะไภยรีพิรียปรากรมภาหุ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าซ้าย ตราองคตถือพระขรรค์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า พระยาท้ายน้ำ (สมัยรัชกาลที่ ๔ แปลงทินนามเป็น ‘สีหราชฤทธิไกรท้ายน้ำ’)
๏ กรมอาสาซ้ายขวา (ภายหลังเปลี่ยนมาเรียกว่า กรมอาสารอง) เจ้ากรมมีศักดินาคนละ ๕,๐๐๐ ไร่ มีฐานะเป็นแม่ทัพชั้นที่ ๒
-พระพิไชยสงคราม เจ้ากรมอาสาซ้าย ตราพาลีถือพระชรรค์
-พระรามกำแหง เจ้ากรมอาสาขวา ตราองคตถือธง
๏ กรมเขนทองซ้ายขวา เจ้ากรมมีศักดินาคนละ ๕,๐๐๐ ไร่ มีฐานะเป็นแม่ทัพชั้นที่ ๒
-พระพิไชยรณฤทธิ เจ้ากรมเขนทองขวา ตราองคตนั่งแท่น (สมัยรัชกาลที่ ๔ แปลงทินนามเป็น ‘พิไชยชาญฤทธิ์’)
-พระวิชิตณรงค์ เจ้ากรมเขนทองซ้าย ตราหนุมานถือกิ่งไม้
๏ กรมทวนทองซ้ายขวา เจ้ากรมมีศักดินาคนละ ๑,๖๐๐ ไร่ เทียบเท่านายพล
- พระอนุรักษ์โยธา เจ้ากรมทวนทองซ้าย
- พระมหาสงคราม เจ้ากรมทวนทองขวา
รายละเอียดความแตกต่างของแต่ละกรมไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน แต่พบว่ามีการฝึกฝนอาวุธแตกต่างกันไปตามชื่อกรม โดย
- กรมเขนทอง ใช้อาวุธประเภทดาบคู่กับเขน (โล่กลม) และมีการใช้ปืนด้วย เพราะมีการแบ่งตำแหน่งข้าราชการในกรมเป็นตำแหน่ง "เขน" และ "ปืน"
- กรมทวนทอง ใช้ทวน
นอกจากนี้ก็มีอาวุธประเภทอื่นที่กรมอาสาหกเหล่าใช้ ปรากฏในริ้วระบวนแห่เสด็จเลียบพระนครทางบกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยรัชกาล ๕ ว่า ทหารกรมอาสาหกเหล่าไปตั้งกระโจมหอกจุกช่องรายทาง อาสาใหญ่ถือดาบเชลย อาสารองถือตรี กรมเขนทองถือเขนแบกดาบ กรมทวนทองถือทวน
เจ้ากรมอาสาหกเหล่าทั้งเดโชท้ายน้ำต่างมีข้าราชการและไพร่ในสังกัดของตนเองจนมีฐานะเป็นกรม เรียกว่า “อาสาเดโช” และ “อาสาท้ายน้ำ”
ในสมัยรัตนโกสินทร์จึงพบว่าเรียกรวมกันว่า “กรมอาสาใหญ่” และถูกนำไปเรียกรวมกับกรมอาสาอีก ๖ กรมเดิมว่าเป็น “กรมอาสาแปดเหล่า” (แต่ส่วนมากแล้วพบว่านิยมเรียกว่า อาสาหกเหล่า ตามเดิม)
ผู้เป็นที่เดโชท้ายน้ำสามารถใช้ตราประจำตำแหน่งคือ "ตราหนุมานแผลงฤทธิ์" และ "ตราองคตถือพระขรรค์" แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่ง “ขุนพล” หรือแม่ทัพประจำหัวเมืองเอกโทตรีจัตวาได้ โดยแยกว่าหัวเมืองนั้นเป็นเลกขึ้นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา เดโชดูแลฝ่ายขวา ท้ายน้ำดูแลฝ่ายซ้าย
นอกจากนี้ยังมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่ง “นายด่าน” ประจำหัวเมืองตามซ้ายขวาได้เช่นกัน เพราะว่าเป็นกรมอาสาเป็นทหารที่ต้องยกทัพไปปราบปราบข้าศึก การตั้งด่านจึงเป็นการเตรียมรับมือสถานการณ์ล่วงหน้า ซึ่งหากมีข่าวศึกก็จะได้รายงานมาถึงตัวแม่ทัพโดยตรง จะได้เตรียมการจัดกองทัพออกไปได้โดยเร็ว
แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้ยกเลิกธรรมเนียมให้เจ้ากรมต่างๆ มีอำนาจแต่งตั้งกรมการหัวเมือง กรมอาสาหกเหล่าจึงมีอำนาจตั้งด่านแต่ในเขตกรุงเทพฯ สำหรับตรวจตราคนเข้าออกพระนครเท่านั้น
ด้วยบทบาทหน้าที่ของเจ้ากรมอาสาหกเหล่าซึ่งเป็นหลักสำคัญในการสงครามจนมีการเปรียบเปรยว่าเป็น "มือ" ของแผ่นดิน ดังที่ปรากฏสำนวนในสมัยโบราณว่า “เจ้าแผ่นดินเปนใจเมือง อรรคมหาเสนาบดีทั้ง ๒ เปนตาเมือง จตุสดมภ์ ๔ เปนตัวเมืองเปนตีนเมือง เดโชสีหราชเป็นมือเมือง”
นอกจากราชการสงครามแล้ว กรมอาสาหกเหล่าจะมีหน้าที่เวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกนอกพระราชวังเท่านั้น คือทำหน้าที่จุกช่องล้อมวงรายทางเพื่อถวายอารักขาโดยไม่ต้องแห่ตามเสด็จในกระบวน นอกจากว่าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จกระบวนเรือจึงต้องมีแม่ทัพในกรมลงเรือกลองนำเสด็จ ๑ หรือ ๒ ลำ หรือเวลาเสด็จพยุหยาตราทางบกจึงเกณฑ์ทหารอาสาเข้ากระบวนแห่เหมือนอย่างออกราชการสงคราม
นอกจากนี้ก็มีหน้าที่ที่ไม่ใช่งานประจำ เช่น เวลาผลัดแผ่นดินจะใช้ทหารอาสาในกรมเป็นกองจับไพร่มาสักเลกในแผ่นดินใหม่
แต่ถ้าเป็นยุคที่บ้านเมืองสงบสุขไม่มีสงคราม กรมอาสาหกเหล่าก็แทบไม่มีหน้าที่อะไรให้ทำเลย ตัวเจ้ากรมปลัดกรมอาสาหกเหล่าก็มักไม่ได้เป็นผู้ที่มีความดีความชอบในการสงคราม เป็นแต่ตั้งไว้ให้เต็มตำแหน่งเท่านั้น ผลประโยชน์จากตำแหน่งก็ไม่คุ้มค่าสู้เป็นขุนนางพลเรือนไม่ได้ ทำให้ไม่ค่อยมีคนอยากเป็นขุนนางฝ่ายทหาร ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายไว้ว่า
“ครั้นเมื่อตกมาถึงเวลาที่ไม่มีการทัพศึก เจ้ากรมปลัดกรมอาษาเหล่านี้ไม่เปนคนที่มีความชอบความดีในการศึกสงครามมาแต่ก่อน ซึ่งเปนเหตุจะให้มีแต้มคูดีขึ้น ก็เปนแต่ตั้งคงตำแหน่งไว้ ถ้ามีราชการทัพศึกเล็กน้อยก็ต้องเกณฑ์ไปเสมอเพียงขัดทัพ การที่ไปขัดทัพเปนที่เดือนร้อนของผู้ที่ต้องไปมากกว่าให้ไปรบตีเมืองใด เพราะถ้าไปเช่นนั้นจะได้ผลประโยชน์มีได้เชลยเปนต้น การที่ไปขัดทัพเปนไปเปล่ามาเปล่า ผลประโยชน์อันใดก็ไม่ได้ทวีขึ้น เปนแต่ต้องจากบ้านไปช้านาน ครั้นเมื่อกลับมาก็ไม่มีอันใดทำ เมื่อเห็นข้าราชการฝ่ายพลเรือนชั้นใหม่ที่อยู่กับบ้านสบายแลได้ผลประโยชน์มาก ก็ไม่มีผู้ใดจะสมัคเปนขุนนางฝ่ายทหาร ด้วยได้ผลประโยชน์ผิดกันหลายเท่าหลายส่วน จนชั้นเบี้ยหวัดต่อเบี้ยหวัดก็ไม่ใคร่เทียมหน้า เพราะฉนั้นขุนนางในกรมเหล่านี้จึงเปนแต่คนเดนเลือก จนภายหลังจะหาตัวผู้ใดเปนเดโชท้ายน้ำ ก็ไม่มีใครยอม”
ในสมัยธนบุรีจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นซึ่งมีสงครามบ่อยใหญ่ครั้ง พบว่าทั้งพระราชวงศ์ ข้าราชการจากส่วนกลางและหัวเมืองทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนหลายคนมีบทบาทในการรบบัญชาการศึกมาก ทำให้กรมอาสาหกเหล่าที่เป็นกำลังรบในสงครามโดยตรงไม่มีบทบาทโดดเด่นมาก แต่ก็ยังปรากฏชื่อของเจ้ากรมอาสาหกเหล่าเป็นแม่ทัพนายกองอยู่หลายครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการศึกโดยตรงก็ตาม
จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ และ ๕ ซึ่งว่างศึกสงครามลงไปมาก ก็ยังคงมีกรมอาสาหกเหล่าอยู่ แต่คงเป็นตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายว่าไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนัก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงทรงกล่าวไว้ว่า
"ในกรมอาษาทั้งแปดกรมนี้ยังเปนกรมขึ้นกรมพระกระลาโหมอยู่ห่าง ๆ เมื่อมีราชการอันใดในกรมพระกระลาโหมที่เปนการจรแลการแห้ง ๆ ก็มักจะขอขุนนางในกรมเหล่านี้ไปใช้อยู่บ้าง แต่ต้องนับว่าเป็นกรมร้างแลซุดโทรมสิ้นทั้งแปดกรม"
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts//1592694034127394/
แสดงความคิดเห็น
ในสมัยอยุธยา ถ้ามีการฝึกทหารอาชีพ จะเป็นยังไงครับ