อ่านเเล้วเข้าใจเลยว่าทําไมโค้ชเชยังไม่พร้อมสละสัญชาติเกาหลี ถือสัญชาติเดิมต่อดีกว่าค่ะ
“ไม่ว่าผมก็เป็นคนเกาหลีหรือคนไทย ผมรักเมืองไทยเหมือนเดิม” เปิดหมดใจ “โค้ชเช” กับเส้นทางที่เลือก ถึงกรณี “สละสัญชาติเกาหลี” และเรื่องราวทุกแง่มุมของชีวิตที่ไม่ได้แค่เรื่องกีฬา ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปี ในการทำหน้าที่เฮดโค้ชเทควันโดทีมชาติไทย ที่พลิกประวัติศาสตร์ จากต้องหนีอันดับร่วง จนทะยานสู่อันดับโลก!
สัญชาติไทย VS สัญชาติเกาหลี?
หากจะพูดถึงชาวต่างชาติที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในแวดวงกีฬา หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ “ชเว ยอง ซอก หรือ โค้ชเช” หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย ชาวเกาหลีใต้ ที่เป็นผู้เข้ามาพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของกีฬาเทควันโดในไทย จนทำให้อันดับโลกของนักกีฬาชนิดนี้ ก้าวจากอันดับรั้งท้าย มาอยู่ใน Top 10 ของโลก อย่างในปัจจุบัน ล่าสุด ในมหกรรมกีฬานานาชาติที่สำคัญที่สุดในทวีปเอเชีย หรือเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ที่ผ่านมา ทีมเทควันโดไทยก็ไม่ทำให้แฟนกีฬาผิดหวัง ด้วยคว้าเหรียญทองติดมือกลับมาด้วย จาก ''น้องเทนนิส - พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ” มือ 1 ของโลกรุ่น 49 กก.หญิงและภายหลังจากที่เธอเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้แล้วนั้น น้องเทนนิสได้ถอดเหรียญทองที่คล้องอยู่ เพื่อให้ โค้ชเช ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเธอคล้องกับคอให้อีกครั้ง และไม่เพียงแค่นั้น ยังปรากฏภาพที่ทั้งคู่ วิ่งถือธงชาติไทยด้วยความดีใจด้วยกันไปรอบๆ สนาม สร้างความประทับใจและเรียกรอยยิ้มจากผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก
“ก็รู้สึกดีใจครับ ได้ 1 เหรียญทอง 1 เหรียญทองแดงจากประเภทต่อสู้ ก่อนที่จะไปแข่ง ทางสมาคมและสตาฟโค้ชเราก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่ายังไงก็เหรียญทอง หลังจากเอเชี่ยนเกมส์แล้ว เดือนหน้าก็มียูธโอลิมปิกของเยาวชนที่อาร์เจนตินา ผมต้องพาไป แล้วก็ของประชาชน เราเรียกว่ากรังด์ปรีซ์ ก็เตรียมโอลิมปิก ก็ต้องเก็บคะแนน สิ่งที่สำคัญที่สุดของโอลิมปิกไม่เหมือนเอเชี่ยนเกมส์ โอลิมปิกต้องได้โควตาก่อน แต่ว่าตอนนี้ก็มี 8 รุ่น ผู้ชาย 4 ผู้หญิง 4 หนึ่งชาติก็ส่งได้ 4 รุ่น น้องเทนนิสก็เป็นมือวางอันดับ 1 อยู่ ก็น่าจะไปได้ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนอื่นก็ต้องเก็บคะแนนเพื่อให้อยู่ใน 5 อันดับ ตอนนี้ก็ตั้งเป้าเหรียญทองโอลิมปิกไว้อย่างน้อย 1 เหรียญทองก็ดีแล้วครับ(หัวเราะ) ได้เหรียญอื่นก็ดีครับ โอลิมปิกเป็นแข่งใหญ่ที่สุด เป็นเป้าหมายของทุกชาติ ที่ผ่านมาเทควันโดเราก็ได้เหรียญทองมาทุกการแข่งขัน แต่ยังไม่ได้เหรียญทองโอลิมปิกเลย”
แน่นอนว่า เมื่อมีชื่อของโค้ชเชปรากฏขึ้นบนหน้าสื่อทีไร คำถามที่ตามมาคือประเด็นเรื่องของ “สัญชาติ” เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมามากมาย ว่าเขาตัดสินใจสละสัญชาติบ้านเกิดเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากทางเกาหลีเองก็ไม่อนุญาตให้ถือสองสัญชาติ แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ต้องไปฟังคำตอบจากปากเจ้าตัวชัดๆ กัน ...
“ตอนนี้ผมเหมือนเป็นข้าราชการของเกาหลีครับ เป็นคนเกาหลีที่มาทำงานที่นี่ ทางนั้นก็ชื่นชมความสำเร็จที่ทำที่นี่ เขาก็ซัปพอร์ตเรื่องค่าเรียนลูกชายผม ค่าเช่าอะไรต่างๆ เป็นสวัสดิการครอบครัว เขาจะซัปพอร์ตถึงอายุ 60 ปี ซึ่งตอนนี้ผมอายุ 45 แล้ว เหลืออีก 15 ปี แต่ว่าถ้าผมเปลี่ยนสัญชาติเป็นสัญชาติไทย ผมต้องยกเลิกกับทางเกาหลี ถ้ายกเลิกก็จบ ไม่ได้รับการซัปพอร์ต ผมก็อยู่ที่ไทยประมาณ 16-17 ปีแล้ว ครอบครัวอยู่ที่นี่ ลูกชายก็กำลังเรียนที่สาธิตฯ เกษตรอยู่ ทุกวันนี้ผมได้โควตาเป็นโค้ชต่างชาติ ได้เงินเดือน 150,000 บาท จาก กกท. แต่ถ้าผมเป็นคนไทยแล้ว เขาจะให้เงินเดือนลิมิต 50,000 บาท ผมพูดตรงๆ ทุกวันนี้ผมทำงานหนัก เพราะต้องดูแลครอบครัว นายกสมาคมเทควันโดไทย คุณพิมล ศรีวิกรม์ ก็เข้าใจเรื่องนี้ เพราะเงินก็สำคัญมาก(นิ่งคิด) ก็ทำใจลำบาก การให้สัญชาติไทยก็พิเศษจริงๆ ผมขอบคุณมากครับ แต่ว่าตอนนี้ผมก็ตัดสินใจยาก ผมอยากเป็นคนไทยเพราะว่าผมต้องเตรียมอนาคต ที่ไทยกฎหมายก็ทำอะไรลำบาก เพราะว่าผมก็เป็นคนต่างชาติ ผมทำได้แค่เป็นโค้ชทีมชาติอย่างเดียว ถ้าเมื่อไหร่ผมไม่ได้เป็นโค้ชทีมชาติ ผมก็ต้องคิดว่าทำอะไร ผมก็อยากได้สัญชาติไทย ถ้าผมเป็นคนไทยแล้ว ผมช่วยได้หลายส่วน ไม่ใช่แค่เทควันโดอย่างเดียว”
สรุปแล้วก็คือ ปัจจุบัน โค้ชเช ยังไม่สละสัญชาติเกาหลีตามที่เป็นข่าวออกไป ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างยังตัดสินใจ เนื่องจากยังมีความกังวลหลายประการ
“ถ้าถามว่าในอนาคตจะย้ายกลับบ้านเกิดหรือไม่ ก็ยังไม่คิดเท่าไหร่ครับ แต่ตอนนี้อยากทำเป้าหมายตัวเองคือเหรียญทองโอลิมปิก ตอนนี้น้องเทนนิสก็มือวางอันดับ 1 แต่ว่าตอนนี้หลายคนก็เป็นคลื่นลูกใหม่มาเรื่อยๆ เราก็เป็นแชมป์อยู่ต้องป้องกัน ผมไม่ได้คิดอะไร ก็ขอกำลังใจให้ผมและทีมเทควันโด ตอนนี้เทควันโดเรามีโอกาสเหรียญทองโอลิมปิก ผมไม่ได้คิดอย่างอื่นอะไรมาก ถ้าได้เหรียญทองโอลิมปิกปุ๊บ ผมก็พอใจมากกกว่าเดิม แล้วเรื่องอื่นๆ ก็น่าจะชัดเจนกว่าเดิม หลายคนก็ยังมีคำถามเรื่องสัญชาติไทย ไม่ว่าผมก็เป็นคนเกาหลีหรือคนไทย ผมก็จะทำหน้าที่เหมือนเดิม ผมรักเมืองไทยเหมือนเดิม(ยิ้ม)”
ดุขนาดไหน ถามใจโค้ชดู
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การที่วงการเทควันโดบ้านเราพัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับโค้ชเช ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองชิ้นสำคัญ ที่คอยขับเคลื่อนให้นักกีฬาทุกคนมีศักยภาพทัดเทียมนานาชาติได้อย่างในปัจจุบัน
“ส่วนใหญ่ตอนซ้อมผมต้องดุจริงๆ เพราะว่าเป็นกีฬาต่อสู้ มีโอกาสบาดเจ็บ ทุกครั้งต้องมีคู่ต่อสู้ ยังไงก็ต้องใจสู้ ตอนซ้อมผมก็ต้องดุเพื่อให้ตั้งใจ จริงจัง แต่เวลาปกติก็ไม่ค่อยดุเท่าไหร่ แต่ว่าทุกกีฬา ตอนซ้อมสำคัญที่สุด พร้อมแข่งขันจริงๆ ถ้าซ้อมไม่หนัก ไปแข่งจริงๆ ก็ลำบาก ตอนนี้เบาลงจริงๆ แต่ว่าช่วงแรกผมก็เคยคิดว่าผมดุแค่ไหน ยอมรับว่าดุจริงๆ อย่างน้อยซ้อม 2-3 ชั่วโมง ทำอะไรก็ต้องได้รับอนุญาต ถ้าผมไม่อนุญาตก็กินน้ำไม่ได้ เข้าห้องน้ำไม่ได้ เพราะว่าบางคนซ้อมหนัก เขาก็อยากพักผ่อน ขอไปห้องน้ำ ผมก็ไม่ให้ไป อย่างเวลาวิ่ง ถ้าวิ่งเกิน 10 นาทีให้วิ่งใหม่ แล้วบางทีก็ซ้อมไม่ตั้งใจ ก็จะเกินเวลาไปถึง 4 - 5 ทุ่ม ต้องซ้อมให้เต็มที่ ช่วงแรกหลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมโค้ชดุ แต่หลังๆ เขาไปแข่งชนะมา พัฒนาดีขึ้น ฝีมือดีขึ้น เขาก็เข้าใจ ผมก็พูดตลอดว่าตอนซ้อมไม่ต้องเข้าใจ เมื่อไหร่ไปแข่งแล้วชนะมา ความสำเร็จมาถึงจะเข้าใจ ไม่เพียงแค่วินัยการฝึกซ้อมที่มีต่อนักกีฬาที่ต้องเข้มงวดเท่านั้น ผู้ทำหน้าที่ฝึกสอน ก็ต้องเข้มงวดต่อตัวเอง และพัฒนาหาความรู้อย่างไม่หยุดเช่นกัน หลักสำคัญในกีฬาเทควันโดของผม คงเป็นเรื่องกฎกติกา เพราะกติกาสากลจะมีการเปลี่ยนเรื่อยๆ เป็นเรื่องคะแนน เรื่องทำโทษ มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ผมพยายามหาความรู้ให้ชัดเจน ถ้าเปลี่ยนปุ๊บก็ต้องรู้ให้เร็ว ผมก็พยายามเรียนเรื่องจิตวิทยาด้วย ก็ต้องรีบเรียนมา เพราะเป็นคนสอน ต้องมีความคิด ไม่ใช่อยู่กับที่เรื่อยๆ ผมชอบเรื่องนี้ครับ แต่ถ้าโค้ชขี้เกียจ นักกีฬาจะรู้ช้า ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นโค้ชไปถึงเมื่อไหร่ ผมยังไม่มีลิมิตครับ แต่ผมก็อยากให้ลูกศิษย์ผมขึ้นมาเป็นหัวหน้าโค้ชด้วย ผมอยู่กับที่ ลูกศิษย์ก็ไม่มีโอกาสเป็นขึ้นมา แต่ว่าจริงๆ ตอนนี้ ผมโฟกัสในปี 2020 โอลิมปิกโตเกียวอย่างเดียว ก็จะทำเต็มที่เพื่อเหรียญทองโอลิมปิก”
เมื่อถามโค้ชเชว่า หนักใจไหม เมื่อต้องเจอคู่แข่งที่มาจากประเทศเกาหลีใต้ ที่เป็นเป็นประเทศบ้านเกิดของตนเอง อีกทั้งเป็นประเทศที่กีฬาเทควันโดก็ถือกำเนิดขึ้นมา โค้ชเชก็ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ไม่หนักใจเลย”
“ไม่หนักใจครับ(ยิ้ม) ผมเป็นคนเกาหลี กีฬาเทควันโดเป็นของเกาหลี นักกีฬาเกาหลีก็เก่ง แต่เราก็อยากได้ที่ 1 เราก็ต้องชนะนักกีฬาที่เก่ง ไม่ใช่แค่เกาหลีอย่างเดียว ก็มีหลายชาติ แต่อันนี้มันเป็นอาชีพครับ เป็นงาน ก็ต้องเป็นมืออาชีพ จริงๆ เมื่อไหร่ที่นักกีฬาไทยเราเจอเกาหลีใต้ นักกีฬากับผมก็ต้องเตรียมมากกว่าชาติอื่น เพราะว่าอยากชนะจริงๆ ผมรู้สึกว่ายังไม่ถึงเป้าหมายของตัวเอง ซึ่งก็คือเหรียญทองโอลิมปิก แต่ผมก็ไม่อยากกดดันกับนักกีฬา ถ้าเราตั้งใจซ้อม ทุ่มเท เราก็มีโอกาสจริงๆ แต่ว่าอีก 2 ปี เราต้องชัดเจน และต้องระวังเรื่องการบาดเจ็บด้วย ตอนนี้ระบบเราเรียกว่ามีประชาชน เยาวชน ยุวชน 3 ทีม เราก็ซ้อมด้วยกัน ก็ต้องมีตัวแทนขึ้นมา เป้าหมายคือการปั้นเด็กรุ่นใหม่และเหรียญทองโอลิมปิกครับ”
มีวันนี้เพราะเทควันโด
ไม่เพียงแค่ทีมเทควันโดไทยเท่านั้น ที่ก่อนจะประสบความสำเร็จต้องเคยผ่านช่วงเวลายากลำบาก ด้านผู้ฝึกสอนอย่างโค้ชเชเอง ก็ล้มลุกคลุกคลานไม่แพ้กัน เพราะเขามีชีวิตวัยเด็กที่ไม่ได้สุขสบายนัก จนกระทั่งชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อได้มารู้จักกับกีฬาเทควันโด โค้ชเชเล่าว่า ในสมัยเด็กๆ เขาเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน กระทั่งคุณพ่อล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง ต้องเข้า - ออกโรงพยาบาลอยู่หลายปี และใช้เงินไปกับการรักษาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตพ่อผู้เป็นที่รักไว้ได้ พ่อของเขาได้จากไปตอนที่เขามีอายุเพียง 7 ขวบ ทำให้แม่และพี่สาว ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว เมื่อเห็นว่าแม่ต้องทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ดังนั้น เขาก็เกิดความคิดที่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว จึงลองตามเพื่อนไปเรียนเทควันโด ในตอนแรกก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับที่บ้าน เพราะมั่นใจว่าคงไม่มีค่าเรียนให้แน่ๆ อีกทั้งแม่ก็กลัวลูกชายตัวน้อยจะเจ็บตัว จึงอยากให้เรียนหนังสือมากกว่า แต่อาจารย์ผู้สอนเทควันโดกลับให้โอกาส ด้วยการเรียนฟรีใน 3 เดือนแรก
5 ที่สุดของโค้ชเช ในวันเตรียมสละสัญชาติ?
“ไม่ว่าผมก็เป็นคนเกาหลีหรือคนไทย ผมรักเมืองไทยเหมือนเดิม” เปิดหมดใจ “โค้ชเช” กับเส้นทางที่เลือก ถึงกรณี “สละสัญชาติเกาหลี” และเรื่องราวทุกแง่มุมของชีวิตที่ไม่ได้แค่เรื่องกีฬา ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปี ในการทำหน้าที่เฮดโค้ชเทควันโดทีมชาติไทย ที่พลิกประวัติศาสตร์ จากต้องหนีอันดับร่วง จนทะยานสู่อันดับโลก!
สัญชาติไทย VS สัญชาติเกาหลี?
หากจะพูดถึงชาวต่างชาติที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในแวดวงกีฬา หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ “ชเว ยอง ซอก หรือ โค้ชเช” หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย ชาวเกาหลีใต้ ที่เป็นผู้เข้ามาพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของกีฬาเทควันโดในไทย จนทำให้อันดับโลกของนักกีฬาชนิดนี้ ก้าวจากอันดับรั้งท้าย มาอยู่ใน Top 10 ของโลก อย่างในปัจจุบัน ล่าสุด ในมหกรรมกีฬานานาชาติที่สำคัญที่สุดในทวีปเอเชีย หรือเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ที่ผ่านมา ทีมเทควันโดไทยก็ไม่ทำให้แฟนกีฬาผิดหวัง ด้วยคว้าเหรียญทองติดมือกลับมาด้วย จาก ''น้องเทนนิส - พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ” มือ 1 ของโลกรุ่น 49 กก.หญิงและภายหลังจากที่เธอเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้แล้วนั้น น้องเทนนิสได้ถอดเหรียญทองที่คล้องอยู่ เพื่อให้ โค้ชเช ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเธอคล้องกับคอให้อีกครั้ง และไม่เพียงแค่นั้น ยังปรากฏภาพที่ทั้งคู่ วิ่งถือธงชาติไทยด้วยความดีใจด้วยกันไปรอบๆ สนาม สร้างความประทับใจและเรียกรอยยิ้มจากผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก
“ก็รู้สึกดีใจครับ ได้ 1 เหรียญทอง 1 เหรียญทองแดงจากประเภทต่อสู้ ก่อนที่จะไปแข่ง ทางสมาคมและสตาฟโค้ชเราก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่ายังไงก็เหรียญทอง หลังจากเอเชี่ยนเกมส์แล้ว เดือนหน้าก็มียูธโอลิมปิกของเยาวชนที่อาร์เจนตินา ผมต้องพาไป แล้วก็ของประชาชน เราเรียกว่ากรังด์ปรีซ์ ก็เตรียมโอลิมปิก ก็ต้องเก็บคะแนน สิ่งที่สำคัญที่สุดของโอลิมปิกไม่เหมือนเอเชี่ยนเกมส์ โอลิมปิกต้องได้โควตาก่อน แต่ว่าตอนนี้ก็มี 8 รุ่น ผู้ชาย 4 ผู้หญิง 4 หนึ่งชาติก็ส่งได้ 4 รุ่น น้องเทนนิสก็เป็นมือวางอันดับ 1 อยู่ ก็น่าจะไปได้ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนอื่นก็ต้องเก็บคะแนนเพื่อให้อยู่ใน 5 อันดับ ตอนนี้ก็ตั้งเป้าเหรียญทองโอลิมปิกไว้อย่างน้อย 1 เหรียญทองก็ดีแล้วครับ(หัวเราะ) ได้เหรียญอื่นก็ดีครับ โอลิมปิกเป็นแข่งใหญ่ที่สุด เป็นเป้าหมายของทุกชาติ ที่ผ่านมาเทควันโดเราก็ได้เหรียญทองมาทุกการแข่งขัน แต่ยังไม่ได้เหรียญทองโอลิมปิกเลย”
แน่นอนว่า เมื่อมีชื่อของโค้ชเชปรากฏขึ้นบนหน้าสื่อทีไร คำถามที่ตามมาคือประเด็นเรื่องของ “สัญชาติ” เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมามากมาย ว่าเขาตัดสินใจสละสัญชาติบ้านเกิดเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากทางเกาหลีเองก็ไม่อนุญาตให้ถือสองสัญชาติ แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ต้องไปฟังคำตอบจากปากเจ้าตัวชัดๆ กัน ...
“ตอนนี้ผมเหมือนเป็นข้าราชการของเกาหลีครับ เป็นคนเกาหลีที่มาทำงานที่นี่ ทางนั้นก็ชื่นชมความสำเร็จที่ทำที่นี่ เขาก็ซัปพอร์ตเรื่องค่าเรียนลูกชายผม ค่าเช่าอะไรต่างๆ เป็นสวัสดิการครอบครัว เขาจะซัปพอร์ตถึงอายุ 60 ปี ซึ่งตอนนี้ผมอายุ 45 แล้ว เหลืออีก 15 ปี แต่ว่าถ้าผมเปลี่ยนสัญชาติเป็นสัญชาติไทย ผมต้องยกเลิกกับทางเกาหลี ถ้ายกเลิกก็จบ ไม่ได้รับการซัปพอร์ต ผมก็อยู่ที่ไทยประมาณ 16-17 ปีแล้ว ครอบครัวอยู่ที่นี่ ลูกชายก็กำลังเรียนที่สาธิตฯ เกษตรอยู่ ทุกวันนี้ผมได้โควตาเป็นโค้ชต่างชาติ ได้เงินเดือน 150,000 บาท จาก กกท. แต่ถ้าผมเป็นคนไทยแล้ว เขาจะให้เงินเดือนลิมิต 50,000 บาท ผมพูดตรงๆ ทุกวันนี้ผมทำงานหนัก เพราะต้องดูแลครอบครัว นายกสมาคมเทควันโดไทย คุณพิมล ศรีวิกรม์ ก็เข้าใจเรื่องนี้ เพราะเงินก็สำคัญมาก(นิ่งคิด) ก็ทำใจลำบาก การให้สัญชาติไทยก็พิเศษจริงๆ ผมขอบคุณมากครับ แต่ว่าตอนนี้ผมก็ตัดสินใจยาก ผมอยากเป็นคนไทยเพราะว่าผมต้องเตรียมอนาคต ที่ไทยกฎหมายก็ทำอะไรลำบาก เพราะว่าผมก็เป็นคนต่างชาติ ผมทำได้แค่เป็นโค้ชทีมชาติอย่างเดียว ถ้าเมื่อไหร่ผมไม่ได้เป็นโค้ชทีมชาติ ผมก็ต้องคิดว่าทำอะไร ผมก็อยากได้สัญชาติไทย ถ้าผมเป็นคนไทยแล้ว ผมช่วยได้หลายส่วน ไม่ใช่แค่เทควันโดอย่างเดียว”
สรุปแล้วก็คือ ปัจจุบัน โค้ชเช ยังไม่สละสัญชาติเกาหลีตามที่เป็นข่าวออกไป ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างยังตัดสินใจ เนื่องจากยังมีความกังวลหลายประการ
“ถ้าถามว่าในอนาคตจะย้ายกลับบ้านเกิดหรือไม่ ก็ยังไม่คิดเท่าไหร่ครับ แต่ตอนนี้อยากทำเป้าหมายตัวเองคือเหรียญทองโอลิมปิก ตอนนี้น้องเทนนิสก็มือวางอันดับ 1 แต่ว่าตอนนี้หลายคนก็เป็นคลื่นลูกใหม่มาเรื่อยๆ เราก็เป็นแชมป์อยู่ต้องป้องกัน ผมไม่ได้คิดอะไร ก็ขอกำลังใจให้ผมและทีมเทควันโด ตอนนี้เทควันโดเรามีโอกาสเหรียญทองโอลิมปิก ผมไม่ได้คิดอย่างอื่นอะไรมาก ถ้าได้เหรียญทองโอลิมปิกปุ๊บ ผมก็พอใจมากกกว่าเดิม แล้วเรื่องอื่นๆ ก็น่าจะชัดเจนกว่าเดิม หลายคนก็ยังมีคำถามเรื่องสัญชาติไทย ไม่ว่าผมก็เป็นคนเกาหลีหรือคนไทย ผมก็จะทำหน้าที่เหมือนเดิม ผมรักเมืองไทยเหมือนเดิม(ยิ้ม)”
ดุขนาดไหน ถามใจโค้ชดู
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การที่วงการเทควันโดบ้านเราพัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับโค้ชเช ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองชิ้นสำคัญ ที่คอยขับเคลื่อนให้นักกีฬาทุกคนมีศักยภาพทัดเทียมนานาชาติได้อย่างในปัจจุบัน
“ส่วนใหญ่ตอนซ้อมผมต้องดุจริงๆ เพราะว่าเป็นกีฬาต่อสู้ มีโอกาสบาดเจ็บ ทุกครั้งต้องมีคู่ต่อสู้ ยังไงก็ต้องใจสู้ ตอนซ้อมผมก็ต้องดุเพื่อให้ตั้งใจ จริงจัง แต่เวลาปกติก็ไม่ค่อยดุเท่าไหร่ แต่ว่าทุกกีฬา ตอนซ้อมสำคัญที่สุด พร้อมแข่งขันจริงๆ ถ้าซ้อมไม่หนัก ไปแข่งจริงๆ ก็ลำบาก ตอนนี้เบาลงจริงๆ แต่ว่าช่วงแรกผมก็เคยคิดว่าผมดุแค่ไหน ยอมรับว่าดุจริงๆ อย่างน้อยซ้อม 2-3 ชั่วโมง ทำอะไรก็ต้องได้รับอนุญาต ถ้าผมไม่อนุญาตก็กินน้ำไม่ได้ เข้าห้องน้ำไม่ได้ เพราะว่าบางคนซ้อมหนัก เขาก็อยากพักผ่อน ขอไปห้องน้ำ ผมก็ไม่ให้ไป อย่างเวลาวิ่ง ถ้าวิ่งเกิน 10 นาทีให้วิ่งใหม่ แล้วบางทีก็ซ้อมไม่ตั้งใจ ก็จะเกินเวลาไปถึง 4 - 5 ทุ่ม ต้องซ้อมให้เต็มที่ ช่วงแรกหลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมโค้ชดุ แต่หลังๆ เขาไปแข่งชนะมา พัฒนาดีขึ้น ฝีมือดีขึ้น เขาก็เข้าใจ ผมก็พูดตลอดว่าตอนซ้อมไม่ต้องเข้าใจ เมื่อไหร่ไปแข่งแล้วชนะมา ความสำเร็จมาถึงจะเข้าใจ ไม่เพียงแค่วินัยการฝึกซ้อมที่มีต่อนักกีฬาที่ต้องเข้มงวดเท่านั้น ผู้ทำหน้าที่ฝึกสอน ก็ต้องเข้มงวดต่อตัวเอง และพัฒนาหาความรู้อย่างไม่หยุดเช่นกัน หลักสำคัญในกีฬาเทควันโดของผม คงเป็นเรื่องกฎกติกา เพราะกติกาสากลจะมีการเปลี่ยนเรื่อยๆ เป็นเรื่องคะแนน เรื่องทำโทษ มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ผมพยายามหาความรู้ให้ชัดเจน ถ้าเปลี่ยนปุ๊บก็ต้องรู้ให้เร็ว ผมก็พยายามเรียนเรื่องจิตวิทยาด้วย ก็ต้องรีบเรียนมา เพราะเป็นคนสอน ต้องมีความคิด ไม่ใช่อยู่กับที่เรื่อยๆ ผมชอบเรื่องนี้ครับ แต่ถ้าโค้ชขี้เกียจ นักกีฬาจะรู้ช้า ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นโค้ชไปถึงเมื่อไหร่ ผมยังไม่มีลิมิตครับ แต่ผมก็อยากให้ลูกศิษย์ผมขึ้นมาเป็นหัวหน้าโค้ชด้วย ผมอยู่กับที่ ลูกศิษย์ก็ไม่มีโอกาสเป็นขึ้นมา แต่ว่าจริงๆ ตอนนี้ ผมโฟกัสในปี 2020 โอลิมปิกโตเกียวอย่างเดียว ก็จะทำเต็มที่เพื่อเหรียญทองโอลิมปิก”
เมื่อถามโค้ชเชว่า หนักใจไหม เมื่อต้องเจอคู่แข่งที่มาจากประเทศเกาหลีใต้ ที่เป็นเป็นประเทศบ้านเกิดของตนเอง อีกทั้งเป็นประเทศที่กีฬาเทควันโดก็ถือกำเนิดขึ้นมา โค้ชเชก็ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ไม่หนักใจเลย”
“ไม่หนักใจครับ(ยิ้ม) ผมเป็นคนเกาหลี กีฬาเทควันโดเป็นของเกาหลี นักกีฬาเกาหลีก็เก่ง แต่เราก็อยากได้ที่ 1 เราก็ต้องชนะนักกีฬาที่เก่ง ไม่ใช่แค่เกาหลีอย่างเดียว ก็มีหลายชาติ แต่อันนี้มันเป็นอาชีพครับ เป็นงาน ก็ต้องเป็นมืออาชีพ จริงๆ เมื่อไหร่ที่นักกีฬาไทยเราเจอเกาหลีใต้ นักกีฬากับผมก็ต้องเตรียมมากกว่าชาติอื่น เพราะว่าอยากชนะจริงๆ ผมรู้สึกว่ายังไม่ถึงเป้าหมายของตัวเอง ซึ่งก็คือเหรียญทองโอลิมปิก แต่ผมก็ไม่อยากกดดันกับนักกีฬา ถ้าเราตั้งใจซ้อม ทุ่มเท เราก็มีโอกาสจริงๆ แต่ว่าอีก 2 ปี เราต้องชัดเจน และต้องระวังเรื่องการบาดเจ็บด้วย ตอนนี้ระบบเราเรียกว่ามีประชาชน เยาวชน ยุวชน 3 ทีม เราก็ซ้อมด้วยกัน ก็ต้องมีตัวแทนขึ้นมา เป้าหมายคือการปั้นเด็กรุ่นใหม่และเหรียญทองโอลิมปิกครับ”
มีวันนี้เพราะเทควันโด
ไม่เพียงแค่ทีมเทควันโดไทยเท่านั้น ที่ก่อนจะประสบความสำเร็จต้องเคยผ่านช่วงเวลายากลำบาก ด้านผู้ฝึกสอนอย่างโค้ชเชเอง ก็ล้มลุกคลุกคลานไม่แพ้กัน เพราะเขามีชีวิตวัยเด็กที่ไม่ได้สุขสบายนัก จนกระทั่งชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อได้มารู้จักกับกีฬาเทควันโด โค้ชเชเล่าว่า ในสมัยเด็กๆ เขาเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน กระทั่งคุณพ่อล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง ต้องเข้า - ออกโรงพยาบาลอยู่หลายปี และใช้เงินไปกับการรักษาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตพ่อผู้เป็นที่รักไว้ได้ พ่อของเขาได้จากไปตอนที่เขามีอายุเพียง 7 ขวบ ทำให้แม่และพี่สาว ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว เมื่อเห็นว่าแม่ต้องทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ดังนั้น เขาก็เกิดความคิดที่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว จึงลองตามเพื่อนไปเรียนเทควันโด ในตอนแรกก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับที่บ้าน เพราะมั่นใจว่าคงไม่มีค่าเรียนให้แน่ๆ อีกทั้งแม่ก็กลัวลูกชายตัวน้อยจะเจ็บตัว จึงอยากให้เรียนหนังสือมากกว่า แต่อาจารย์ผู้สอนเทควันโดกลับให้โอกาส ด้วยการเรียนฟรีใน 3 เดือนแรก