ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นแต่เครื่องเสียงรถยนต์ครับ คราวนี้มีโอกาสซื้อลำโพงคอมชุดแรกในชีวิตก็ว่าได้ ลำโพงคอมราคาเพียง 3 พันปลายๆ มันกลับทำให้ผมรู้สึกว้าวพอสมควรเมื่อเทียบกับเครื่องเสียงรถยนต์ที่ผมหมดไปเกือบแสน จึงอยากใช้พื้นที่กระทู้นี้ระบาย และแบ่งปันประสบการณ์ เผื่อมีท่านใดที่กำลังสนใจหรือหาข้อมูลอยู่ครับ ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนว่าผมเป็นคนชอบฟังเพลงธรรมดาๆ ไม่ได้มีความรู้ในเชิงลึก ส่วนทักษะในการฟังก็กลางๆเหมือนคนทั่วไป ถ้ามีอะไรผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ
อย่างที่ผมบอกว่าผมเคยเล่นเครื่องเสียงรถยนต์มาก่อน หลังจากที่ซื้อ Creative ตัวนี้มาใช้ ทดลองฟัง ทดลองวางในจุดต่างๆตามทฤษฎี ถาสงออกบ้าง หุบแคบลงบ้าง หันหน้าไปมา ก็พบว่าแค่ลำโพงราคาถูกก็ให้เสียงที่ดีได้ เทียบกับชุดเครื่องเสียงและลำโพงราคากลางๆในรถยนต์ได้ครับ สิ่งที่แตกต่างนั้นไม่ใช่ว่าลำโพงรถยนต์มันไม่ดี จริงๆแล้วถ้าเทียบคุณภาพเสียงตัวต่อตัวแล้วลำโพงรถยนต์เสียงดีกว่ามาก แต่ที่เครื่องเสียงรถยนต์เสียงดีได้ไม่เต็มที่นั้น เพราะปัญหาเรื่องของอะคุสติคห้องและการจัดวาง มีบุรุษท่านหนึ่งกล่าวว่า จะทำเครื่องเสียงให้เสียงดีนั้น มี 3 สิ่งที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือ
1)
อุปกรณ์ดี = 30% >> ตรงนี้ เครื่องเสียงรถยนต์ผมดีกว่า แพงกว่า ถือว่าชนะไปครับ
2)
อะคุสติคของห้องดี = 30% >> ห้องโดยสารรถมีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งขนาดที่เล็ก แคบ หน้าสั้น มีกระจกสะท้อนเสียง มีคอนโซลบัง มีอุปกรณ์ขวาง สะท้อนเสียงเยอะมาก และตำแหน่งการวางลำโพง ลำโพงเสียงกลางวางที่เท้า ลำโพงแหลมวางที่หูช้าง ห่างกันเป็นเมตร
3)
ปรับจูนดี = 40% >> เครื่องเสียงรถอาศัยนักจูนขั้นเซียน เพราะฟังก์ชั่นฟร้อนต์/DSP ยุ่บยั่บมาก และหลังติดตั้งมาเสียงบิดเบี้ยวมาก แต่ลำโพงคอมมีแค่ Bass/Trebel โจทย์ง่ายกว่ากันเยอะ
อะคุสติคของห้อง
เรื่องที่ผมอยากจะโฟกัสชัดๆคือข้อ 2 เรื่องอะคุสติคของห้องครับ การได้ห้องฟังที่ดี (กว่าห้องโดยสารรถ) ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าเสียงจะดีขึ้นได้มากขนาดนี้ ซึ่งตามหลักแล้วการวางลำโพงเพื่อให้ได้เสียงที่ดีนั้น จะวางให้เป็นรูป 3 เหลี่ยม ระหว่างลำโพงซ้าย ลำโพงขวา และพื้นที่นั่งครับ (หูคนฟังจะอยู่ถอยจากปลายแหลมของสามเหลี่ยมไปราวๆ 1-2 ฟุต)
ตำแหน่งการวางในอุดมคติ:
ตำแหน่งการวางในรถ:
อ้างอิง:
http://www.thepower.co.th/knowledge/speakers-positioning-for-best-listening-room/
เมื่อการวางลำโพงในรถเป็นแบบในรูป และตำแหน่งคนฟังหลักซึ่งเป็นเจ้าของรถจะนั่งยู่ที่เบาะด้านขวา จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องระยะห่าง ทำให้ได้ยินเสียงที่ดังจากลำโพงสองข้างไม่เท่ากัน นั่นคือเราจะได้ยินลำโพงขวาชัดแต่ซ้ายเบา อีกปัญหานึงคือได้ยินเสียงมาถึงหูเราไม่พร้อมกัน นั่นคือเราจะได้ยินเสียงจากลำโพงขวาก่อน แล้วเสียงจากลำโพงซ้ายมาถึงทีหลัง นี่ยังไม่นับรวมถ้าลำโพงทวีตเตอร์ที่คนทั่วไปมักจะจับยัดใส่หูช้างซึ่งมันอยู่ไกล้หูมากๆ รวมเป็นว่าลำโพง 4 จุด ทั้งดังไม่เท่ากัน และดังไม่พร้อมกัน และสุดท้ายการวางลำโพงในรถเป็นการวางแบบหันข้างให้หู นอกจากเราจะไม่ได้รับพลังไดนามิคเต็ม 100 (เหมือนเรายีนฟังนักร้องจากข้างเวที) แล้ว มันยังทำให้ความดังของแต่ละความถี่มันผิดเพี้ยนไปด้วย ดังรูปครับ
อ้างอิง:
http://www.memoaudio.com/product/151/scanspeak-discovery-car-r1904-613001-autosound-tweeter
ความหมายของเส้นกราฟ
- กราฟเส้นบน (สีดำ) หมายถึงความดังของลำโพงในแต่ละความถี่ เมื่อวางหน้าดอกลำโพงหันหน้าเข้าหาหูเราแบบตรงๆ
- กราฟเส้นกลาง (สีเขียว) หมายถึงความดังของลำโพงในแต่ละความถี่ เมื่อวางหน้าดอกลำโพงหันเอียงทำมุม 30 องศา
- กราฟเส้นล่าง (สีแดง) หมายถึงความดังของลำโพงในแต่ละความถี่ เมื่อวางหน้าดอกลำโพงหันเอียงทำมุม 60 องศา
จะเห็นได้ว่าความดังของเสียงในแต่ละย่านความถี่นั้น ผิดเพี้ยนไปตามความเอียงของลำโพง ทำให้เสียงแหลมในทวีตเตอร์ค่อยๆทอดสโลปลง ส่วนในลำโพงเสียงกลางก็เช่นกัน ความถี่เสียงกลางจะสูงโด่ง แต่ความถี่ย่านต่ำที่เป็นเสียงเบสจะค่อยๆสโลปลง ทำให้เสียงกลางดัง แต่เสียงเบสกับแหลมเบาลง นี่ยังไม่นับองศาหน้าลำโพงซ้ายกับขวาที่หันทำมุมกับหูเราต่างกันอีกนะครับ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้กราฟความดังจากลำโพงสองข้างของเราไม่เท่ากันนั่นเองครับ
ด้วยเหตุผลด้านบนนี่เอง นักเล่นเครื่องเสียงรถยนต์จึงพยายามทำการแก้ไข (จากเสียงแย่มากให้แย่น้อย) ด้วยการทำเสาเอแล้วหันหน้าดอกลำโพงเข้าหาหูบ้าง (เพื่อให้หน้าดอกของทวีตเตอร์ตรงกับหู) ใช้ฟังก์ชั่น Time Alignment ในการหน่วงเวลาให้ลำโพงเล่นช้าลงบ้าง (เสมือนว่าตั้งลำโพงอยู่ห่างไกลขึ้นอีก) ใช้ฟังก์ชั่นการปรุงแต่งเสียงเช่น EQ ยกเบสยกแหลม ฟังก์ชั่นแต่งเสียงอย่าง Music Expander ของ Alpine ใช้ Sound Retriever และ Loudness ของ Pioneer หรือ DZE ใน Clarion เพื่อช่วยแต่งเสียงให้กลับมาไกล้เคียงธรรมชาติมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่ถึงกับดีเทียบเท่าการวางตำแหน่งลำโพงอย่างถูกต้องแบบในบ้านครับ และสิ่งเหล่านี้เองที่พบว่ามันเป็นจุดอ่อนของการเล่นเครื่องเสียงรถ ที่มันคอยถ่วงให้เสียงแย่ลง ถึงแม้จะพยายามใช้ของดีๆแพงๆแล้วก็ตาม
Creative Gigawork T40 Series II
Speaker Power: 16 watts rms x2
Number Channel: 2.0
Number Of Subwoofer: 2
Number Of Satellite: 4
Creative ตัวนี้เป็นลำโพงคอมที่ดีไซน์สวยดีครับ มีปุ่มปรับ Bass และ Trebel แยกกัน และมีปุ่ม Volume เอาไว้เพิ่มลดเสียง เป็นลำโพงชนิด 2.0 จึงมีเพียงลำโพงซ้ายและขวาไม่มี Subwoofer แยกมาให้ครับ จัดวางง่ายไม่ค่อยเปลืองพื้นที่ดี แต่ด้วยข้อจำกัดของลำโพงที่ไม่ได้มีซับแยกแบบนี้ แน่นอน พลังเบสไม่ได้ล้นเหลือแบบลำโพง 2.1 แน่นอนครับ
ก่อนหน้าที่ผมจะซื้อตัวนี้ ผมได้ทดลองไปฟังลำโพงคอมตัวอื่นๆมา 3-4 ตัวครับ นั่นคือ
- Creative ตัวเล็ก ราคาประมาณ 600 บาท ถ้าจำรุ่นไม่ผิดคือ A250 ตัวนี้เสียงแหลมทึบมาก ผมให้ไม่ผ่าน
- Edifier จำรุ่นไม่ได้ ราคาไม่ถึงพัน เสียงนุ่มใช้ได้ครับ แต่แหลมสดจัดชัดจริงมาก ฟังได้แค่ 3 นาทีก็แสบหูแล้ว กัดหูพอๆกับ Focal เลยครับ
- Microlab X3 ราคาประมาณ 3500 เบสเป็นลูกสะอาด (แต่บวมหน่อย) แหลมละเอียดดี เสียงกลางจม รายละเอียดน้อย
- Microlab M880 ราคาประมาณ 2 พันปลาย ผมกลับชอบตัวนี้มากกว่า X3 ครับ ถึงแม้คุณภาพเสียงสู้ X3 ไม่ได้ แต่ความสมดุลย์ของเสียงดีกว่า มีเบส กลาง แหลม ครบถ้วน เพียงแต่เสียงกลางสูงจะสดไปหน่อย สากไปนิดครับ
หลังจากฟังมาจนครบแล้วผมรู้สึกท้อกับลำโพงคอม ทำไมมันมีแต่ลำโพงที่เน้นแต่พลังๆ ไม่ค่อยมีลำโพงที่เสียงดีๆให้ฟังเลย แต่ก็ยังติดใจที่ยังไม่ได้ลองฟัง Creative รุ่นใหญ่ๆ และไม่มีร้านไหนมีของให้ลองฟังด้วย เท่าที่อ่านรีวิวมามีแต่คนบอกว่าเสียงดี แต่จะเชื่อได้แค่ไหน เพราะคนในเน็ตก็เชียร์ลำโพงข้างต้นทุกตัวว่าเสียงดี แต่ก็ยังไม่ถูกใจผมสักตัว ตัดสินใจอยู่หลาย ชม. ว่าจะเสี่ยงซื้อไปเลยดีไหม แต่ก็โชคดีที่มีเจ้าของร้านๆนึงอธิบายบุคลิกเสียงให้ฟังคร่าวๆ ว่ามันเป็นลำโพงเน้นฟังเพลงนะ เสียงดี เสียงใส เบสไม่เยอะแต่มีแบบพอดีๆ แนวเสียงจะคนละแบบกับลำโพง 2.1 ทั่วไป ไปๆมาๆผมเลยเดินทางไปซื้อแบบงงๆครับ ใจก็ยัง 50/50 แต่ทุกวันนี้มันก็ตั้งอยู่ในห้องผมเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ และหลังจากใช้ไปราวๆ 2 เดือน เปิดกับคอมบ้าง ต่อกับทีวีบ้าง น่าจะร่วมๆ 150-200 ชม. แล้ว ผมขอรีวิวบุคลิกเสียงคร่าวๆให้ทราบกันครับ
บุคลิกเสียงของ Creative Gigawork T40 Series II
ลำโพงชุดนี้ถ้าต่อดูทีวี ผมจะปรับปุ่ม Bass ที่ บ่าย 1 และ Trebel ที่ 11 โมง ส่วนถ้าฟังเพลงผมจะลดแหลมลง คือปรับ Trebel ลงมาเหลือประมาณ 10 โมงครับ การปรับเพิ่มลดเพียง 1 ชม. หรือ ครึ่ง ชม. มีผลต่อเสียงมากเลยครับ เช่นเดียวกับปุ่ม Volume ถ้าเปิดที่บ่ายโมงแล้วดังพอดี แต่ถ้าปรับลดลงมาเหลือเที่ยง จะเบามากจนต้องเงี่นหูฟังกันเลยทีเดียวครับ เรียกว่าปุ่มปรับสเกลหยาบพอสมควร
Creative Gigawork T40 Series II เป็นลำโพงที่เสียงค่อนข้างสมดุลย์ครับ ไดนามิคดี รายละเอียดเสียงพวยพุ่งออกมาเยอะและชัดเจน เสียงเบสกระชับสะอาด เสียงกลางมีเนื้อมีหนังเก็บตัวดี แต่ยังมีติดความสากอยู่บ้าง เสียงแหลมรายละเอียดชัดดี ไม่ติดคมจนบาดหู แต่ยังพอมีความกระด้าง และโดยรวมยังพอสัมผัสได้ถึงความหยาบ ไม่ได้นวบเนียนเรียบละเอียดแบบลำโพงราคาแพง แต่ในราคาระดับ 3 พันปลายๆนี้ ผมรู้สึกคุ้มค่า ถ้าเทียบกับตัวอื่นๆที่เคยลองฟัง เทียบกับ Microlab x3 เรียกว่าคุณภาพเสียง Creative T40 ตัวนี้ดีกว่ามากครับ แต่ว่ากันตรงๆ เรื่องพลัง ความตูมตาม ก็สู้ X3 ไม่ได้ เพราะเป็นลำโพงที่ทำออกมาตอบโจทย์คนละแนวกัน
แนวเพลงที่เหมาะที่สุด เท่าที่ผมลองฟังก็น่าจะเป็นเพลง Rock และ Pop Rock ครับ Creative ตัวนี้ เล่นเพลง Rock ได้มันส์ ฟังแล้วค่อนข้างอินครับ เสียงหัวเบสของกีต้าร์เบสกระชับกำลังดี เสียงกีต้าร์ริทึมเป็นเม็ดสากๆ อารมณ์เพลงโดยรวมฟังแล้วมันสับสนวุ่นวาย เสียงนักร้องมีความเครียดนิดๆ เพราะความสากและหยาบนิดๆหน่อยๆที่ลำโพงมี ส่งเสริมให้เพลง Rock ฟังออกมาดีมาก
ส่วนในแนวเพลงอื่นๆ Creative เป็นลำโพงที่เสียงร้องมีตัวตนเด่นนำเครื่องดนตรีหน่อยๆอยู่แล้ว เสียงโดยรวมค่อนข้างกระชับ หางเสียงชัดเจน ทำให้เพลงร้องก็ฟังชัดเจน รายละเอียดครบถ้วน แต่อาจจะขาดความสุขุมไปนิด เพราะความสากนิดหยาบหน่อยอย่างที่บอกไปแล้วครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอก บอกจาก Microlab x3 แล้ว ตัวอืนหยาวกว่า Creative มากครับ ส่วน x3 ผมมีเวลาฟังมันไม่มาก ไม่กล้าฟันธงว่าสากเท่ากัน หรือว่าละเอียดกว่า Creative ครับ
ในเรื่องการดูหนัง และการดูทีวีทั่วๆไป ถ้าไม่นับปริมาณเบสที่พลังเสียงพุ่งพล่านสะเทือนพื้น ผมว่า Creative ตัวนี้ดูหนังได้คุณภาพเสียงและอารมณ์คล้ายๆโรงหนังที่เซ็ตเสียงดีในระดับกลางๆเลยครับ นั่นคือ เสียงพูดชัด เสียงซาวเอฟเฟคชัดและกระชับ เสียงเบสอิ่มเก็บตัวดี ไม่บวม หัวชัดเจนหางชัดเจน แต่อย่าลืมว่ามันเป็นเพียงแค่ลำโพงคอม ที่ใช้ดูแก้ขัดเท่านั้น ถ้าเอาไปเทียบกับ Home Theater ในราคาหมื่นนึง ก็คงแพ้ในหลายๆเรื่องครับ
สรุปความพึงพอใจโดยรวม
ในงบสามพันปลายๆ ผมรู้สึกพอใจกับลำโพงตัวนี้ค่อนข้างมาก ทำให้การดูหนัง ดูทีวี ฟังเพลง จากคอมและทีวี ดูมีมิติ มีรายละเอียด มีอารมณ์ร่วม มีความชัดเจนเพิ่มขึ้นมากๆ ประโยชน์แฝงอีกอย่างนึงคือ มันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการเล่นเครื่องเสียงรถเป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองมากๆครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่าสิ่งที่ผมได้พยายามแชร์นี้จะเป็นประโยชน์กับท่านที่สนใจนะครับ ถ้ามีสิ่งผิดพลาดประการใดจากความรู้ที่จำกัดของผม หรือมีสิ่งใดที่พลาดพลั้งทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ..
ฝากติดตามผลงานที่เพจ Need For Slow ด้วยครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/
[CR] รีวิวสามัญชน: ลำโพงคอมพิวเตอร์ Creative Gigawork T40 Series II กับประสบการณ์เล่นเครื่องเสียงรถยนต์ของผม
อย่างที่ผมบอกว่าผมเคยเล่นเครื่องเสียงรถยนต์มาก่อน หลังจากที่ซื้อ Creative ตัวนี้มาใช้ ทดลองฟัง ทดลองวางในจุดต่างๆตามทฤษฎี ถาสงออกบ้าง หุบแคบลงบ้าง หันหน้าไปมา ก็พบว่าแค่ลำโพงราคาถูกก็ให้เสียงที่ดีได้ เทียบกับชุดเครื่องเสียงและลำโพงราคากลางๆในรถยนต์ได้ครับ สิ่งที่แตกต่างนั้นไม่ใช่ว่าลำโพงรถยนต์มันไม่ดี จริงๆแล้วถ้าเทียบคุณภาพเสียงตัวต่อตัวแล้วลำโพงรถยนต์เสียงดีกว่ามาก แต่ที่เครื่องเสียงรถยนต์เสียงดีได้ไม่เต็มที่นั้น เพราะปัญหาเรื่องของอะคุสติคห้องและการจัดวาง มีบุรุษท่านหนึ่งกล่าวว่า จะทำเครื่องเสียงให้เสียงดีนั้น มี 3 สิ่งที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือ
1) อุปกรณ์ดี = 30% >> ตรงนี้ เครื่องเสียงรถยนต์ผมดีกว่า แพงกว่า ถือว่าชนะไปครับ
2) อะคุสติคของห้องดี = 30% >> ห้องโดยสารรถมีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งขนาดที่เล็ก แคบ หน้าสั้น มีกระจกสะท้อนเสียง มีคอนโซลบัง มีอุปกรณ์ขวาง สะท้อนเสียงเยอะมาก และตำแหน่งการวางลำโพง ลำโพงเสียงกลางวางที่เท้า ลำโพงแหลมวางที่หูช้าง ห่างกันเป็นเมตร
3) ปรับจูนดี = 40% >> เครื่องเสียงรถอาศัยนักจูนขั้นเซียน เพราะฟังก์ชั่นฟร้อนต์/DSP ยุ่บยั่บมาก และหลังติดตั้งมาเสียงบิดเบี้ยวมาก แต่ลำโพงคอมมีแค่ Bass/Trebel โจทย์ง่ายกว่ากันเยอะ
อะคุสติคของห้อง
เรื่องที่ผมอยากจะโฟกัสชัดๆคือข้อ 2 เรื่องอะคุสติคของห้องครับ การได้ห้องฟังที่ดี (กว่าห้องโดยสารรถ) ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าเสียงจะดีขึ้นได้มากขนาดนี้ ซึ่งตามหลักแล้วการวางลำโพงเพื่อให้ได้เสียงที่ดีนั้น จะวางให้เป็นรูป 3 เหลี่ยม ระหว่างลำโพงซ้าย ลำโพงขวา และพื้นที่นั่งครับ (หูคนฟังจะอยู่ถอยจากปลายแหลมของสามเหลี่ยมไปราวๆ 1-2 ฟุต)
ตำแหน่งการวางในอุดมคติ:
ตำแหน่งการวางในรถ:
อ้างอิง: http://www.thepower.co.th/knowledge/speakers-positioning-for-best-listening-room/
เมื่อการวางลำโพงในรถเป็นแบบในรูป และตำแหน่งคนฟังหลักซึ่งเป็นเจ้าของรถจะนั่งยู่ที่เบาะด้านขวา จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องระยะห่าง ทำให้ได้ยินเสียงที่ดังจากลำโพงสองข้างไม่เท่ากัน นั่นคือเราจะได้ยินลำโพงขวาชัดแต่ซ้ายเบา อีกปัญหานึงคือได้ยินเสียงมาถึงหูเราไม่พร้อมกัน นั่นคือเราจะได้ยินเสียงจากลำโพงขวาก่อน แล้วเสียงจากลำโพงซ้ายมาถึงทีหลัง นี่ยังไม่นับรวมถ้าลำโพงทวีตเตอร์ที่คนทั่วไปมักจะจับยัดใส่หูช้างซึ่งมันอยู่ไกล้หูมากๆ รวมเป็นว่าลำโพง 4 จุด ทั้งดังไม่เท่ากัน และดังไม่พร้อมกัน และสุดท้ายการวางลำโพงในรถเป็นการวางแบบหันข้างให้หู นอกจากเราจะไม่ได้รับพลังไดนามิคเต็ม 100 (เหมือนเรายีนฟังนักร้องจากข้างเวที) แล้ว มันยังทำให้ความดังของแต่ละความถี่มันผิดเพี้ยนไปด้วย ดังรูปครับ
อ้างอิง: http://www.memoaudio.com/product/151/scanspeak-discovery-car-r1904-613001-autosound-tweeter
ความหมายของเส้นกราฟ
- กราฟเส้นบน (สีดำ) หมายถึงความดังของลำโพงในแต่ละความถี่ เมื่อวางหน้าดอกลำโพงหันหน้าเข้าหาหูเราแบบตรงๆ
- กราฟเส้นกลาง (สีเขียว) หมายถึงความดังของลำโพงในแต่ละความถี่ เมื่อวางหน้าดอกลำโพงหันเอียงทำมุม 30 องศา
- กราฟเส้นล่าง (สีแดง) หมายถึงความดังของลำโพงในแต่ละความถี่ เมื่อวางหน้าดอกลำโพงหันเอียงทำมุม 60 องศา
จะเห็นได้ว่าความดังของเสียงในแต่ละย่านความถี่นั้น ผิดเพี้ยนไปตามความเอียงของลำโพง ทำให้เสียงแหลมในทวีตเตอร์ค่อยๆทอดสโลปลง ส่วนในลำโพงเสียงกลางก็เช่นกัน ความถี่เสียงกลางจะสูงโด่ง แต่ความถี่ย่านต่ำที่เป็นเสียงเบสจะค่อยๆสโลปลง ทำให้เสียงกลางดัง แต่เสียงเบสกับแหลมเบาลง นี่ยังไม่นับองศาหน้าลำโพงซ้ายกับขวาที่หันทำมุมกับหูเราต่างกันอีกนะครับ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้กราฟความดังจากลำโพงสองข้างของเราไม่เท่ากันนั่นเองครับ
ด้วยเหตุผลด้านบนนี่เอง นักเล่นเครื่องเสียงรถยนต์จึงพยายามทำการแก้ไข (จากเสียงแย่มากให้แย่น้อย) ด้วยการทำเสาเอแล้วหันหน้าดอกลำโพงเข้าหาหูบ้าง (เพื่อให้หน้าดอกของทวีตเตอร์ตรงกับหู) ใช้ฟังก์ชั่น Time Alignment ในการหน่วงเวลาให้ลำโพงเล่นช้าลงบ้าง (เสมือนว่าตั้งลำโพงอยู่ห่างไกลขึ้นอีก) ใช้ฟังก์ชั่นการปรุงแต่งเสียงเช่น EQ ยกเบสยกแหลม ฟังก์ชั่นแต่งเสียงอย่าง Music Expander ของ Alpine ใช้ Sound Retriever และ Loudness ของ Pioneer หรือ DZE ใน Clarion เพื่อช่วยแต่งเสียงให้กลับมาไกล้เคียงธรรมชาติมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่ถึงกับดีเทียบเท่าการวางตำแหน่งลำโพงอย่างถูกต้องแบบในบ้านครับ และสิ่งเหล่านี้เองที่พบว่ามันเป็นจุดอ่อนของการเล่นเครื่องเสียงรถ ที่มันคอยถ่วงให้เสียงแย่ลง ถึงแม้จะพยายามใช้ของดีๆแพงๆแล้วก็ตาม
Creative Gigawork T40 Series II
Speaker Power: 16 watts rms x2
Number Channel: 2.0
Number Of Subwoofer: 2
Number Of Satellite: 4
Creative ตัวนี้เป็นลำโพงคอมที่ดีไซน์สวยดีครับ มีปุ่มปรับ Bass และ Trebel แยกกัน และมีปุ่ม Volume เอาไว้เพิ่มลดเสียง เป็นลำโพงชนิด 2.0 จึงมีเพียงลำโพงซ้ายและขวาไม่มี Subwoofer แยกมาให้ครับ จัดวางง่ายไม่ค่อยเปลืองพื้นที่ดี แต่ด้วยข้อจำกัดของลำโพงที่ไม่ได้มีซับแยกแบบนี้ แน่นอน พลังเบสไม่ได้ล้นเหลือแบบลำโพง 2.1 แน่นอนครับ
ก่อนหน้าที่ผมจะซื้อตัวนี้ ผมได้ทดลองไปฟังลำโพงคอมตัวอื่นๆมา 3-4 ตัวครับ นั่นคือ
- Creative ตัวเล็ก ราคาประมาณ 600 บาท ถ้าจำรุ่นไม่ผิดคือ A250 ตัวนี้เสียงแหลมทึบมาก ผมให้ไม่ผ่าน
- Edifier จำรุ่นไม่ได้ ราคาไม่ถึงพัน เสียงนุ่มใช้ได้ครับ แต่แหลมสดจัดชัดจริงมาก ฟังได้แค่ 3 นาทีก็แสบหูแล้ว กัดหูพอๆกับ Focal เลยครับ
- Microlab X3 ราคาประมาณ 3500 เบสเป็นลูกสะอาด (แต่บวมหน่อย) แหลมละเอียดดี เสียงกลางจม รายละเอียดน้อย
- Microlab M880 ราคาประมาณ 2 พันปลาย ผมกลับชอบตัวนี้มากกว่า X3 ครับ ถึงแม้คุณภาพเสียงสู้ X3 ไม่ได้ แต่ความสมดุลย์ของเสียงดีกว่า มีเบส กลาง แหลม ครบถ้วน เพียงแต่เสียงกลางสูงจะสดไปหน่อย สากไปนิดครับ
หลังจากฟังมาจนครบแล้วผมรู้สึกท้อกับลำโพงคอม ทำไมมันมีแต่ลำโพงที่เน้นแต่พลังๆ ไม่ค่อยมีลำโพงที่เสียงดีๆให้ฟังเลย แต่ก็ยังติดใจที่ยังไม่ได้ลองฟัง Creative รุ่นใหญ่ๆ และไม่มีร้านไหนมีของให้ลองฟังด้วย เท่าที่อ่านรีวิวมามีแต่คนบอกว่าเสียงดี แต่จะเชื่อได้แค่ไหน เพราะคนในเน็ตก็เชียร์ลำโพงข้างต้นทุกตัวว่าเสียงดี แต่ก็ยังไม่ถูกใจผมสักตัว ตัดสินใจอยู่หลาย ชม. ว่าจะเสี่ยงซื้อไปเลยดีไหม แต่ก็โชคดีที่มีเจ้าของร้านๆนึงอธิบายบุคลิกเสียงให้ฟังคร่าวๆ ว่ามันเป็นลำโพงเน้นฟังเพลงนะ เสียงดี เสียงใส เบสไม่เยอะแต่มีแบบพอดีๆ แนวเสียงจะคนละแบบกับลำโพง 2.1 ทั่วไป ไปๆมาๆผมเลยเดินทางไปซื้อแบบงงๆครับ ใจก็ยัง 50/50 แต่ทุกวันนี้มันก็ตั้งอยู่ในห้องผมเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ และหลังจากใช้ไปราวๆ 2 เดือน เปิดกับคอมบ้าง ต่อกับทีวีบ้าง น่าจะร่วมๆ 150-200 ชม. แล้ว ผมขอรีวิวบุคลิกเสียงคร่าวๆให้ทราบกันครับ
บุคลิกเสียงของ Creative Gigawork T40 Series II
ลำโพงชุดนี้ถ้าต่อดูทีวี ผมจะปรับปุ่ม Bass ที่ บ่าย 1 และ Trebel ที่ 11 โมง ส่วนถ้าฟังเพลงผมจะลดแหลมลง คือปรับ Trebel ลงมาเหลือประมาณ 10 โมงครับ การปรับเพิ่มลดเพียง 1 ชม. หรือ ครึ่ง ชม. มีผลต่อเสียงมากเลยครับ เช่นเดียวกับปุ่ม Volume ถ้าเปิดที่บ่ายโมงแล้วดังพอดี แต่ถ้าปรับลดลงมาเหลือเที่ยง จะเบามากจนต้องเงี่นหูฟังกันเลยทีเดียวครับ เรียกว่าปุ่มปรับสเกลหยาบพอสมควร
Creative Gigawork T40 Series II เป็นลำโพงที่เสียงค่อนข้างสมดุลย์ครับ ไดนามิคดี รายละเอียดเสียงพวยพุ่งออกมาเยอะและชัดเจน เสียงเบสกระชับสะอาด เสียงกลางมีเนื้อมีหนังเก็บตัวดี แต่ยังมีติดความสากอยู่บ้าง เสียงแหลมรายละเอียดชัดดี ไม่ติดคมจนบาดหู แต่ยังพอมีความกระด้าง และโดยรวมยังพอสัมผัสได้ถึงความหยาบ ไม่ได้นวบเนียนเรียบละเอียดแบบลำโพงราคาแพง แต่ในราคาระดับ 3 พันปลายๆนี้ ผมรู้สึกคุ้มค่า ถ้าเทียบกับตัวอื่นๆที่เคยลองฟัง เทียบกับ Microlab x3 เรียกว่าคุณภาพเสียง Creative T40 ตัวนี้ดีกว่ามากครับ แต่ว่ากันตรงๆ เรื่องพลัง ความตูมตาม ก็สู้ X3 ไม่ได้ เพราะเป็นลำโพงที่ทำออกมาตอบโจทย์คนละแนวกัน
แนวเพลงที่เหมาะที่สุด เท่าที่ผมลองฟังก็น่าจะเป็นเพลง Rock และ Pop Rock ครับ Creative ตัวนี้ เล่นเพลง Rock ได้มันส์ ฟังแล้วค่อนข้างอินครับ เสียงหัวเบสของกีต้าร์เบสกระชับกำลังดี เสียงกีต้าร์ริทึมเป็นเม็ดสากๆ อารมณ์เพลงโดยรวมฟังแล้วมันสับสนวุ่นวาย เสียงนักร้องมีความเครียดนิดๆ เพราะความสากและหยาบนิดๆหน่อยๆที่ลำโพงมี ส่งเสริมให้เพลง Rock ฟังออกมาดีมาก
ส่วนในแนวเพลงอื่นๆ Creative เป็นลำโพงที่เสียงร้องมีตัวตนเด่นนำเครื่องดนตรีหน่อยๆอยู่แล้ว เสียงโดยรวมค่อนข้างกระชับ หางเสียงชัดเจน ทำให้เพลงร้องก็ฟังชัดเจน รายละเอียดครบถ้วน แต่อาจจะขาดความสุขุมไปนิด เพราะความสากนิดหยาบหน่อยอย่างที่บอกไปแล้วครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอก บอกจาก Microlab x3 แล้ว ตัวอืนหยาวกว่า Creative มากครับ ส่วน x3 ผมมีเวลาฟังมันไม่มาก ไม่กล้าฟันธงว่าสากเท่ากัน หรือว่าละเอียดกว่า Creative ครับ
ในเรื่องการดูหนัง และการดูทีวีทั่วๆไป ถ้าไม่นับปริมาณเบสที่พลังเสียงพุ่งพล่านสะเทือนพื้น ผมว่า Creative ตัวนี้ดูหนังได้คุณภาพเสียงและอารมณ์คล้ายๆโรงหนังที่เซ็ตเสียงดีในระดับกลางๆเลยครับ นั่นคือ เสียงพูดชัด เสียงซาวเอฟเฟคชัดและกระชับ เสียงเบสอิ่มเก็บตัวดี ไม่บวม หัวชัดเจนหางชัดเจน แต่อย่าลืมว่ามันเป็นเพียงแค่ลำโพงคอม ที่ใช้ดูแก้ขัดเท่านั้น ถ้าเอาไปเทียบกับ Home Theater ในราคาหมื่นนึง ก็คงแพ้ในหลายๆเรื่องครับ
สรุปความพึงพอใจโดยรวม
ในงบสามพันปลายๆ ผมรู้สึกพอใจกับลำโพงตัวนี้ค่อนข้างมาก ทำให้การดูหนัง ดูทีวี ฟังเพลง จากคอมและทีวี ดูมีมิติ มีรายละเอียด มีอารมณ์ร่วม มีความชัดเจนเพิ่มขึ้นมากๆ ประโยชน์แฝงอีกอย่างนึงคือ มันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการเล่นเครื่องเสียงรถเป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองมากๆครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่าสิ่งที่ผมได้พยายามแชร์นี้จะเป็นประโยชน์กับท่านที่สนใจนะครับ ถ้ามีสิ่งผิดพลาดประการใดจากความรู้ที่จำกัดของผม หรือมีสิ่งใดที่พลาดพลั้งทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ..
ฝากติดตามผลงานที่เพจ Need For Slow ด้วยครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้