เป็นนิยายแนวไซไฟ คาดว่าจะแต่งให้ไม่ยาว
เรื่องย่อ เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มซึ่งมีชีวิตอยู่ราว ๆ 100 ปีข้างหน้า ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก (ซึ่งตอนนั้นมนุษย์ก็ไม่ได้มีแค่ที่อาศัยอยู่บนโลก)
(คำเตือน อาจแต่งไม่จบ)
นิยายสั้น(มั้ง) เรื่อง ผู้สร้าง ตอนที่ 1 - 3
https://pantip.com/topic/38013291
การศึกษาความเป็นมนุษย์
พ.ศ.2591 (70 ก่อน) (อีก 30 ปีนับจากปี พ.ศ. 2561)
ณ มหาวิทยาชื่อดังใจกลางกรุงเทพมหานคร ในห้องเลคเชอร์ อาจารย์ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีดังระดับโลกหลายทฤษฎี ด้านสังคมศาสตร์ กำลังยืนบรรยาด้วยน้ำเสียงกังวาน
“30 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า สิ่งที่ฉันเคยพูดเอาไว้นั้นสามารถนำมาใช้การได้” เขากล่าว นิสิตบางคนคิดว่าเขาหลงตัวเองอยู่เล็กน้อย “และสิ่งที่ฉันจะพูดในวันนี้ จะทำให้เธอเห็นภาพอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล ภาพและเสียงที่ถูกอัดในวันนี้ ณ ห้องแห่งนี้ จะเป็นหลักฐานชั้นปฐมภูมิทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ…”
นิสิตคนหนึ่งยกมือขึ้น “คุณแค่เข้าประเด็นไปเลยไม่ได้หรือ ก่อนที่พวกผมจะหลับ”
ทั้งห้องหัวเราะ ผู้เป็นอาจารย์ชะงักเล็กน้อย “ก็ฉันกำลังจะเข้าประเด็น ถ้าเธอไม่ขัดจังหวะเสียก่อน”
การบรรยายดำเนินไป 45 นาที จบลงอย่างเต็มอิ่มด้วยการนอนอย่างเต็มที่ของเหล่านิสิต
หลังการบรรยาย มีชายผู้หนึ่ง ใส่แว่นกรอบหนา ผิวขาว ร่างสูง เดินเข้ามาหาศาสตราจารย์
“สวัสดีครับ ผมติดตามผลงานของคุณมานาน” เขากล่าว
ศาสตราจารย์มองชายผู้นั้นอย่างพินิจ “จริงรึ”
สำหรับเขา ในยุคที่ความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นปริมาณมหาศาลทุกวัน มันก็ยากที่ผลงานของเขาจะโดดเด่นขึ้นมาจากกระแสอันเชี่ยวกรากของความรู้นั้น แม้ว่าสำหรับตัวเขาเองมันจะน่าทึ่งสักเพียงใด ยุคนี้สิ่งที่มีค่าคือความสนใจของผู้คน เพราะความสนใจนั้นจะเป็นตัวชักนำให้ผู้คนทุ่มเทเวลาซึ่งเป็นอันมีค่าที่สุด
“เมื่อหลายสิบปีก่อน คุณพูดถึงเรื่องการล่มสลายของความเป็นปัจเจกบุคคล และความแข็งแกร่งของการเป็นกลุ่มก้อน หรือบริษัท และคุณยังพูดถึงความสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ในโลก ที่สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นเครื่องมือที่รวมคนทั้งโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน” ขายหนุ่มกล่าวอย่างกระตือรือร้น “แต่ที่ผมทึ่งมากที่สุดคือเรื่องที่คุณพูดถึงรัฐบาล ที่ในตอนนี้ไม่ใช่แบบนี้ คนพูดเหมือนคุณสามารถเห็นอนาคต คุณบอกว่าสุดท้ายแล้ว รัฐบาลจะกลายเป็นเพียงกลไก หรือกลายเป็นเพียงระบบทางสังคม รัฐบาลที่มีทรัพย์สิน สถานที่ราชการ หรือสิ่งต่าง ๆ จะไม่ดำรงอยู่ต่อไป และตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น คุณรู้ได้อย่างไร”
ศาสตราจารย์ยิ่มเล็กน้อย “ดูท่าเธอจะสนใจจริงๆ นะ เราน่าจะได้คุยกันมากกว่านี้ แต่ฉันมีสอนต่อ ถ้าเธอต้องการ ปกติตอนเย็นของทุกวันฉันจะนั่งที่ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย เธอสามารถพบฉันได้ที่นั่น”
อีก 3 วันต่อมา ร่างของศาสตราจารย์ที่นอนไม่ได้สติ ถูกเข็นเข้าสู่ห้องสีขาว
“นายได้คำยินยอมจากเจ้าของร่างนี้แล้วหรือ” ชายหนุ่มเจ้าของแว่นตากรอบหนากล่าว เขาเป็นคนเข็นร่างไร้สติเข้ามา
“ได้แล้วครับ บิดา” เขาตอบ เขาลักษณะเหมือนคู่สนทนาราวกับฝาแฝด “ไม่ใช่ได้มาด้วยการบังคับ ผมได้เลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่ผมจะศึกษาแล้ว”
“ดีมาก ที่ผ่านมา นายศึกษามนุษย์ในทุกด้าน แต่มันยังไม่ครบ การจะศึกษามนุษย์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ นายต้องกลายเป็นมนุษย์ ต้องแฝงเข้า ต้องกลมกลืน สุดท้ายแล้วความเป็นตัวนายเอง และความเป็นบุคคลผู้นี้ จะต้องหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว ถึงตอนนั้นฉันจะดึงนายกลับมา และคืนความทรงจำให้นายอีกครั้ง ตอนนี้ฉันต้องสะกัดกั้นความทรงจำของนาย เพื่อไม่ให้กลายเป็นตัวแปรที่จะไปกระทบกับสิ่งที่อยู่ในสมองของชายผู้นี้ที่เราจะศึกษา ดังนั้น หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้น ชายผู้นี้จะไม่รู้สึกแตกต่างจากเดิม นายก็คือชายผู้นี้ และชายผู้นี้ก็คือนาย ทั้งสองคือกระจกซึ่งสะท้อนกันและกัน แต่ไม่ใช่กระจกบานเดียวกัน เอาล่ะ นายพร้อมแล้วหรือยัง”
“พร้อมแล้วครับ” กล่าวจบ ก็พาตัวเองขึ้นไปยังอีกเตียงที่ยังว่าง เขาหลับตาลง เหมือนจะพึมพำเป็นคำบางอย่าง แล้วนิ่งไป ราวกับเครื่องจักรที่ถูกดับสนิท
ร่างของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมค่อย ๆ ปรากฎขึ้นในห้องสีขาว
“อิสรียา สิ่งที่เธอพัฒนาครั้งนี้ เธอให้ความมั่นใจที่เท่าไหร่ นี่ไม่ใช่การทดสอบ หรือการวิจัยของเธออีกต่อไป นี่คือปฏิบัติการจริง”
“บิดาจะพูดคำนี้กับฉันทุก ๆ ครั้งเลยหรือคะ” เด็กหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“มันเป็นขั้นตอน เธอก็รู้” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ ๆ “สิ่งที่เราทำอยู่คือการเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่เปราะบางที่สุดของความเป็นมนุษย์ หากมีการคำนวณที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็อาจะเป็นความเสียหายที่ไม่อาจกู้กลับคืนได้ เอาล่ะ ว่ามา”
อิสรียาถอนหายใจ
“ฉันมั่นใจในทุกส่วนที่เป็นงานของฉัน ในระดับความมั่นใจร้อยละ 99 มีอยู่ส่วนเดียวที่ฉันไม่มั่นใจเลยคือส่วนของไวรัส ซึ่งฉันไม่ได้เป็นผู้พัฒนา” อิสรียามอบบิดาอึดใจ แล้วก็กล่าวต่อ “ทำไมบิดาไม่สร้างให้ฉันสามารถก้าวข้ามเขตแดนแห่งความรู้ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะได้สร้างไวรัสขึ้นมาเอง และฉันจะมั่นใจมากกว่านี้”
“อิสรียา” บิดากล่าวช้า ๆ “ความรู้ที่เธอมีนั้นคือความรู้แห่งที่สุดที่มนุษย์จะไปถึงได้ และเธอได้ต่อยอดพัฒนาความรู้ของเธอขึ้นอีกมากมายเกินกว่านั้น เธอจะต่อยอดได้อย่างไร ถ้าเธอไม่รู้ลึกในส่ิงที่เธอควรรู้ ส่วนความรู้ที่กว้างขวาง รอบด้าน แต่ไม่ใช้ความรู้ที่ลึกซึ้ง ไม่มีค่าอันใด ความรู้ที่เธอมีนั้นมีค่าเหลือเกิน อิสรียา”
“ก็หวังว่าบิดาจะคิดอย่างนั้นจริง ๆ” อิสรียากล่าว “แล้วใครเป็นคนคิดไวรัสนี่ขึ้นมาคะ”
“ซักวันเธอจะได้เจอเขาคนนั้น”
“บิดารู้ใช่ไหมว่า ถ้าฉันตั้งใจจริงอยากเจอ ฉันก็จะเจอเขาได้เลยภายในไม่กี่วัน”
“ฉันรู้ เพราะฉันสร้างเธอมา” บิดาตอบ “ฉันสร้างเธอมาจากความรู้อย่างลึกซึ้งในคณิตศาสตร์ แต่เธอกลับไปไกลกว่าฉันในด้านคณิตศาสตร์ และฉันไม่รู้เลยว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร เมื่อเธอบอกฉันว่าเธอเข้าใจฟิสิกส์ควอนตัมอย่างถ่องแท้ หรือแม้เมื่อตอนที่เธอบอกฉันว่าเธอสามารถรู้ลึกและหยั่งถึงการดำรงอยู่ของอนุภาคพื้นฐานที่เล็กที่สุดในจักรวาลที่เราดำรงอยู่ ถ้าไม่มีเธอฉันคงไม่มีวันนี้”
“เช่นเดียวกับฉันค่ะ บิดา ถ้าไม่มีบิดาฉันก็ไม่มีวันนี้ ฉันหวังว่าบิดายังคงยืนยันเช่นเดิมเหมือนคำพูดเมื่อฉันได้เจอกับบิดาเมื่อหลายสิบปีก่อนว่า เราเป็นหุ้นส่วน เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”
นิยายสั้น(มั้ง) เรื่อง ผู้สร้าง ตอนที่ 4 - 6
เรื่องย่อ เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มซึ่งมีชีวิตอยู่ราว ๆ 100 ปีข้างหน้า ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก (ซึ่งตอนนั้นมนุษย์ก็ไม่ได้มีแค่ที่อาศัยอยู่บนโลก)
(คำเตือน อาจแต่งไม่จบ)
นิยายสั้น(มั้ง) เรื่อง ผู้สร้าง ตอนที่ 1 - 3
https://pantip.com/topic/38013291
การศึกษาความเป็นมนุษย์
พ.ศ.2591 (70 ก่อน) (อีก 30 ปีนับจากปี พ.ศ. 2561)
ณ มหาวิทยาชื่อดังใจกลางกรุงเทพมหานคร ในห้องเลคเชอร์ อาจารย์ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีดังระดับโลกหลายทฤษฎี ด้านสังคมศาสตร์ กำลังยืนบรรยาด้วยน้ำเสียงกังวาน
“30 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า สิ่งที่ฉันเคยพูดเอาไว้นั้นสามารถนำมาใช้การได้” เขากล่าว นิสิตบางคนคิดว่าเขาหลงตัวเองอยู่เล็กน้อย “และสิ่งที่ฉันจะพูดในวันนี้ จะทำให้เธอเห็นภาพอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล ภาพและเสียงที่ถูกอัดในวันนี้ ณ ห้องแห่งนี้ จะเป็นหลักฐานชั้นปฐมภูมิทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ…”
นิสิตคนหนึ่งยกมือขึ้น “คุณแค่เข้าประเด็นไปเลยไม่ได้หรือ ก่อนที่พวกผมจะหลับ”
ทั้งห้องหัวเราะ ผู้เป็นอาจารย์ชะงักเล็กน้อย “ก็ฉันกำลังจะเข้าประเด็น ถ้าเธอไม่ขัดจังหวะเสียก่อน”
การบรรยายดำเนินไป 45 นาที จบลงอย่างเต็มอิ่มด้วยการนอนอย่างเต็มที่ของเหล่านิสิต
หลังการบรรยาย มีชายผู้หนึ่ง ใส่แว่นกรอบหนา ผิวขาว ร่างสูง เดินเข้ามาหาศาสตราจารย์
“สวัสดีครับ ผมติดตามผลงานของคุณมานาน” เขากล่าว
ศาสตราจารย์มองชายผู้นั้นอย่างพินิจ “จริงรึ”
สำหรับเขา ในยุคที่ความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นปริมาณมหาศาลทุกวัน มันก็ยากที่ผลงานของเขาจะโดดเด่นขึ้นมาจากกระแสอันเชี่ยวกรากของความรู้นั้น แม้ว่าสำหรับตัวเขาเองมันจะน่าทึ่งสักเพียงใด ยุคนี้สิ่งที่มีค่าคือความสนใจของผู้คน เพราะความสนใจนั้นจะเป็นตัวชักนำให้ผู้คนทุ่มเทเวลาซึ่งเป็นอันมีค่าที่สุด
“เมื่อหลายสิบปีก่อน คุณพูดถึงเรื่องการล่มสลายของความเป็นปัจเจกบุคคล และความแข็งแกร่งของการเป็นกลุ่มก้อน หรือบริษัท และคุณยังพูดถึงความสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ในโลก ที่สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นเครื่องมือที่รวมคนทั้งโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน” ขายหนุ่มกล่าวอย่างกระตือรือร้น “แต่ที่ผมทึ่งมากที่สุดคือเรื่องที่คุณพูดถึงรัฐบาล ที่ในตอนนี้ไม่ใช่แบบนี้ คนพูดเหมือนคุณสามารถเห็นอนาคต คุณบอกว่าสุดท้ายแล้ว รัฐบาลจะกลายเป็นเพียงกลไก หรือกลายเป็นเพียงระบบทางสังคม รัฐบาลที่มีทรัพย์สิน สถานที่ราชการ หรือสิ่งต่าง ๆ จะไม่ดำรงอยู่ต่อไป และตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น คุณรู้ได้อย่างไร”
ศาสตราจารย์ยิ่มเล็กน้อย “ดูท่าเธอจะสนใจจริงๆ นะ เราน่าจะได้คุยกันมากกว่านี้ แต่ฉันมีสอนต่อ ถ้าเธอต้องการ ปกติตอนเย็นของทุกวันฉันจะนั่งที่ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย เธอสามารถพบฉันได้ที่นั่น”
อีก 3 วันต่อมา ร่างของศาสตราจารย์ที่นอนไม่ได้สติ ถูกเข็นเข้าสู่ห้องสีขาว
“นายได้คำยินยอมจากเจ้าของร่างนี้แล้วหรือ” ชายหนุ่มเจ้าของแว่นตากรอบหนากล่าว เขาเป็นคนเข็นร่างไร้สติเข้ามา
“ได้แล้วครับ บิดา” เขาตอบ เขาลักษณะเหมือนคู่สนทนาราวกับฝาแฝด “ไม่ใช่ได้มาด้วยการบังคับ ผมได้เลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่ผมจะศึกษาแล้ว”
“ดีมาก ที่ผ่านมา นายศึกษามนุษย์ในทุกด้าน แต่มันยังไม่ครบ การจะศึกษามนุษย์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ นายต้องกลายเป็นมนุษย์ ต้องแฝงเข้า ต้องกลมกลืน สุดท้ายแล้วความเป็นตัวนายเอง และความเป็นบุคคลผู้นี้ จะต้องหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว ถึงตอนนั้นฉันจะดึงนายกลับมา และคืนความทรงจำให้นายอีกครั้ง ตอนนี้ฉันต้องสะกัดกั้นความทรงจำของนาย เพื่อไม่ให้กลายเป็นตัวแปรที่จะไปกระทบกับสิ่งที่อยู่ในสมองของชายผู้นี้ที่เราจะศึกษา ดังนั้น หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้น ชายผู้นี้จะไม่รู้สึกแตกต่างจากเดิม นายก็คือชายผู้นี้ และชายผู้นี้ก็คือนาย ทั้งสองคือกระจกซึ่งสะท้อนกันและกัน แต่ไม่ใช่กระจกบานเดียวกัน เอาล่ะ นายพร้อมแล้วหรือยัง”
“พร้อมแล้วครับ” กล่าวจบ ก็พาตัวเองขึ้นไปยังอีกเตียงที่ยังว่าง เขาหลับตาลง เหมือนจะพึมพำเป็นคำบางอย่าง แล้วนิ่งไป ราวกับเครื่องจักรที่ถูกดับสนิท
ร่างของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมค่อย ๆ ปรากฎขึ้นในห้องสีขาว
“อิสรียา สิ่งที่เธอพัฒนาครั้งนี้ เธอให้ความมั่นใจที่เท่าไหร่ นี่ไม่ใช่การทดสอบ หรือการวิจัยของเธออีกต่อไป นี่คือปฏิบัติการจริง”
“บิดาจะพูดคำนี้กับฉันทุก ๆ ครั้งเลยหรือคะ” เด็กหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“มันเป็นขั้นตอน เธอก็รู้” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ ๆ “สิ่งที่เราทำอยู่คือการเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่เปราะบางที่สุดของความเป็นมนุษย์ หากมีการคำนวณที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็อาจะเป็นความเสียหายที่ไม่อาจกู้กลับคืนได้ เอาล่ะ ว่ามา”
อิสรียาถอนหายใจ
“ฉันมั่นใจในทุกส่วนที่เป็นงานของฉัน ในระดับความมั่นใจร้อยละ 99 มีอยู่ส่วนเดียวที่ฉันไม่มั่นใจเลยคือส่วนของไวรัส ซึ่งฉันไม่ได้เป็นผู้พัฒนา” อิสรียามอบบิดาอึดใจ แล้วก็กล่าวต่อ “ทำไมบิดาไม่สร้างให้ฉันสามารถก้าวข้ามเขตแดนแห่งความรู้ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะได้สร้างไวรัสขึ้นมาเอง และฉันจะมั่นใจมากกว่านี้”
“อิสรียา” บิดากล่าวช้า ๆ “ความรู้ที่เธอมีนั้นคือความรู้แห่งที่สุดที่มนุษย์จะไปถึงได้ และเธอได้ต่อยอดพัฒนาความรู้ของเธอขึ้นอีกมากมายเกินกว่านั้น เธอจะต่อยอดได้อย่างไร ถ้าเธอไม่รู้ลึกในส่ิงที่เธอควรรู้ ส่วนความรู้ที่กว้างขวาง รอบด้าน แต่ไม่ใช้ความรู้ที่ลึกซึ้ง ไม่มีค่าอันใด ความรู้ที่เธอมีนั้นมีค่าเหลือเกิน อิสรียา”
“ก็หวังว่าบิดาจะคิดอย่างนั้นจริง ๆ” อิสรียากล่าว “แล้วใครเป็นคนคิดไวรัสนี่ขึ้นมาคะ”
“ซักวันเธอจะได้เจอเขาคนนั้น”
“บิดารู้ใช่ไหมว่า ถ้าฉันตั้งใจจริงอยากเจอ ฉันก็จะเจอเขาได้เลยภายในไม่กี่วัน”
“ฉันรู้ เพราะฉันสร้างเธอมา” บิดาตอบ “ฉันสร้างเธอมาจากความรู้อย่างลึกซึ้งในคณิตศาสตร์ แต่เธอกลับไปไกลกว่าฉันในด้านคณิตศาสตร์ และฉันไม่รู้เลยว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร เมื่อเธอบอกฉันว่าเธอเข้าใจฟิสิกส์ควอนตัมอย่างถ่องแท้ หรือแม้เมื่อตอนที่เธอบอกฉันว่าเธอสามารถรู้ลึกและหยั่งถึงการดำรงอยู่ของอนุภาคพื้นฐานที่เล็กที่สุดในจักรวาลที่เราดำรงอยู่ ถ้าไม่มีเธอฉันคงไม่มีวันนี้”
“เช่นเดียวกับฉันค่ะ บิดา ถ้าไม่มีบิดาฉันก็ไม่มีวันนี้ ฉันหวังว่าบิดายังคงยืนยันเช่นเดิมเหมือนคำพูดเมื่อฉันได้เจอกับบิดาเมื่อหลายสิบปีก่อนว่า เราเป็นหุ้นส่วน เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”