ต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมเป็นคนที่ศรัทธา พระวัดพระธรรมกายอยู่ 3 รูป
1. พระมหาสมชาย ฐานวุฒโฑ
2. พระนพดล สิริวังโส
3. พระอนันต์ พิศาลไพโรจน์
เหตุผลที่ผมศรัทธา เกิดจากผมได้ติดตามผลงานของทั้งสามท่าน ท่านพระมหาสมชาย มีความรู้มาก สายวิชาการ แม่นพระไตรปิฎก พระนพดล ท่านเด่นในเรื่องการเทศน์สอน ถ้าไม่อคติที่เรื่องเงินหรือเรื่องอวยพรว่ารวยๆๆๆ ท่านมีความคิดที่เถรตรง และตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกประการ ส่วนพระอนันต์ท่านจะมาในสไตล์ของวัยรุ่น จะมีศัพท์ ที่วัยรุ่นสมัยนี้ใช้กัน ทำให้วัยรุ่นฉุกคิดได้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย อาจจะจูงใจพวกเค้าให้มาสนใจพระพุทธศาสนาได้อย่างดีเลยทีเดียว
โดยส่วนตัวแล้ว ผมติดตามผลงานของสามท่านนี้มาโดยตลอด ผมรู้สึกชื่นชม ในความรู้ความสามารถของทั้งสามท่าน
แต่ผมขอบอกตรงๆนะครับ มีอยู่ท่านเดียวที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย คือหลวงพ่อธัมมชโย
หลวงพ่อธัมมชโย ท่านมีวิธีการเทศน์ที่แปลก แต่อันนี้ไม่ว่ากัน ผมขอข้ามไป
ผมจึงติดตามที่เนื้อหาที่ท่านเทศน์สอน ผมถึงกับตะลึงไปเลยว่า ทำไมท่านถึงมีความคิดแปลกๆแบบนี้
หลวงพ่อท่านเชื่อว่า นิพพานเป็นสถานที่ๆไปมาหาสู่กันได้ จะไปตอนไหนก็ไปได้ จะกลับลงมาตอนไหนก็ทำได้ ซึ่งนิพพานในลักษณะที่ท่านพูดถึงนี้ ไม่ตรงกับพระไตรปิฎกทุกประการ ในพระไตรปิฏก อธิบายนิพพานใว้ว่าอย่างไร ผมจะอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมในโอกาสหน้าครับ
หลวงพ่อท่านเชื่อว่าคนที่นิพพานไปแล้ว สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีกเพื่อทำภาระกิจสำคัญ อย่างเช่นการปราบมาร หรือรื้อสัตว์ขนสัตว์ ซึ่งแนวคิดแบบนี้มันไม่ใช่พระพุทธศาสนา นิกายเถรวาทครับ
หลวงพ่อท่านกล่าวถึงพะระต้นธาตุต้นธรรม หรือพระพุทธเจ้าพระองค์แรก ที่ให้พุทธพยากรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อได้ว่าพระต้นธาตุต้นธรรม เป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้าก็ไม่ผิด ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าตรัสใว้แล้วถึงเรื่องจำพวกนี้ ว่าเป็นอาจินไตย ห้ามไม่ให้คิด ไม่เช่นเช่นจะกลายเป็นบ้า เพราะจุดเริ่มต้นของสังสารวัฎ กับเบื้องปลายของสังสารวัฎ นั้นไม่ปรากฎ
หลวงพ่อท่านมีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัว ผมไม่รู้นะผมเป็นคนนอกวัด แต่ผมได้ติดตามดูพฤติกรรมของท่านผ่านทางยูทูป ผมสังเกตุได้ว่า ท่านวางตัวไม่เหมือนภิกษุ ธรรมดาทั่วไป ท่านนั่งรถตู้ จะติดฟิลม์ดำสนิท ไม่มีใครเห็นท่าน ไม่มีใครรู้ว่าท่านจะไปไหน ท่านนุ่งห่มไม่เหมือนภิกษุทั่วไป ท่านจะมีเสื้อยืดสีส้ม ผ้าคลุมสีส้มห่มอีกชั้นนึง ใส่ถุงเท้า ใส่หมวก สรุปคือ ท่านเป็นคนที่เยอะอะครับ ไม่เหมือนคนทั่วๆไป เดินไปไหนมาไหนจะมีคนรุมล้อม คล้ายๆบอดี้การ์ด เหมือนเป็นบุคคลสำคัญ มีลักษณะของ Charismatic leadership อยู่ท่วมท้น มีอำนาจมีบารมีมากมายมหาศาล แต่ก็อยู่เฉพาะในขอบเขตของท่าน ถ้าท่านอยู่ในวัด ท่านจะถูกปฎิบัติราวกับพระเจ้าจักรพรรดิ์ ตามคำทำนายของพระพุทธเจ้าก็ไม่ผิด แต่พอท่านเดินออกนอกวัดเมื่อไหร่ ท่านอาจจะโดนเด็กเกรียนๆ ตบหัวล้านแตกก็เป็นได้ เพราะคนที่อยู่ในสังคมไทย จะเข้าใจท่านว่า ท่านเป็นอลัชชี ผมคิดว่านี่เป็นทิฐิของท่าน ที่สำคัญว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ท่านไม่สามารถทนได้ ที่จะต้องโดนพิมพ์ลายนิ้วมือ ท่านทนไม่ได้ที่จะต้องโดนตำรวจ ซึ่งเป็นใครหน้าไหนก็ไม่รู้ มาสอบปากคำ ถามนั่นถามนี่ ผมคิดว่านี่เป็นเหตุหนึ่งนะ ที่ทำให้ท่านไม่เข้ากระบวนการยุติธรรม เพราะใจของท่าน ท่านรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้จริงๆ ท่านคิดว่าตัวเองมีอำนาจมีบารมี ยิ่งใหญ่อยู่ในขอบเขตุของท่าน ใครหน้าไหนก็ล่วงเกินท่านไม่ได้
หลวงพ่อท่านมีคดีตอนปี 42 ที่ซื้อที่ดินที่พิจิตร โดยใช้เงินวัด แต่ใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้ครอบครอง ก็มีพระชั้นผู้ใหญ่ ตักเตือนว่า ทำแบบนี้มันผิดพระธรรมวินัยถึงขั้นปราชิกได้เลย ท่านเตือนให้หลวงพ่อธัมมชโย คืนที่ดินให้วัดไปซะ แต่ด้วยทิฐิของหลวงพ่อธัมมชโย ท่านไม่ยอมคืนครับ ท่านเลือกที่จะต่อสู้คดี อยู่นานถึง 7 ปี แต่จากรูปคดีดูเหมือนหลวงพ่อจะไม่รอดคุกเสียแล้ว ในสมัยนั้นคุณทักษินเป็นใหญ่ จึงมีข่าวว่า มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไปคุยต่อรองกับอัยการที่ทำคดีในสมัยนั้น บอกว่าให้จำหน่ายคดีของหลวงพ่อธัมมชโย และวัดพระธรรมกาย รวม 52 คดี (1ในนั้นมีคดีเกี่ยวกับมาตรา 112 ด้วย) ทิ้งไปให้หมด อย่าให้ถึงศาล แต่ดูเหมือนว่า อัยการท่านนั้น จะไม่ยอมทำตาม ไม่กี่วันต่อมา อัยการท่านนั้นก็ตายครับ ! จากนั้นอัยการคนใหม่ ก็ขึ้นมาทำคดีนี้ แล้วจำหน่ายคดี 52 คดี ทิ้งไปทั้งหมด โดยให้หลวงพ่อคืนที่ดินให้วัดไปซะ แล้วอ้างว่างเพื่อความสามัคคีของคนในชาติ จึงถอนฟ้อง เรื่องจึงไม่ถึงศาล ศาลยังไม่ทันตัดสิน รอบนั้นเรียกได้ว่าหลวงพ่อธัมมชโย รอดคุกมาอย่างหวุดวิด หลังจากนั้นไม่นานนัก นายกทักษิน ก็ถูกรัฐประหาร
ประวัติศาตร์กระบวนการยุติธรรมไทย ต้องจารึกชื่อ หลวงพ่อธัมมชโยใว้ใน Hall of fame เลยว่า สามารถรอดพ้นคดีฉ้อโกงทรัพย์สิน (ถ้าไม่ได้เอาของเขามาจริงๆ แล้วจะคืนทำไม ? ถ้าเป็นของตัวเองจริงๆ ก็ต้องมีความชอบธรรมที่จะครอบครองสิ แต่นี่คุณคืนให้วัด แสดงว่าคุณไปเอาของเขามาใช่ไหม ?) รวมถึงคดีหมิ่นในหลวง และอื่นๆอีกกว่า 50 คดี รอดพ้น ลอยนวลไปได้ อย่างสบายๆ
ในกรณีของหลวงพ่อธัมมชโยเรื่องอวดอุตริ อันนี้ไม่ชัดเจนที่จะปรับอาบัติท่าน ท่านพูดเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองอาบัติ โดยการบอกว่า ฝัน แล้วมาเล่าให้ฟัง
การทำลักษณะนี้ เป็นการเลี่ยงบาลีที่เจ็บแสบที่สุด จะผิดหรือไม่ผิด ก็สุดแล้วแต่เวรกรรม เพราะคนที่รู้เจตนาของหลวงพ่อดีที่สุด ก็คือตัวของหลวงพ่อเอง
พระพุทธเจ้าทรงทำนายเอาใว้ว่า ในอนาคต จะมีสัทธรรมปฎิรูปเกิดขึ้น โดยพวกสัทธรรมปฎิรูปนี้ จะใช้ภาษาที่สละสลวย แล้วสุดท้าย ผู้คนจะไปเชื่อในสิ่งเหล่านี้กัน ซึ่งไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงทำนายว่า ในอนาคต ศาสนาของพระองค์จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก พราห์มเอาไปประกอบพิธี ส่วนที่ 2 ยักษ์เอาไปใช้ทำมาหากิน ส่วนที่ 3 คือพระสัทธรรมที่แท้จริงของพระองค์
สังเกตุตรงคำว่า ยักษ์เอาไปใช้ทำมาหากิน คิดเป็น 1 ส่วน จากสามส่วน หรือประมาน 33.34% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะพอสมควรเลยทีเดียว คุณก้คิดดุเองเถอะครับ จากศาสนาพุทธทั้งโลก แผ่นดินไหน เป็นพุทธมากที่สุด และมีลัทธิไหน ที่จะดึงดุดคนไปเข้ารีต ได้ถึง 33.34% ถ้าไม่ใช่ธรรมกาย ผมก้นึกไม่ออกแล้วแหละ
สรุปนะครับ หลวงพ่อธัมมชโย ท่านก็รู้ตัวเองดีนะ ว่าทำอะไรใว้บ้าง แต่ท่านไม่เข็ด ท่านมีความคิดว่าท่านเป็นใหญ่ในสามโลก ท่านคิดว่าท่านมีบารมีมากมายมหาศาล จะสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ความจริงก็คือ ท่านกำลังพบกับความเสื่อม สมณะศักดิ์ก็โดนถอดไปแล้ว อำนาจการบริหารก็หมดไปแล้ว ในบั้นปลายชีวิต คิดว่าจะได้เป็นบรมมหาจักรพรรดิ์ แต่สุดท้ายต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ ขาก็เน่า เบาหวานก็กำเริบ อยู่แบบผี รอวันตายแล้วไปสู่อเวจีสถานเดียว
ว่าด้วยเรื่อง ธัมมชโย
1. พระมหาสมชาย ฐานวุฒโฑ
2. พระนพดล สิริวังโส
3. พระอนันต์ พิศาลไพโรจน์
เหตุผลที่ผมศรัทธา เกิดจากผมได้ติดตามผลงานของทั้งสามท่าน ท่านพระมหาสมชาย มีความรู้มาก สายวิชาการ แม่นพระไตรปิฎก พระนพดล ท่านเด่นในเรื่องการเทศน์สอน ถ้าไม่อคติที่เรื่องเงินหรือเรื่องอวยพรว่ารวยๆๆๆ ท่านมีความคิดที่เถรตรง และตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกประการ ส่วนพระอนันต์ท่านจะมาในสไตล์ของวัยรุ่น จะมีศัพท์ ที่วัยรุ่นสมัยนี้ใช้กัน ทำให้วัยรุ่นฉุกคิดได้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย อาจจะจูงใจพวกเค้าให้มาสนใจพระพุทธศาสนาได้อย่างดีเลยทีเดียว
โดยส่วนตัวแล้ว ผมติดตามผลงานของสามท่านนี้มาโดยตลอด ผมรู้สึกชื่นชม ในความรู้ความสามารถของทั้งสามท่าน
แต่ผมขอบอกตรงๆนะครับ มีอยู่ท่านเดียวที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย คือหลวงพ่อธัมมชโย
หลวงพ่อธัมมชโย ท่านมีวิธีการเทศน์ที่แปลก แต่อันนี้ไม่ว่ากัน ผมขอข้ามไป
ผมจึงติดตามที่เนื้อหาที่ท่านเทศน์สอน ผมถึงกับตะลึงไปเลยว่า ทำไมท่านถึงมีความคิดแปลกๆแบบนี้
หลวงพ่อท่านเชื่อว่า นิพพานเป็นสถานที่ๆไปมาหาสู่กันได้ จะไปตอนไหนก็ไปได้ จะกลับลงมาตอนไหนก็ทำได้ ซึ่งนิพพานในลักษณะที่ท่านพูดถึงนี้ ไม่ตรงกับพระไตรปิฎกทุกประการ ในพระไตรปิฏก อธิบายนิพพานใว้ว่าอย่างไร ผมจะอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมในโอกาสหน้าครับ
หลวงพ่อท่านเชื่อว่าคนที่นิพพานไปแล้ว สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีกเพื่อทำภาระกิจสำคัญ อย่างเช่นการปราบมาร หรือรื้อสัตว์ขนสัตว์ ซึ่งแนวคิดแบบนี้มันไม่ใช่พระพุทธศาสนา นิกายเถรวาทครับ
หลวงพ่อท่านกล่าวถึงพะระต้นธาตุต้นธรรม หรือพระพุทธเจ้าพระองค์แรก ที่ให้พุทธพยากรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อได้ว่าพระต้นธาตุต้นธรรม เป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้าก็ไม่ผิด ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าตรัสใว้แล้วถึงเรื่องจำพวกนี้ ว่าเป็นอาจินไตย ห้ามไม่ให้คิด ไม่เช่นเช่นจะกลายเป็นบ้า เพราะจุดเริ่มต้นของสังสารวัฎ กับเบื้องปลายของสังสารวัฎ นั้นไม่ปรากฎ
หลวงพ่อท่านมีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัว ผมไม่รู้นะผมเป็นคนนอกวัด แต่ผมได้ติดตามดูพฤติกรรมของท่านผ่านทางยูทูป ผมสังเกตุได้ว่า ท่านวางตัวไม่เหมือนภิกษุ ธรรมดาทั่วไป ท่านนั่งรถตู้ จะติดฟิลม์ดำสนิท ไม่มีใครเห็นท่าน ไม่มีใครรู้ว่าท่านจะไปไหน ท่านนุ่งห่มไม่เหมือนภิกษุทั่วไป ท่านจะมีเสื้อยืดสีส้ม ผ้าคลุมสีส้มห่มอีกชั้นนึง ใส่ถุงเท้า ใส่หมวก สรุปคือ ท่านเป็นคนที่เยอะอะครับ ไม่เหมือนคนทั่วๆไป เดินไปไหนมาไหนจะมีคนรุมล้อม คล้ายๆบอดี้การ์ด เหมือนเป็นบุคคลสำคัญ มีลักษณะของ Charismatic leadership อยู่ท่วมท้น มีอำนาจมีบารมีมากมายมหาศาล แต่ก็อยู่เฉพาะในขอบเขตของท่าน ถ้าท่านอยู่ในวัด ท่านจะถูกปฎิบัติราวกับพระเจ้าจักรพรรดิ์ ตามคำทำนายของพระพุทธเจ้าก็ไม่ผิด แต่พอท่านเดินออกนอกวัดเมื่อไหร่ ท่านอาจจะโดนเด็กเกรียนๆ ตบหัวล้านแตกก็เป็นได้ เพราะคนที่อยู่ในสังคมไทย จะเข้าใจท่านว่า ท่านเป็นอลัชชี ผมคิดว่านี่เป็นทิฐิของท่าน ที่สำคัญว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ท่านไม่สามารถทนได้ ที่จะต้องโดนพิมพ์ลายนิ้วมือ ท่านทนไม่ได้ที่จะต้องโดนตำรวจ ซึ่งเป็นใครหน้าไหนก็ไม่รู้ มาสอบปากคำ ถามนั่นถามนี่ ผมคิดว่านี่เป็นเหตุหนึ่งนะ ที่ทำให้ท่านไม่เข้ากระบวนการยุติธรรม เพราะใจของท่าน ท่านรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้จริงๆ ท่านคิดว่าตัวเองมีอำนาจมีบารมี ยิ่งใหญ่อยู่ในขอบเขตุของท่าน ใครหน้าไหนก็ล่วงเกินท่านไม่ได้
หลวงพ่อท่านมีคดีตอนปี 42 ที่ซื้อที่ดินที่พิจิตร โดยใช้เงินวัด แต่ใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้ครอบครอง ก็มีพระชั้นผู้ใหญ่ ตักเตือนว่า ทำแบบนี้มันผิดพระธรรมวินัยถึงขั้นปราชิกได้เลย ท่านเตือนให้หลวงพ่อธัมมชโย คืนที่ดินให้วัดไปซะ แต่ด้วยทิฐิของหลวงพ่อธัมมชโย ท่านไม่ยอมคืนครับ ท่านเลือกที่จะต่อสู้คดี อยู่นานถึง 7 ปี แต่จากรูปคดีดูเหมือนหลวงพ่อจะไม่รอดคุกเสียแล้ว ในสมัยนั้นคุณทักษินเป็นใหญ่ จึงมีข่าวว่า มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไปคุยต่อรองกับอัยการที่ทำคดีในสมัยนั้น บอกว่าให้จำหน่ายคดีของหลวงพ่อธัมมชโย และวัดพระธรรมกาย รวม 52 คดี (1ในนั้นมีคดีเกี่ยวกับมาตรา 112 ด้วย) ทิ้งไปให้หมด อย่าให้ถึงศาล แต่ดูเหมือนว่า อัยการท่านนั้น จะไม่ยอมทำตาม ไม่กี่วันต่อมา อัยการท่านนั้นก็ตายครับ ! จากนั้นอัยการคนใหม่ ก็ขึ้นมาทำคดีนี้ แล้วจำหน่ายคดี 52 คดี ทิ้งไปทั้งหมด โดยให้หลวงพ่อคืนที่ดินให้วัดไปซะ แล้วอ้างว่างเพื่อความสามัคคีของคนในชาติ จึงถอนฟ้อง เรื่องจึงไม่ถึงศาล ศาลยังไม่ทันตัดสิน รอบนั้นเรียกได้ว่าหลวงพ่อธัมมชโย รอดคุกมาอย่างหวุดวิด หลังจากนั้นไม่นานนัก นายกทักษิน ก็ถูกรัฐประหาร
ประวัติศาตร์กระบวนการยุติธรรมไทย ต้องจารึกชื่อ หลวงพ่อธัมมชโยใว้ใน Hall of fame เลยว่า สามารถรอดพ้นคดีฉ้อโกงทรัพย์สิน (ถ้าไม่ได้เอาของเขามาจริงๆ แล้วจะคืนทำไม ? ถ้าเป็นของตัวเองจริงๆ ก็ต้องมีความชอบธรรมที่จะครอบครองสิ แต่นี่คุณคืนให้วัด แสดงว่าคุณไปเอาของเขามาใช่ไหม ?) รวมถึงคดีหมิ่นในหลวง และอื่นๆอีกกว่า 50 คดี รอดพ้น ลอยนวลไปได้ อย่างสบายๆ
ในกรณีของหลวงพ่อธัมมชโยเรื่องอวดอุตริ อันนี้ไม่ชัดเจนที่จะปรับอาบัติท่าน ท่านพูดเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองอาบัติ โดยการบอกว่า ฝัน แล้วมาเล่าให้ฟัง
การทำลักษณะนี้ เป็นการเลี่ยงบาลีที่เจ็บแสบที่สุด จะผิดหรือไม่ผิด ก็สุดแล้วแต่เวรกรรม เพราะคนที่รู้เจตนาของหลวงพ่อดีที่สุด ก็คือตัวของหลวงพ่อเอง
พระพุทธเจ้าทรงทำนายเอาใว้ว่า ในอนาคต จะมีสัทธรรมปฎิรูปเกิดขึ้น โดยพวกสัทธรรมปฎิรูปนี้ จะใช้ภาษาที่สละสลวย แล้วสุดท้าย ผู้คนจะไปเชื่อในสิ่งเหล่านี้กัน ซึ่งไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงทำนายว่า ในอนาคต ศาสนาของพระองค์จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก พราห์มเอาไปประกอบพิธี ส่วนที่ 2 ยักษ์เอาไปใช้ทำมาหากิน ส่วนที่ 3 คือพระสัทธรรมที่แท้จริงของพระองค์
สังเกตุตรงคำว่า ยักษ์เอาไปใช้ทำมาหากิน คิดเป็น 1 ส่วน จากสามส่วน หรือประมาน 33.34% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะพอสมควรเลยทีเดียว คุณก้คิดดุเองเถอะครับ จากศาสนาพุทธทั้งโลก แผ่นดินไหน เป็นพุทธมากที่สุด และมีลัทธิไหน ที่จะดึงดุดคนไปเข้ารีต ได้ถึง 33.34% ถ้าไม่ใช่ธรรมกาย ผมก้นึกไม่ออกแล้วแหละ
สรุปนะครับ หลวงพ่อธัมมชโย ท่านก็รู้ตัวเองดีนะ ว่าทำอะไรใว้บ้าง แต่ท่านไม่เข็ด ท่านมีความคิดว่าท่านเป็นใหญ่ในสามโลก ท่านคิดว่าท่านมีบารมีมากมายมหาศาล จะสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ความจริงก็คือ ท่านกำลังพบกับความเสื่อม สมณะศักดิ์ก็โดนถอดไปแล้ว อำนาจการบริหารก็หมดไปแล้ว ในบั้นปลายชีวิต คิดว่าจะได้เป็นบรมมหาจักรพรรดิ์ แต่สุดท้ายต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ ขาก็เน่า เบาหวานก็กำเริบ อยู่แบบผี รอวันตายแล้วไปสู่อเวจีสถานเดียว