ตอนประถมเคยได้ยินครูตอบนักเรียนในห้องเดียวกันคนนึงในวันตรวจผม คำถามของนักเรียนคือ "หนูต้องตัดผมมั้ยคะครู"
ครูตอบนักเรียนคนนั้นไปว่า "ถ้าหนูลังเลหรือมไม่มั่นใจ นั่นก็แสดงว่าใช่ค่ะ"
คำตอบนี้ของครูท่านนั้นยังแวะเวียนมาสั่งสอนเรา เมื่อเรารู้สึกไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง ไอ้สิ่งที่เราไม่มั่นใจนั่นแหละ มักจะ "ใช่" เสมอ
เด็กประถมวันนั้น กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนในวันนี้แล้ว และเป็นช่วงที่คำตอบของครูท่านนั้นดังในหัวเรามากที่สุด
ถ้าอยากอ่านเนื้อๆ แนะนำให้เลื่อนไปอ่าน spoil หัวข้อ "จุดพีค" และช่วงคำถาม ให้เสิชว่า "ปัญหาที่อยากถาม" ค่ะ
Background ชีวิตของศรี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ถ้าลองกดดูว่าเราเคยตั้งกระทู้อะไรบ้างก็น่าจะพอรู้จักเราดี เราเป็นศิษย์เก่าสาขาวิชาภาษาอังกฤษที่ราชมงคลแห่งหนึ่ง จบมาพร้อมกับเกียรตินิยมอันดับ2 ระหว่างเรียนก็มีประสบการณ์ทำงานและฝึกงานมาพอสมควร เรียกว่าทำงานแทบจะตลอดตั้งแต่ปี2 จบมาได้ปีกว่าแล้ว มีความฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตสมาตั้งแต่มัธยมปลาย จนปัจจุบันก็ยังมีความฝันแบบนั้นเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
เรียนจบมางานและเป็นงานด้านบริการเลย แต่เป็นงานที่ไม่ค่อยมีความก้าวหน้าเท่าไหร่ ขออนุญาตเน้นตรงนี้ ไม่ค่อยมีความก้าวหน้า หรือก้าวหน้าได้ยาก ทำไป4เดือนจากที่เคยมีความคิดว่าเออ ทำงานนี้ไปเรื่อยๆก็ได้หนิ ความคิดเริ่มเปลี่ยนเพราะอุตส่าห์เรียนจบแถมได้เกียรตินิยมมาอีก อยากใช้ให้เป็นประโยชน์ อยากก้าวหน้า อยากประสบความสำเร็จ ตอนนั้นก็เลยคิดว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องทำตามฝัน คือไปสอบเป็นแอร์แล้วเอาดีด้านนี้ไปเลย กับเปลี่ยนสายงานไปเลย ซึ่งอีกอย่างที่เราชอบทำ ค้นพบเมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัยว่าชอบงานเขียน ก็เลยไปสมัครเป็นนักเขียน แต่ตอนนั้นก็ไม่มีที่ไหนรับ
ต่อมาเรายื่นเรื่องจะลาออกแบบไม่มีงานใหม่ เพราะจะไปพัฒนางานเขียนและสกิลภาษาของเราให้เต็มที่ บริษัทขอให้อยู่ต่อพร้อมเปลี่ยนตำแหน่งให้ไปทำอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดูseniorขึ้นมาจากตำแหน่งเดิมนิดหน่อย ลักษณะเป็นงาน coordinator แต่ก้าวหน้าได้ยากพอกัน และขึ้นเงินเดือนให้เป็น 22k ทันที ตอนนั้นก็ลังเลอยู่ว่าจะเอาไงดี แต่ตอนนั้นเมเนเจอร์เข้าใจว่าเราอยากทำงานเขียน เขาเลยบอกว่าอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วก็ค่อยๆฝึกงานเขียนไปก็ได้ อีกอย่างคือถ้าไปสมัครงานใหม่แล้วบอกที่ใหม่ว่าเราเคยได้ 22k เราก็สามารถต่อรองเงินเดือนได้มากกว่า 22k นะ
ใช่ค่ะ เราตอบตกลง
ก็ทำงานที่นี่ไปแบบเหี่ยวแห้งอีกประมาณ4เดือน ที่บอกว่าเหี่ยวแห้งเพราะพอเราได้สัมผัสเนื้องานจริงๆ มันเป็นงานที่ติดต่อกับคนเดิมๆ ภาษาอังกฤษที่จบมานี่แทบไม่ได้ใช้กับงานนี้เลย พูดถึงภาษาอังกฤษ เมื่อต้นปีก็ไปสอบ TOEIC มา เพราะขึ้นปีใหม่ได้วันพักร้อนเพิ่มแล้วก็อยากจะสานฝันที่จะเป็นแอร์ฯต่อเหมือนกัน ไปสอบแอร์ฯอยู่2ที่ ตกตั้งแต่รอบแรกทั้งคู่ เอาจริงคือนับถือคนที่ไปสอบหลายๆรอบมากๆ เขาจัดการวันลาพักร้อนยังไง ที่สำคัญคือเขาใจไม่ฝ่อลงเลยหรอ เราตกมาแค่2รอบยังนอยไปหลายวันเลย เพราะอยู่ตรงนั้น เราเห็นคนที่ดีกว่าเราเยอะมากๆ แต่เขาต้องเดินออกมาเพราะโดนคัดออก โดนคัดๆออกเป็นร้อยๆคน พูดตรงๆเลยว่าเป็นการสมัครงานที่ใจเสียมาก ตอนนี้ก็เลยมีความรู้สึกกลัวการแข่งขันและไม่กล้าไปสอบแอร์ฯเท่าไหร่ คะแนน TOEIC 820 คะแนนก็เลยนอนเป็นผักอยู่ในตู้ที่บ้าน ไม่ได้เอาไปใช้อะไร
จุดพีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แล้วจังหวะซิทคอมก็มาถึง เมื่อบริษัทหนึ่งที่เราเคยไปสมัครเป็นนักเขียนแต่ไม่ได้งานติดต่อเรามา offer ตำแหน่ง แต่ไม่ใช่ตำแหน่งนักเขียน เป็นตำแหน่ง coordinator ซึ่งดันตรงกับงานที่เราทำอยู่ แถมได้ทำงานในกองบรรณาธิการด้วย เขาบอกว่าถ้าว่างอยากจะลองทำงานเขียนด้วยก็ได้ เราตอบตกลงทันทีเพราะเป็นบริษัทที่เรารู้สึกอยากทำมาก วันที่เคยเข้าไปสัมภาษณ์ที่นี่เหมือนเป็นรักแรกพบ ยิ่งเขา offer งานที่เราก็อยากลอง ใจเรานี่แทบอยากจะเริ่มงานพรุ่งนี้เลย แต่ก็ต้องอยู่ที่เก่าไปก่อนตามกฎระเบียบ แต่เป็นงานทำงานที่เก่าที่มีความสุขมากๆ เหมือนเราเห็นอนาคตเราอยู่ข้างหน้าแล้ว และเรากำลังจะลาออกไปเจออนาคตที่ดีนะ ประมาณนี้
แต่ เงินเดือนจะอยู่ที่ 21k ผ่านโปร 23k เราก็ตกลง กำขี้ดีกว่ากำตด ยอมขาดทุนเดือนละพันแล้วต่อไปก็จะได้เงินเพิ่มอีกเดือนละพันนึงแน่ะ! เอาจริงๆตอนนั้นใครก็ฉุดไม่อยู่แล้ว ทีแรกเขาจะให้เงินเดือนเท่าที่เก่าด้วยซ้ำ ได้เท่านี้ ก็ดีเท่าไหร่แล้วเถอะ
เรื่องดำเนินไปจนถึงวันที่เราเริ่มงานใหม่ ช่วงแรกๆไปทำงานแบบ energetic มากๆ ป่วยก็ขอลาแค่ครึ่งวันพอ ลากสังขารมาทำงาน ทุกอย่างมันน่าเรียนรู้ไปหมด จากที่เขาเคยบอกว่างานเป็น coordinator แต่เอาเข้าจริงๆ เป็นทั้งบัญชี เซลล์ การตลาด เป็นนักเขียน เป็นกราฟิก เป็นนักแปล เรียกว่าต้องทำมันทุกอย่าง งานในกองบรรณาธิการและงานนอกแผนก เรียกว่าทุ่มเทมาก คิดแค่ว่าจะต้องประสบความสำเร็จได้จากที่นี่ เพราะเราทำหลายอย่างมาก เราดีใจที่ตัวเราชอบทำงานนี้ ได้เรียนรู้ทุกอย่างที่ไม่ชอบ จากที่เคยเกลียดงานเซลล์และการตลาดกลับกลายเป็นทัศนคติเราเปลี่ยนไปทั้งหมด
จนเหตุการณ์นึงที่ทำให้เรารู้สึกแปลกกับหัวหน้ากอง ที่เอาเราไปแหกต่อหน้าอีกแผนกนึงในที่ประชุม ทั้งๆที่เรื่องนั้นเราไม่ผิด เราก็พยายามไม่คิดอะไร เพราะเคยได้ยินมาว่าเขาจะเป็นคนหลงๆลืมๆคำพูดของตัวเอง เคยมีปัญหาทางด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตมาก่อน ก็เลยไม่ถือสา
แต่หลังๆมันเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นช่วงที่เราได้คุยกับคนในแผนกคนอื่นเยอะเหมือนกันว่าทุกคนเขาก็สัมผัสถึงความประหลาดนี้ได้ และไม่มีใครชอบใจ เราไม่ใช่คนเดียวที่เจอเหตุการณ์ประมาณนี้ คนอื่นก็จะเจอในรูปแบบต่างๆกันไป และมีคนที่ถูกเขาอคติจนอยู่ไม่ได้ คล้ายๆกับโดนบีบให้ออก ขนาดผู้ช่วยคนที่เขาเคยกินข้าวอยู่ด้วยกันทุกวันยังรู้สึกเหมือนกัน พอเรารู้แบบนี้ ก็ยังไม่คิดอะไรมากอีก อย่างมากตอนนั้นก็แค่รู้สึกว่าต้องระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม ไว้ใจหัวหน้าไม่ได้แล้วมั้ง
และที่พีคที่สุดก็มาถึง ปลายเดือนหนึ่งหัวหน้าเรียกเราไปเพื่อบอกว่าเราผ่านโปรแล้ว แน่นอนว่าตอนนั้นดีใจมาก เพราะตั้งแต่ทำงานมา เรามั่นใจว่าเราทุ่มเทมาก แต่งานหลายอย่างที่ได้รับมอบหมายมา เราไม่เคยทำ (เช่น งานบัญชี งานการตลาด) เราก็เลยไม่รู้ว่ามันจะถูกใจเขาหรือเปล่า แต่พอเขาบอกว่าเราผ่านโปรแลว มันทำให้เราโล่งใจไปเยอะเหมือนกัน
อะไรคือความพีคหรอ มันก็คือ เขาจำไม่ได้ว่าตกลงเงินเดือนหลังผ่านโปรกับเราไว้เท่าไหร่ เราก็เลยบอกทีเล่นทีจริงไปว่า "23k ค่ะ แต่ถ้ามากกว่านี้ก็โอเค" เพราะงานที่เราทำอยู่ตลอดช่วงโปร เป็นงานที่หลุดสโคปกับที่เคยคุยเอาไว้มาก ความพีคยังไม่จบเท่านี้ ช่วงที่เราไปออก event หลังจากผ่านโปรมาได้สัปดาห์เดียว ว่า "ตกลงเงินเดือนก็ตามที่คุยไว้นะ (23k)แต่จะได้ปลายเดือนหน้านะ เพราะ HR ทำเรื่องให้ไม่ทัน"
เราก็ ค่ะๆ ไม่เป็นไรค่ะ ค่ะๆ ค่ะๆ แล้วก็งงๆ ว่าวันนั้นมันเพิ่งจะต้นเดือนนี่หว่า ยังไม่ถึงวันที่ 10 เลย นี่ต้องบอก HR ล่วงหน้านานขนาดไหนถึงจะทำเรื่องทัน พอจบ event กลางๆเดือนเราก็ไปถาม HR เลย ดันได้คำตอบมาว่า "พี่ปรับเงินเดือนให้น้องวันนี้ยังทันเลย ที่ไม่ได้ขึ้นเดือนนี้เพราะหัวหน้าน้องมาบอกพี่เองว่าจะขึ้นให้เดือนหน้า เพราะอยากดู event นี้ก่อน แจ้งประธานเรื่องนี้แล้ว ประธานโอเค"
คุยเสร็จ เราเดินไปที่ห้องน้ำแบบงงๆ ดู event นี้ คืออะไร event นี้ไม่ใช่งานแรกที่เราไป ยังงงไม่ทันเสร็จ เดินกลับมาที่โต๊ะยังไม่ทันถึง HR เรียกไปคุยอีก คราวนี้ท่าทีเขาตอนพูดเหมือนอยากพูดมานานแล้ว ครั้งแรกเขาคงไม่กล้าพูดเพราะกลัวว่าเราจะมีปัญหากับหัวหน้า เพราะครั้งนี้เขาบอกว่า "หัวหน้าเราเดินมาบอกว่า ถ้าเงินเดือนน้องเพิ่มขึ้นเดือนนี้ OT จาก event น้องก็จะได้เพิ่ม"
เอาล่ะ ตอนนี้คน2คนพูดไม่เหมือนกันแล้ว ยังไม่พอ เมื่อ2สัปดาห์ก่อน ประธานเรียกเราไปคุยพร้อมหัวหน้า เหมือนเป็นการคุยกับพนักงานที่ผ่านโปรเพื่อถามเรื่องทั่วไป เกี่ยวกับงาน ความรู้สึกในการทำงาน ก่อนออกจากห้องประธานพูดว่า "โอเคแล้วเนอะ โปรก็ผ่าน เงินเดือนก็ขึ้นเดือนนี้แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว มีอะไรจะถามมั้ยคะ"
แต่ตอนนั้นเจ้านายนั่งอยู่ข้างๆ เราก็เลยไม่กล้าบอกว่า เงินเดือนเราไม่ได้ขึ้นเดือนนี้ ทำไมประธานยังเหมือนเข้าใจว่าเงินเดือนเราได้ขึ้นเดือนนี้ หรือว่าที่จริงหัวหน้ายังไม่ได้บอกประธานกันแน่ พอออกมาจากห้อง กลับไปที่โต๊ะทำงาน เราโมโหจนแทบจะร้องไห้มันตรงนั้นเลย ความรู้สึกมันสับสนมากๆว่าจะทำยังไงต่อไปดี เรารู้สึกเหมือนเราโดนเอาเปรียบ เราเจอคนเห็นแก่ตัว ผิดคำพูด เงินแค่2,000มันอาจจะไม่เยอะสำหรับเขาแต่มันเยอะสำหรับเรา แล้วไหนจะ OT ที่เราควรได้อีก เราไม่ได้เห็นแก่เงิน แต่มันคือข้อตกลงที่เราจะได้เงินตามนี้เมื่อผ่านโปร ถ้าเขาให้เราตามที่เคยคุยไว้ไม่ได้เขาควรจะบอกตั้งแต่วันที่เราตกลงกัน แชทที่คุยกับหัวหน้าตอนเขา offer งานยังมีอยู่เลยว่าผ่านโปร 23k เราก็เลยไปปรึกษา HR ขอ HR เข้าไปคุยกับประธานอีกครั้ง เราจึงได้คุยกับประธาน2ครั้งในวันเดียว
พอคุยกับประธานอีกครั้งลำพัง เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหัวหน้าเราเป็นคนแบบนี้ ประธานบอกเราว่าสงสัยเมื่อกี๊พูดอะไรผิดไป แต่เขาตกลงกับหัวหน้าไว้แล้วจะขึ้นเงินเดือนให้เราเดือนหน้า ยังไม่ใช่เดือนนี้ และอ้างเหตุผลสารพัดที่เราไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเขาจะขึ้นเงินเดือนเราพร้อมกับพี่อีกคนในแผนก เพราะเงินเดือนของเราและของพี่คนนั้นมีความ "เหลื่อมล้ำ" กัน ถ้าเกิดพนักงานคุยกันแล้วรู้ว่าเงินเดือนได้ไม่สมเหตุสมผลกับอีกคนก็จะมีปัญหาอีก อีกคำพูดที่เรารับไม่ได้เลยคือ "เงินเดือนบอกว่าจะขึ้นให้ตอนผ่านโปร แต่ไม่ได้บอกว่าเดือนไหน ผ่านโปรก็แฮปปี้แล้วไม่ใช่หรอ" และคำพูดอื่นๆที่ไม่มีความ make sense อีกมากมายหลายคำพูด
สรุปเงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ดี แถมยังเพิ่มคำถามให้เราอีกว่าเรากำลังทำงานให้คนแบบไหนกันแน่ ตั้งแต่เกิดมาก็เพื่อจะเจอคำพูดว่า "ขึ้นเงินเดือนให้ผ่านโปรแต่ไม่ได้บอกว่าเดือนไหน" ก็ครั้งนี้นี่แหละ
แล้วเงินเดือนเรามันไปเกี่ยวกับเงินเดือนของพี่อีกคนได้ยังไง? แล้วพนักงานที่ไหนเขาคุยกันเรื่องเงินเดือน มันเป็นเรื่องมารยาทเบื้องต้นไม่ใช่หรอที่ห้ามถามเงินเดือนคนอื่น? มันเป็นเรื่อง confidential ไม่ใช่หรอ?
การกล้าไปคุยกับประธานเรื่องเงินเดือนวันนั้น แน่นอนว่าทำให้ image เราดูแย่ลงไปแน่ๆ แต่เราไม่สนใจแล้ว เพราะมันทำให้ทุกอย่าง clear ว่าเราไม่เหลือใจจะทำงานให้กับที่นี่อีก ตลอดระยะเวลาถึงมันจะไม่กี่เดือน เรามั่นใจว่าเราทำงานเต็มที่ เพิ่มยอดขายให้บริษัท แต่ตัวเองไม่ได้ commission สักบาท คิดว่าต้องลาออกแน่นอน เพราะยิ่งถ้าหัวหน้ารู้ว่าไปคุยกับประธานเรื่องเงินอีก หัวหน้าจะมีอคติกับเรา และจะบีบเราออกเหมือนกับที่เขาเคยมีอคติประหลาดๆกับคนอื่นๆ แล้วจบด้วยคนเหล่านั้นต้องลาออกแน่ๆ
ปัญหาที่อยากถามตอนนี้คือ
1. ก่อนอื่นต้องขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ (หรือบางคนที่ใช้เครื่องมือ ctrl+F มาที่บรรทัดนี้ก็ตาม) จากที่อ่านมา เราอยากรู้ว่า เราเองรึเปล่าที่โหยหาความก้าวหน้า เงินเดือนสูงๆ และการประสบความสำเร็จ เพราะนั่นแหละ จากที่เกริ่นไว้บนบรรทัดแรกๆ "อะไรที่เราไม่มั่นใจ มันมักจะใช่เสมอ" เราเลยมีความคิดว่า เราเองสินะ ที่ทำตัวรีบประสบความสำเร็จมากเกินไป
2. ตอนนี้อายุ 23 ค่ะ แต่ถ้าลาออกจากงานนี้เท่ากับว่าผ่านการทำงานมา 2 ที่แล้ว ถ้าไปสมัครงานที่ใหม่เขาจะมองว่าเราไม่ทนงานรึเปล่าคะ ลาออกตอนนี้จะทำให้ประวัติเราเสียมั้ย
3. เรื่องเงินเดือน คนที่ไม่สนิทกันเขาก็จะไม่พูดให้รู้ของกันและกัน ถูกต้องมั้ยคะ?
4. ส่วนใหญ่แล้วถ้าตกลงว่าเงินเดือนจะให้เพิ่มตอนผ่านโปร (เช่น ผ่านโปรปลายเดือนมกราคม เดือนกุมภาพันธ์ก็จะได้เงินเดือนเรทใหม่เลย) ก็คือได้ทันทีใช่มั้ยคะ
5. เงินเดือนพนักงานคนอื่นในแผนก มีผลต่อเงินเดือนของเราด้วยหรอคะ
ที่มาถามที่นี่ เพราะประธานใช้คำพูดว่า "เรื่องปัจจัยการขึ้นเงินเดือน บางปัจจัยเราก็บอกพนักงานไม่ได้" แต่นี่มันเกี่ยวกับเงินที่เราควรจะได้ เราไม่ทราบว่ามีเหตุผลไหนที่เราไม่ควรรู้เหตุผล ยังไงก็ขอบคุณถ้ามี HR หรือพนักงานบริษัทอื่นๆมาตอบคำถาม และตามอ่านจนจบแม้เนื้อเรื่องจะยาวขนาดนี้นะคะ
/พับไมค์ไหว้ย่อ
[เรื่องยาว] ดราม่าชีวิตพนง.เงินเดือน วอนขอคำแนะนำจาก HR และเพื่อนมนุษย์เงินเดือนหน่อยค่ะ
ครูตอบนักเรียนคนนั้นไปว่า "ถ้าหนูลังเลหรือมไม่มั่นใจ นั่นก็แสดงว่าใช่ค่ะ"
คำตอบนี้ของครูท่านนั้นยังแวะเวียนมาสั่งสอนเรา เมื่อเรารู้สึกไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง ไอ้สิ่งที่เราไม่มั่นใจนั่นแหละ มักจะ "ใช่" เสมอ
เด็กประถมวันนั้น กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนในวันนี้แล้ว และเป็นช่วงที่คำตอบของครูท่านนั้นดังในหัวเรามากที่สุด
ถ้าอยากอ่านเนื้อๆ แนะนำให้เลื่อนไปอ่าน spoil หัวข้อ "จุดพีค" และช่วงคำถาม ให้เสิชว่า "ปัญหาที่อยากถาม" ค่ะ
Background ชีวิตของศรี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จุดพีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปัญหาที่อยากถามตอนนี้คือ
1. ก่อนอื่นต้องขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ (หรือบางคนที่ใช้เครื่องมือ ctrl+F มาที่บรรทัดนี้ก็ตาม) จากที่อ่านมา เราอยากรู้ว่า เราเองรึเปล่าที่โหยหาความก้าวหน้า เงินเดือนสูงๆ และการประสบความสำเร็จ เพราะนั่นแหละ จากที่เกริ่นไว้บนบรรทัดแรกๆ "อะไรที่เราไม่มั่นใจ มันมักจะใช่เสมอ" เราเลยมีความคิดว่า เราเองสินะ ที่ทำตัวรีบประสบความสำเร็จมากเกินไป
2. ตอนนี้อายุ 23 ค่ะ แต่ถ้าลาออกจากงานนี้เท่ากับว่าผ่านการทำงานมา 2 ที่แล้ว ถ้าไปสมัครงานที่ใหม่เขาจะมองว่าเราไม่ทนงานรึเปล่าคะ ลาออกตอนนี้จะทำให้ประวัติเราเสียมั้ย
3. เรื่องเงินเดือน คนที่ไม่สนิทกันเขาก็จะไม่พูดให้รู้ของกันและกัน ถูกต้องมั้ยคะ?
4. ส่วนใหญ่แล้วถ้าตกลงว่าเงินเดือนจะให้เพิ่มตอนผ่านโปร (เช่น ผ่านโปรปลายเดือนมกราคม เดือนกุมภาพันธ์ก็จะได้เงินเดือนเรทใหม่เลย) ก็คือได้ทันทีใช่มั้ยคะ
5. เงินเดือนพนักงานคนอื่นในแผนก มีผลต่อเงินเดือนของเราด้วยหรอคะ
ที่มาถามที่นี่ เพราะประธานใช้คำพูดว่า "เรื่องปัจจัยการขึ้นเงินเดือน บางปัจจัยเราก็บอกพนักงานไม่ได้" แต่นี่มันเกี่ยวกับเงินที่เราควรจะได้ เราไม่ทราบว่ามีเหตุผลไหนที่เราไม่ควรรู้เหตุผล ยังไงก็ขอบคุณถ้ามี HR หรือพนักงานบริษัทอื่นๆมาตอบคำถาม และตามอ่านจนจบแม้เนื้อเรื่องจะยาวขนาดนี้นะคะ
/พับไมค์ไหว้ย่อ