เรียนภาษายังไงให้ได้ผลกันครับ???


สวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้ ในฐานะที่เป็นเด็กศิลป์ภาษามาเป็น 10 ปี เรียนภาษามา3-4 ภาษาตั้งแต่ภาษาอังกฤษต่อมาก็ฝรั่งเศสแล้วมาจบตรงที่ภาษาญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ชอบฝึกภาษาประเทศนั้นๆก่อนจะไปด้วย (ชอบแบบเซอร์ไววัล555)

จึงอยากมาสอบถามเพื่อนๆครับว่าเพื่อนๆมีวิธีการเรียนภาษาที่คิดว่าได้ผลกันอย่างไรบ้างครับ??

สำหรับผมก็อยากมาแชร์สไตล์การเรียนรู้ภาษาที่ผมเคยใช้แล้วมันใช้ได้ผลจริงๆ

หลายๆท่านคงจะเคยได้ยินคำถามว่า...

"เด็กทารกเรียนภาษาเพียงแค่ 2-3 ปีก็สามารถพูดภาษานั้นได้ ในระดับเนทีฟ ในขณะที่ผู้ใหญ่ทั่วๆไป(โดยเฉพาะในบ้านเรา) เรียนภาษา (อังกฤษ) 12 ปี....ทำไมถึงยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้?"


คำตอบก็คือ

ในการเรียนในการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนปกติในปัจจุบันของไทยเรา "ยังมีการเรียนการสอนแบบเก่าอยู่" ซึ่งเน้นใน "การอ่านและเขียน"

ถามว่ามีประโยชน์ไหม

มีสิ!! ในการสอบเพียงเท่านั้นนะครับ!


แต่ปัญหาคือ มันไม่ค่อยเอื้อให้ผู้เรียนสามารถ"สื่อสาร" ภาษาอังกฤษได้มากเท่าไหร่

ถามว่าทำไม?? .....ก็เพราะว่าการเรียนการสอนแบบนี้ เรียงลำดับความวำคัญผิดครับ


การเรียนที่โรงเรียนสามัญเป็นการเรียน อ่าน-เขียน ก่อน แล้วค่อย เรียนการฟังและการพูด

เราจะเห็นนะครับว่าในโรงเรียนสามัญปกติทั่วไปเริ่มแรกเลยจะเน้นการอ่านและเขียนเป็นหลัก เปิดตำราอ่านคุณครูสอนให้เขียนตาม

แล้วหลังจากที่เรียนขึ้นไปในระดับสูง....ม 2 ม 3 ม 4 ม 5 ถึงจะมีการเรียนภาษาอังกฤษ Reading speaking

ซึ่งจริงๆแล้ว การเรียนตามธรรมชาติของมนุษย์ เนี่ยมันต้องเรียงลำดับแบบนี้ครับ

ฟัง - พูด - อ่าน- เขียน

ฟังเสียงหลังจากนั้นพูดตาม คาดเดาความหมาย ฟังและพูดซ้ำ แล้วค่อยสรุปความหมาย

....ท้ายสุดคือ....อ่านและเขียน...ครับซึ่งอันนี้ก็เป็นการเรียนสไตล์แบบเด็กทารกนั่นเอง ซึ่งจะเห็นว่าการเรียนโรงเรียนเนี่ย มันกลับกันหน้ามือเป็นหลังมือเลย...

ทำไมต้องเรียนภาษาแบบเด็กทารก???

เหตุผลก็เพราะว่าการเรียนภาษาแบบทำเด็กทารกนั้น เป็น "การสร้างความเคยชินมากกว่าสร้างความจำ" ในการเรียนภาษาครับ ซึ่งนี่แหละเป็นคีย์หลักที่จะทำให้เราสามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศนั้นๆได้

ยกตัวอย่างเช่น

เวลาเราจะพูดว่า This is a cat

ถ้าเราเรียนแบบเก่า คือ เรียนเป็นไวยากรณ์ อ่านเขียนก่อน  เวลาเราจะพูดคำนี้ เราต้องคิดในหัวก่อนว่า
....โอเค คำว่าแมวคือ cat
....นี่= this
....ส่วน คือ ..เอ่อ ประธานสรรพนามบุรุษที่ 3 เอกพจน์ v to be คือ is....

โอเคได้แล้ว!!! This is a cat!

....ครับ กว่าจะได้ประโยคนี้มันช่างเหนื่อยยากลำบากแสนเข็ญ T_T กว่าจะพูดออกมาต้องคิดแล้วคิดอีกไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรอฟังอยู่หรือเปล่าด้วย (เศร้ส) อาจจะเปลี่ยนเรื่องไปนานแล้วระหว่างที่เรากำลังคิดก็ได้ (ไม่รอตรูเลย!)

แต่ๆๆๆๆ กลับกันครับ การเรียนแบบเด็กทารกนั้น จะทำให้เราสื่อสารไปได้ทันที!!!

เพราะอะไร

เพราะการเรียนแบบนี้จะช่วยทำให้เรา "เคยชินกับภาษา"

วิธีการก็คือ...
เริ่มแรกฝึกอาจารย์จะให้เราฝึกพูดตามก่อนเป็นอันดับแรก

เช่น This is a cat. This is a dog.   This is an Elephant...This Is a.... ไปเรื่อยๆโดยอาจจะมีรูปประกอบด้วยจะได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น


จากนั้นก็จะให้นักเรียนเดา ว่าที่พูดตามครูไปนั้นมันแปลว่าอะไร หลังจากเดากันไปเสร็จสรรพเรียบร้อย อาจารย์ก็จะสรุปความหมายให้ ว่าที่นักเรียนพูดตามครูไปนั้น เป็นรูปประโยคว่า "นี่คือ...." นะจ๊ะ

แล้วก็ฝึกพูดตามอาจารย์อีกรอบหนึ่ง วนไป (ถ้าเวลาอำนวย)  

ท้ายสุดถึงค่อย มาฝึก "อ่านและเขียน" ประโยคพวกนี้กันอีกสักรอบเป็นการทบทวนไปในตัว

ที่นี้เวลานักเรียนกลับไปฝึกที่บ้านเองเป็นการบ้านก็ใช้วิธีการพูดซ้ำซ้ำไปเรื่อยๆครับ

อาจจะเป็นประโยคเดียวไปเลยเช่น This is a cat ....วนไปได้เรื่อยๆ 30 รอบก่อนนอน

วิธีนี้จะทำให้ปากและหูเราเคยชินกับรูปประโยค This is a .....

ฉะนั้นเมื่อเกิดสถานการณ์จริง....


สมมุติเราจะพูดว่า "นี่คือหมา" เราที่มีความเคยชินกับรูปประโยค This is a cat. อยู่แล้ว....เพียงแค่เปลี่ยน cat เป็น dog เข้าไปในรูปประโยคนี้เท่านั้น! (อาจต้องใช้เวลาคิดนิดนึงว่า หมา ภาษาอังกฤษคืออะไร ยิ่งสุดก็สามารถทำให้เราฝึกไประหว่างพูได้เร็วขึ้น ยิ่งทำให้พูดได้เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นืโดยที่ไม่ต้องคิดนานเลยครับ)

วิธีนี้จะทำให้เราสามารถพูดสื่อสารกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากกว่าการเรียนแบบเก่า (ที่ต้องคิดซับซ้อนหลายขั้นตอน)

นี่เป็นวิธีการเรียนแบบเด็กทารกคร่าวๆครับ (งงกันไหม 55)

แล้วเป็นเพื่อนๆหล่ะ ครับมีวิธีการเรียนภาษากันอย่างไร??? ยังไงถ้ามีวิธีดีๆๆ ก็ลองแชร์วิธีการเรียนภาษาของเพื่อนๆมาแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ

ฝากลิงค์ความรู้เรื่องการเรียนภาษาด้วยครับ
ใครสนใจเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบฟรีๆ ก็ติดตามกันได้ ขอบคุณคร้าบ

เข้ามาที่นี่ครับบ
วิธีการเรียนภาษาแบบเด็กทารก

ขอบคุณรูปภาพน่ารักๆ
https://president.jp/articles/-/21165
https://eisuki.jp/kids-method-how-to-learning

http://www.theactkk.net/home/homenew1/print_news.asp?id=3329
http://www.thaigoodview.com/node/105886

https://www.azra.ba/teme/50068/pas-boo-bio-je-ljubimac-engleske-kraljice-victorije/attachment/boo-puppie-for-sale/
http://karapaia.com/archives/52240856.html
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่