
EBC (Everest Base Camp) trip ปฐมบท การเดินทางไปสู่จุดเริ่มต้นของการพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส ใช่ครับเรากำลังจะพาทุกคนไปฟังประสบการณ์การเดินทางไปยังจุดเริ่มต้น แค่จุดเริ่มต้นของผู้ที่ต้องการไปพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส ถ้าใครที่เคยดูหนังเรื่อง Everest หรือ ได้อ่านหนังสือเรื่อง into the thin air นี่คือสิ่งที่หนังไม่ได้เล่า
ตั้งแต่ผมได้ทราบเรื่องจากพี่สาวผมว่าเค้าจะชวนไปทริปนี้ บอกก่อนเลยผมไม่เคยมีไอเดียนี้ในหัวมาก่อน พอเริ่มรู้ว่าจะต้องไปจริงๆ ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งทริปนี้ต้องเตรียมตัวมากพอสมควรทั้งอุปกรณ์ ค่าใช้จ่าย แล้วก็ร่างกาย ผมเริ่มเข้ายิมตั้งแต่ 6 เดือนก่อนจะถึงทริปนี้โดยเพิ่มน้ำหนักตัวเองขึ้นมา 10 กิโล จาก 69 ไป เป็น 79 แล้วค่อยลดมาเป็น 75 กิโล ประกอบกับช่วงนั้นเรียนปโท อยู่เลยว่างพอที่จะไปเข้ายิมทุกวันเฉลี่ยวัน 3-6 ชม ต่อวัน แต่ระหว่างที่เข้ายิมไปนั้นก็อ่านข้อมูลมาเจอว่ามันมีโรคอยู่โรคหนึ่งที่ถ้าเป็นอาจจะทำให้เดินไปได้ไม่จบทริป นั้นคือ AMS (Acute Mountain sickness)
โรค AMS (Acute Mountain sickness) คือ เกิดจาการที่เราขึ้นไปบนที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ โดยระดับพื้นที่ที่จัดว่าสูงนั้น
แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1.ความสูง1,500-3,500 เมตร
2.ความสูงมาก 3,500-5,500 เมตร
3.ความสูงสุดขีด 5,500 เมตรขึ้นไป
ซึ่งโรคนี้อาการความรุนแรงจะรุนแรงขึ้นตามระดับความสูง เกิดจากการที่ออกซิเจนไม่เพียงพอ และอากาศหนาวเย็นร่างกายจึงต้องการออกซิเจนมากขึ้น ซึ่งโรคนี้ไม่ได้รับประกันว่าร่างกายแข็งแรงแล้วจะรอด เพราะมันเกิดได้จาก ยีนส์หรือ ดีเอ็นเอในตัวเราซึ่งเกิดเป็นข้อสันนิษฐานได้ง่ายๆโดยดูจากบรรพบุรุษหรือพ่อแม่ของเราถ้าท่านเคยไปเที่ยวที่สูงๆ แล้วมีอาการไหมให้ทำใจได้เลยว่าเป็นแน่ ซึ่งกรณีของผมเคยมีญาติๆทางแม่เคยไปเที่ยวภูฐานแล้วมีอาการจนต้องนอนพร้อมให้ออกซิเจน ผมเลยรู้ตั้งแต่ก่อนไปแล้วว่า ตัวผมนั้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็น 90 เปอร์เซ็นต์แน่นอน ข้อมูลเพิ่มเติม
https://www.thaitravelclinic.com/blog/th/other-travel-tips/altitude-sickness2-symptoms-and-preventio.html ซึ่งวิธีป้องกันเบื้องต้นนั้นคือกินยา Diamox โดยกินวันละเม็ดความจริงควรกินตั้งแต่ถึงเลยแต่ด้วยความที่ไกด์เราบอกว่าถ้ากินแล้วยิ่งอยากกินน้ำมากขึ้นเลยตัดสินใจยังไม่กิน แล้วก็ถ้าระหว่างทางมีอาการก็ให้กินน้ำขิงกับซุปกระเทียม หรือกินกระเทียมสดเลยจะช่วยได้

เส้นทางที่เดิน


นี่คือทุกสิ่งที่เราจะเอาไปทริปนี้คงหนีไม่พ้นอุปกรณ์เดินเขา กันหนาว ของกิน และยารักษาโรค ถุงนอน กล้องและอื่นๆ เราต้องยัดทุกอย่างเข้าไปในกระเป๋าซึ่งมันแน่นซะเหลือเกินอุปกรณ์ทั้งหมดผมส่วนใหญ่ยี่ห้อ Trespass รองเท้า Northface #Trespass #Northface

ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิไปที่กาตมันดุจ้า อันนี้ไม่ได้ทำวีซ่าจากไทยไปนะไปทำขาเข้าประเทศเลยเน้นสะดวก โดนไป 450 บาท เห็นเค้าบอกว่าจริงๆต้องแค่ 300 บาท ตอนแรกจะจ่ายเป็นเงินดอลล่า แต่เค้าบอกให้จ่ายเป็นเงินไทยเราคนซื่อเลยจ่ายไปกลัวเค้าไม่ให้เข้าประเทศ
ไปถึงก็เจอไกด์ที่สนามบินแล้วพามาขึ้นรถ อันนี้ต้องเตือนก่อนเลยว่าจะมีอาชีพช่วยขนของแถวหน้าสนามบินจะพยายามมาช่วยเรายกโน้นนี่แล้วเราจะต้องจ่ายให้ซึ่งตรงนี้ไกด์เราก็ไม่เกี่ยวนะคือถ้าเราให้เค้าช่วยเราต้องจ่ายควรเตรียมเงินไปให้พร้อมเลย ไม่งั้นอาจจะต้องจ่ายเยอะเพราะหยิบได้แบงใหญ่ นี่ก็หยิบแบงเล็กสุดได้ 5 ดอลล่า เสียใจมาก ไปที่พักรถติดระดับนึงแต่น้อยกว่าบ้านเราเยอะถ้าคุณผ่านรถติดกรุงเทพได้ก็ไม่มีที่ใดในโลกให้กลัวรถติดอีกแล้ว


ความจริงเราจะเดินเส้นที่ยากแต่คนไทยอีกกลุ่มที่มาก่อนบอกทางนั้นโหดมากลัวไปไม่ถึงเลยเอาทางง่ายสุดก่อน เพราะกลุ่มนั้นก็ต้องกลับก่อนไปถึง EBC เลยบอกไกด์ว่าเอาทางง่ายก่อนละกัน ไกด์เราใช้ของเจ้านี้บริการดีมากไกด์เก่งมากจริงๆhttp://www.clearskytreks.com/

หลังจากวางแผนกับไกด์ว่าเราจะเดินทางเส้นไหนยังไงเเล้วก็ทานข้าวก่อนจะไม่ได้ทานอะไรดีๆอีก กลับมาห้องเอานำ้หนักกระเป๋าออกอีก 5 กิโลเพราะสายการบินที่จะไปให้โหลดได้แค่ 15 กิโล และเชอปาเราจะแบกของแค่ใบละ 10 กิโลเลยต้องจัดการทิ้งของไว้ที่โรงแรมบางส่วน

ตื่นแต่เช้าตี 5 มาสนามบินขาเข้าเจอซอมบี้มาจะขอตังค่าขนเราเลยยกเองทั้งหมดกลัวต้องจ่ายตังอีก ระบบตรวจของที่นี่คืออินดี้มากจัดการเองเกือบทุกอย่าง ไกด์ก็เข้าไปติดต่อเรื่องตั๋วเครื่องบินให้

นี่คือกระเป๋าที่ทุกคนใช้เวลาปีนเพราะมันจุได้เยอะ กันน้ำเหมาะแกการฝากเชอปาแบก (เชอปาคือลูกหาบ)

ได้ตํ๋วมาแล้วจ้านั่งรอเครื่องไป ไม่มีเวลาบินแน่นอน เพราะก็ไม่รู้จะบินเมื่อไหร่เหมือนกัน 555+ (เพราะมันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่เมือง ลุคลา สนามบินนี้มันอันตรายมากจึงต้องเชคสภาพอากาศก่อนขึ้นบิน)

อันนี้คือของอาหารเช้าโรงแรมเอามากินที่สนามบินเพราะกินไม่ทัน(ปกติเค้ากินกัน 6 โมง) ก็สภาพอย่างที่เห็น กินเพื่ออยู่ เอาว่าขอให้มีอะไรกินก็พอแล้ว

มาตั้งแต่ตี 5 นั่งรอจน 10 โมง ก็ยังไม่ได้ขึ้นเครื่อง รอนานโคตรคืออากาศมันไม่ดีสายการบินเลยไม่เอาเครื่องขึ้น จนเค้าเรียกไปขึ้นรถเพื่อไปขึ้นเครื่อง แต่ยังไม่ได้ขึ้น มีรถบัสจอดรอกันอยู่ตั้งสามคัน เรารถได้แต่นั่งรอนั่งหลับ คือตื่นเต้นจนหายตื่นเต้นละ

รอต่อไปแบบไม่รู้เมื่อไรจะได้ขึ้นเครื่อง จนคนเริ่มหิว ข้างหน้านี่ล่อเอาขนมปังมา-กันเลยจ้า

รอจนบ่าย เกือบบ่ายสอง ไกด์เราไปช่วยคุยจนเค้ายอมเอาเครื่องขึ้น

ทุกคนดีใจเวอร์ที่จะได้ไปสักที ตอนขึ้นเครื่องแอร์จะเอาลูกอมกับสำลีมาให้ ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าจะเอาสำลีมาทำไม พึ่งมาเห็นว่า ออ เค้าให้มาอุดหู

พอเครื่องเริ่มขึ้นเท่านั้นละเมฆหนาตลอดทางเรียกว่านั่งไปก็ใจคอไม่ดีไปเพราะเราก็รู้ว่ามันอาจจะจบทริปตั้งแต่ตอนนี้ เครื่องก็สั่นใจคอเริ่มกังวล สักพักฝนเริ่มตกหนัก มีตกหลุมอากาศเป็นพักๆ มีลูกใหญ่บ้างเล็กบ้างพยายามหลับก็แล้ว สักพักตกหลุมอากาศลูกใหญ่เรียกว่าฝรั่งที่นั่งหน้านี่กรี้ดออกมาเลย(ผู้ชายกรี้ดอะคิดดู) ตอนนั้นก็ใจหายเหมือนกันนึกว่าเครื่องตก นั่งเกร๊งกันไปจนมาเข้าบริเวณที่จะลง เห็นหมู่บ้านอยู่ข้างรันเวย์ แล้วเครื่องก็ลงจอดเลย เฮ้ยบ้านอยู่ข้างรันเวย์ แล้วบ้านและรันเวย์อยู่ติดเหว แบบพอเห็นของจริงแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งในสนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก เครื่องมาถึงลงแล้วเลย แบบมันแปลกมากจริงๆ หันมามองฝรั่งที่นั่งข้างๆแบบอารมณ์ว่าทึ่งในความเป็นสนามบินที่นี่เลย แบบลงแบบนี้เลยจริงดิ เรียกว่าฝรั่งคงร้อง เชดดดดด อยู่ในใจ แล้วเครื่องก็เบรคเรียกว่าผ่านด่านหินไปได้

นี่ละครับสายพานของสนามบินลุคลา

ดูจากกระดาษที่ติดเอาว่าเบอร์ตรงไหม ปลอดภัยมาก

มาถึงที่ร้านอาหารแรกไกด์ก็บอกว่าเราต้องรีบออกเดินเเล้วนะเพราะเครื่องเรามาช้าเดี๋ยวจะถึงั้พักมืดให้รีบจัดของที่ต้องใช้ระหว่างทางเข้าเป้บนหลัง สั่งอาหารที่กินง่ายมา รีบกินละรีบไป
อันนี้ของผมเน้นง่ายไว้ก่อนกินเสร็จรีบเข้าห้องน้ำ สั่งน้ำมา 3 ขวด ตอนผมเริ่มกินข้าที่นี่คือมีอาการปวดหัวหน่อยๆ ไกด์บอกไม่น่าจะเป็นอะไร อาการเหมือนไม่สบายผมพกน้ำใส่หลังไปสองลิตรเพราะปกติกินน้ำเยอะ ไกด์บอกว่ายังไม่ต้องกิน Diamox เพราะจะทำให้กินน้ำเยอะกว่าเดิมเลยยังไม่กินยา
มาถึงที่ร้านอาหารแรกไกด์ก็บอกว่าเราต้องรีบออกเดินเเล้วนะเพราะเครื่องเรามาช้าเด่ยวจะถึงมืดให้รีบจัดของที่ต้องใช้ระหว่างทางเข้าเป้บนหลัง สั่งอาหารที่กินง่ายมารีบกินละรีบไป

หลังจากกินอาหารเสร็จก็เริ่มออกเดินประมาณ 4 ชม. เพื่อไปถึงที่พักแรก Phakdingที่ความสูง 2,640 เมตร

ทางวันแรกก็จะสบายๆมีลื่นบ้างเพราะฝนตกตลอดทาง ล้มไปสองสามรอบเลอะไปหมด


เดินมาจะถึงที่พักคือเริ่มมีอาการล้าเมื่อย แล้วทางเข้าโรงแรมก็แบบเหมือนแกล้งกันมาก คือบันไดชันและสูงมากแต่ละขั้นคือจะไกลไปไหน ขานี่แทบจะตายอยู่เเล้ว ทำร้ายขามาก ห้องนอนก็ประมาณนี้เหมือนเอาแค่กันลมกันฝนอะเป็นไม่อัดมากั้นๆ มีช่องระหว่างประตูคืออากาศเย็นก็ยังเข้ามาอยู่ดี

ห้องอาหารมีที่ชาร์จให้บริการ แต่คิดเงินนะ ที่นี่ไม่มีอะไรฟรี มื้อแรกก็กินง่ายๆพิซซ่า เช็ดตัวด้วยทิชชู่เปียกเอาแทนการอาบน้ำ ดีที่ห้องน้ำที่นี่ยังเป็นชักโครกอยู่ แต่น้ำเย็นโคตร ที่ฉีดตูดนี่เลิกคิดไปได้เลย ก่อนนอนก็ทายาแก้เมื่อยยืดเส้นเตรียมชุดเพราะพรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้า


มื้อเช้ามาแบบเต็มที่ คือไกด์เราจะให้เราสั่งได้มื้อนึงอาหารหนึ่งอย่างกับชาหรือกาแฟฟรี 1 แก้ว ต่อ 1 มื้อนอกนั้นต้องจ่ายเอง
ไม่ลืมทีเด็ดช่วยชีวิตเพื่อให้อาหารมีรสชาติมากขึ้น นั้นคือแม็คกี้

วันที่ 2 ของการเดินทาง : ก่อนออกเดินทางก็แพ็คกระเป๋าให้เชอปาไปแบก แล้วเริ่มเดินกันเลย วันนี้ก็จะเดินประมาณ 6-8 ชม.

มีสะพานเป็นระยะๆ


เส้นทางก็จะออกธรรมชาติมากๆ อากาศดี ทางก็จะมีตั้งแต่ขึ้นชันมากชันน้อยแล้วแต่จุด

วิวดี อากาศเริ่มร้อนจนต้องขอเข้าไปถอดลองจอน ตอนเเรกนึกว่าจะหนาวแบบในที่ห้องพัก

เวลาเจอที่เป็นเจดีย์อันนี้เค้าบอกให้เดินวนซ้าย




เวลาเจอสะพานยาวๆแบบนี้ ต้องรีบข้ามนะถ้าช้ามีฝูง Yak (เหมือนวัวกับควายขนยาวๆแต่ที่นี่เรียกว่า ยัก) มาจะโดนอัดแบบนี้
[CR] Road to EBC (Everest Base Camp)
ตั้งแต่ผมได้ทราบเรื่องจากพี่สาวผมว่าเค้าจะชวนไปทริปนี้ บอกก่อนเลยผมไม่เคยมีไอเดียนี้ในหัวมาก่อน พอเริ่มรู้ว่าจะต้องไปจริงๆ ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งทริปนี้ต้องเตรียมตัวมากพอสมควรทั้งอุปกรณ์ ค่าใช้จ่าย แล้วก็ร่างกาย ผมเริ่มเข้ายิมตั้งแต่ 6 เดือนก่อนจะถึงทริปนี้โดยเพิ่มน้ำหนักตัวเองขึ้นมา 10 กิโล จาก 69 ไป เป็น 79 แล้วค่อยลดมาเป็น 75 กิโล ประกอบกับช่วงนั้นเรียนปโท อยู่เลยว่างพอที่จะไปเข้ายิมทุกวันเฉลี่ยวัน 3-6 ชม ต่อวัน แต่ระหว่างที่เข้ายิมไปนั้นก็อ่านข้อมูลมาเจอว่ามันมีโรคอยู่โรคหนึ่งที่ถ้าเป็นอาจจะทำให้เดินไปได้ไม่จบทริป นั้นคือ AMS (Acute Mountain sickness)
โรค AMS (Acute Mountain sickness) คือ เกิดจาการที่เราขึ้นไปบนที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ โดยระดับพื้นที่ที่จัดว่าสูงนั้น
แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1.ความสูง1,500-3,500 เมตร
2.ความสูงมาก 3,500-5,500 เมตร
3.ความสูงสุดขีด 5,500 เมตรขึ้นไป
ซึ่งโรคนี้อาการความรุนแรงจะรุนแรงขึ้นตามระดับความสูง เกิดจากการที่ออกซิเจนไม่เพียงพอ และอากาศหนาวเย็นร่างกายจึงต้องการออกซิเจนมากขึ้น ซึ่งโรคนี้ไม่ได้รับประกันว่าร่างกายแข็งแรงแล้วจะรอด เพราะมันเกิดได้จาก ยีนส์หรือ ดีเอ็นเอในตัวเราซึ่งเกิดเป็นข้อสันนิษฐานได้ง่ายๆโดยดูจากบรรพบุรุษหรือพ่อแม่ของเราถ้าท่านเคยไปเที่ยวที่สูงๆ แล้วมีอาการไหมให้ทำใจได้เลยว่าเป็นแน่ ซึ่งกรณีของผมเคยมีญาติๆทางแม่เคยไปเที่ยวภูฐานแล้วมีอาการจนต้องนอนพร้อมให้ออกซิเจน ผมเลยรู้ตั้งแต่ก่อนไปแล้วว่า ตัวผมนั้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็น 90 เปอร์เซ็นต์แน่นอน ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.thaitravelclinic.com/blog/th/other-travel-tips/altitude-sickness2-symptoms-and-preventio.html ซึ่งวิธีป้องกันเบื้องต้นนั้นคือกินยา Diamox โดยกินวันละเม็ดความจริงควรกินตั้งแต่ถึงเลยแต่ด้วยความที่ไกด์เราบอกว่าถ้ากินแล้วยิ่งอยากกินน้ำมากขึ้นเลยตัดสินใจยังไม่กิน แล้วก็ถ้าระหว่างทางมีอาการก็ให้กินน้ำขิงกับซุปกระเทียม หรือกินกระเทียมสดเลยจะช่วยได้
ไปถึงก็เจอไกด์ที่สนามบินแล้วพามาขึ้นรถ อันนี้ต้องเตือนก่อนเลยว่าจะมีอาชีพช่วยขนของแถวหน้าสนามบินจะพยายามมาช่วยเรายกโน้นนี่แล้วเราจะต้องจ่ายให้ซึ่งตรงนี้ไกด์เราก็ไม่เกี่ยวนะคือถ้าเราให้เค้าช่วยเราต้องจ่ายควรเตรียมเงินไปให้พร้อมเลย ไม่งั้นอาจจะต้องจ่ายเยอะเพราะหยิบได้แบงใหญ่ นี่ก็หยิบแบงเล็กสุดได้ 5 ดอลล่า เสียใจมาก ไปที่พักรถติดระดับนึงแต่น้อยกว่าบ้านเราเยอะถ้าคุณผ่านรถติดกรุงเทพได้ก็ไม่มีที่ใดในโลกให้กลัวรถติดอีกแล้ว
อันนี้ของผมเน้นง่ายไว้ก่อนกินเสร็จรีบเข้าห้องน้ำ สั่งน้ำมา 3 ขวด ตอนผมเริ่มกินข้าที่นี่คือมีอาการปวดหัวหน่อยๆ ไกด์บอกไม่น่าจะเป็นอะไร อาการเหมือนไม่สบายผมพกน้ำใส่หลังไปสองลิตรเพราะปกติกินน้ำเยอะ ไกด์บอกว่ายังไม่ต้องกิน Diamox เพราะจะทำให้กินน้ำเยอะกว่าเดิมเลยยังไม่กินยา
มาถึงที่ร้านอาหารแรกไกด์ก็บอกว่าเราต้องรีบออกเดินเเล้วนะเพราะเครื่องเรามาช้าเด่ยวจะถึงมืดให้รีบจัดของที่ต้องใช้ระหว่างทางเข้าเป้บนหลัง สั่งอาหารที่กินง่ายมารีบกินละรีบไป
ไม่ลืมทีเด็ดช่วยชีวิตเพื่อให้อาหารมีรสชาติมากขึ้น นั้นคือแม็คกี้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น