Review: Someone from Nowhere, มา ณ ที่นี้ (ปราบดา หยุ่น, 2018) คะแนน B

By Form Corleone
"ที่แห่งนี้ใครเป็นเจ้าของ..." ถ้าจะให้จัดประเภทหนัง 'Someone from Nowhere' คงจะเป็นภาพยนตร์ที่อยู่ได้หลายกลุ่มหรืออาจจะจัดไม่ได้เลย ผลงานลำดับที่สองต่อจาก 'Motel Mist - โรงแรมต่างดาว(2016) ของผู้กำกับ 'ปราบดา หยุ่น' นักเขียนรางวัลซีไรต์ สำหรับเรายังคงมีความขาดๆเกินๆ และมีไดอะล็อกที่ไม่สนองความเป็นภาพยนตร์เท่าไหร่ ทำให้เรายังมีความคิดว่าถ้างานนี้เป็นงานเขียนคงจะมีความสนุกสนานมากกว่า ช่วงขณะที่ดูเรามีความรู้สึกเบื่อนิดๆกับบทสนทนาระหว่างตัวละครที่ผิดธรรมชาติ ศัพท์ต่างๆที่ตัวละครเลือกใช้จะพบได้ในงานเขียนมากกว่าบทสนทนาในชีวิตประจำวัน ช่วงเวลาของหนัง 1 ชั่วโมง 27 นาที จึงอยู่ในความน่าเบื่อหน่ายในช่วงกลางเรื่อง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อภาพยนตร์จบลงข้อความที่หนังเลือกใช้และประเด็นที่ชวนตั้งคำถามและให้เราได้ขบคิดต่อนั้นน่าสนใจ พร้อมทั้งมีแง่มุมให้เราตีความสัญญะที่หนังแสดงออกมา ทั้งหมดจึงจำเป็นต้องตกผลึกทางความคิดหลังจากที่ภาพยนตร์จบสิ้นลงไปแล้ว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เราชอบงานนี้และหักลบช่วงเวลาน่าเบื่อของหนังไปได้

ประเด็นของการเป็นเจ้าของที่หนังเลือกใช้นำเสนอและดำเนินเรื่องผ่านตัวละครสองตัว ใช้สถานที่เพียงสถานที่เดียวคือห้องพักพร้อมภาพวาดที่เป็นกุญแจสำคัญ ทุกสิ่งอย่างในเรื่องเข้าขั้นมินิมอลลิส แต่ความน้อยของหนังเองกลับสร้างข้อความที่น่าครุ่นคิด 'เมื่อตัวละครตื่นมาแล้วพบว่ามีคนอีกคนมาบอกว่าห้องนี้เป็นห้องของเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้รายละเอียดของห้องนี้เป็นอย่างดี' พล็อตเรื่องแปลกประหลาดแต่แฝงนัยยะไปไกลต่อความเป็นเจ้าของประเทศในที่นี้คือความเป็น 'ชาติ' และหนีไม่พ้นประเด็นการเมืองในบริบทสังคมไทยที่สอดแทรกเอาไว้ เชื่อมโยงทำให้เราคิดถึงความเป็นบริบทการเมืองไทยได้อย่างดี ใครคือเจ้าของที่แท้จริงกันแน่ แล้วใครนิยามว่าพื้นที่นี้คือของใคร ความเป็นชาติหรือความเป็นประเทศนั้นแท้จริงแล้วมันมีอยู่จริงหรือเปล่า? อาณาเขตบริเวณเหล่านั้นคือของใคร คำถามเหล่านี้ถูกตัวละครในเรื่องแย่งชิงแสดงตนและหลักฐานต่อความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และนำพามาซึ่งเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นต่อความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะท้ายสุดแล้ว พื้นที่นี้มันไม่เคยเป็นของใครอยู่แล้วมาตั้งแต่ต้นหรือเปล่า?

แม้ว่าบทสนทนาของหนังจะดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ตัวละครในเรื่องทั้งชาย-หญิง ล้วนมีสติดีและพยายามตั้งสติอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองกำลังเจอเรื่องบ้าอะไรอยู่ นักแสดงทั้งสองคนรับส่งบทและให้อารมณ์ได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะตัวละครฝ่ายหญิงที่พยายามตั้งสติและเตือนสติคนดูอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้น เราเองก็ยังหลุดไปอยู่ในห้วงความรู้สึกฉงนสนเท่ห์ไปกับตัวละครฝ่ายหญิง มึนงงไปกับเหตุการณ์ตรงหน้า พร้อมทั้งหวาดหวั่นน่าวิตก ซึ่งความน่ามึนงงเหล่านี้เองที่ทำให้เราคล้อยตามไปกับเหตุและผลของตัวละครฝ่ายชายอย่างไม่รู้ตัว แต่เราก็ยังคงมีสภาพขัดขืนต่อชุดความคิดที่ตัวละครฝ่ายชายมอบให้ งานภาพของหนังได้ทิ้งคำถามไว้พอสมควรแต่ไม่โดดเด่นเท่าซาวด์ประกอบที่ส่วนตัวชอบมาก การตัดสลับของหนังถือว่าสร้างสรรค์และทำได้แปลกตา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สำคัญคือทำให้เราย้อนนึกถึงการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวใน Motel Mist และมีห้วงเวลาหนึ่งอดคิดไม่ได้ว่าตัวละครเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่าเนี่ย?

ท้ายสุด 'Someone from Nowhere, มา ณ ที่นี้' เป็นภาพยนตร์ที่พยายามทดลองอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าภาพรวมทั้งหมดนั้นแตกต่างจากภาพยนตร์ไทยทั่วไป ข้อจำกัดคือหนังเองมีบทสนทนาแปลกๆและยังขาดความเป็นธรรมชาติ+ความต่อเนื่องจนทำให้รู้สึกเบื่อได้ง่ายๆ แต่ด้วยข้อความที่ต้องการสื่อสารและแง่มุมที่ชวนตีความวิเคราะห์ได้ต่างๆนานา ทำให้ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ช่วงขณะที่ดูแต่เป็นหลังจากได้ดูจบแล้ว เพราะเราได้ขบคิดต่อสิ่งที่ผู้กำกับแอบซ่อนเอาไว้ ทำให้ความคิดของเราแหลมคมมากขึ้น ไม่เฉพาะแค่ความหมายของบริบทการเมืองภายในประเทศ แต่ยังไกลไปถึงสากลของความหมายคำว่า 'ชาติ' ที่ดำรงอยู่และสร้างอาณาเขตแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนมาตั้งแต่สมัยโบราณ...สุดท้ายใครชอบงานสไตล์ตีความน่าจะชอบงานนี้อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าใครชอบงานสายบันเทิงใจงานนี้ไม่น่าจะเหมาะ…

ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง

ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Someone from Nowhere, มา ณ ที่นี้ (ปราบดา หยุ่น, 2018) รีวิวโดย Form Corleone
By Form Corleone
"ที่แห่งนี้ใครเป็นเจ้าของ..." ถ้าจะให้จัดประเภทหนัง 'Someone from Nowhere' คงจะเป็นภาพยนตร์ที่อยู่ได้หลายกลุ่มหรืออาจจะจัดไม่ได้เลย ผลงานลำดับที่สองต่อจาก 'Motel Mist - โรงแรมต่างดาว(2016) ของผู้กำกับ 'ปราบดา หยุ่น' นักเขียนรางวัลซีไรต์ สำหรับเรายังคงมีความขาดๆเกินๆ และมีไดอะล็อกที่ไม่สนองความเป็นภาพยนตร์เท่าไหร่ ทำให้เรายังมีความคิดว่าถ้างานนี้เป็นงานเขียนคงจะมีความสนุกสนานมากกว่า ช่วงขณะที่ดูเรามีความรู้สึกเบื่อนิดๆกับบทสนทนาระหว่างตัวละครที่ผิดธรรมชาติ ศัพท์ต่างๆที่ตัวละครเลือกใช้จะพบได้ในงานเขียนมากกว่าบทสนทนาในชีวิตประจำวัน ช่วงเวลาของหนัง 1 ชั่วโมง 27 นาที จึงอยู่ในความน่าเบื่อหน่ายในช่วงกลางเรื่อง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อภาพยนตร์จบลงข้อความที่หนังเลือกใช้และประเด็นที่ชวนตั้งคำถามและให้เราได้ขบคิดต่อนั้นน่าสนใจ พร้อมทั้งมีแง่มุมให้เราตีความสัญญะที่หนังแสดงออกมา ทั้งหมดจึงจำเป็นต้องตกผลึกทางความคิดหลังจากที่ภาพยนตร์จบสิ้นลงไปแล้ว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เราชอบงานนี้และหักลบช่วงเวลาน่าเบื่อของหนังไปได้
ประเด็นของการเป็นเจ้าของที่หนังเลือกใช้นำเสนอและดำเนินเรื่องผ่านตัวละครสองตัว ใช้สถานที่เพียงสถานที่เดียวคือห้องพักพร้อมภาพวาดที่เป็นกุญแจสำคัญ ทุกสิ่งอย่างในเรื่องเข้าขั้นมินิมอลลิส แต่ความน้อยของหนังเองกลับสร้างข้อความที่น่าครุ่นคิด 'เมื่อตัวละครตื่นมาแล้วพบว่ามีคนอีกคนมาบอกว่าห้องนี้เป็นห้องของเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้รายละเอียดของห้องนี้เป็นอย่างดี' พล็อตเรื่องแปลกประหลาดแต่แฝงนัยยะไปไกลต่อความเป็นเจ้าของประเทศในที่นี้คือความเป็น 'ชาติ' และหนีไม่พ้นประเด็นการเมืองในบริบทสังคมไทยที่สอดแทรกเอาไว้ เชื่อมโยงทำให้เราคิดถึงความเป็นบริบทการเมืองไทยได้อย่างดี ใครคือเจ้าของที่แท้จริงกันแน่ แล้วใครนิยามว่าพื้นที่นี้คือของใคร ความเป็นชาติหรือความเป็นประเทศนั้นแท้จริงแล้วมันมีอยู่จริงหรือเปล่า? อาณาเขตบริเวณเหล่านั้นคือของใคร คำถามเหล่านี้ถูกตัวละครในเรื่องแย่งชิงแสดงตนและหลักฐานต่อความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และนำพามาซึ่งเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นต่อความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะท้ายสุดแล้ว พื้นที่นี้มันไม่เคยเป็นของใครอยู่แล้วมาตั้งแต่ต้นหรือเปล่า?
แม้ว่าบทสนทนาของหนังจะดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ตัวละครในเรื่องทั้งชาย-หญิง ล้วนมีสติดีและพยายามตั้งสติอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองกำลังเจอเรื่องบ้าอะไรอยู่ นักแสดงทั้งสองคนรับส่งบทและให้อารมณ์ได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะตัวละครฝ่ายหญิงที่พยายามตั้งสติและเตือนสติคนดูอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้น เราเองก็ยังหลุดไปอยู่ในห้วงความรู้สึกฉงนสนเท่ห์ไปกับตัวละครฝ่ายหญิง มึนงงไปกับเหตุการณ์ตรงหน้า พร้อมทั้งหวาดหวั่นน่าวิตก ซึ่งความน่ามึนงงเหล่านี้เองที่ทำให้เราคล้อยตามไปกับเหตุและผลของตัวละครฝ่ายชายอย่างไม่รู้ตัว แต่เราก็ยังคงมีสภาพขัดขืนต่อชุดความคิดที่ตัวละครฝ่ายชายมอบให้ งานภาพของหนังได้ทิ้งคำถามไว้พอสมควรแต่ไม่โดดเด่นเท่าซาวด์ประกอบที่ส่วนตัวชอบมาก การตัดสลับของหนังถือว่าสร้างสรรค์และทำได้แปลกตา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สำคัญคือทำให้เราย้อนนึกถึงการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวใน Motel Mist และมีห้วงเวลาหนึ่งอดคิดไม่ได้ว่าตัวละครเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่าเนี่ย?
ท้ายสุด 'Someone from Nowhere, มา ณ ที่นี้' เป็นภาพยนตร์ที่พยายามทดลองอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าภาพรวมทั้งหมดนั้นแตกต่างจากภาพยนตร์ไทยทั่วไป ข้อจำกัดคือหนังเองมีบทสนทนาแปลกๆและยังขาดความเป็นธรรมชาติ+ความต่อเนื่องจนทำให้รู้สึกเบื่อได้ง่ายๆ แต่ด้วยข้อความที่ต้องการสื่อสารและแง่มุมที่ชวนตีความวิเคราะห์ได้ต่างๆนานา ทำให้ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ช่วงขณะที่ดูแต่เป็นหลังจากได้ดูจบแล้ว เพราะเราได้ขบคิดต่อสิ่งที่ผู้กำกับแอบซ่อนเอาไว้ ทำให้ความคิดของเราแหลมคมมากขึ้น ไม่เฉพาะแค่ความหมายของบริบทการเมืองภายในประเทศ แต่ยังไกลไปถึงสากลของความหมายคำว่า 'ชาติ' ที่ดำรงอยู่และสร้างอาณาเขตแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนมาตั้งแต่สมัยโบราณ...สุดท้ายใครชอบงานสไตล์ตีความน่าจะชอบงานนี้อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าใครชอบงานสายบันเทิงใจงานนี้ไม่น่าจะเหมาะ…
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/