บทสรุป -- การขอคืนวงเงินบัตรเครดิต ซึ่งถูกขโมยไปรูดโดยมิจฉาชีพ และ แชร์แนวทางการดำเนินการค่ะ

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ
.
จากกระทู้เดิม ซึ่งตกหน้าไปแล้ว
.
https://pantip.com/topic/37983015
.
คิดว่าวันนี้ได้บทสรุปแล้วค่ะ เลยขอแชร์ประสบการณ์ เพื่อเป็นแนวทางหากเกิดขึ้นกับใครในอนาคตนะคะ ขออนุญาตไม่เล่าความเดิมซ้ำ สามารถอ่านได้ที่กระทู้เดิมค่ะ
.
ตามอัพเดตล่าสุดคือ ทาง KTC เข้ามาพบเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ชี้แจงว่ากำลังดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีอย่างที่เล่าเอาไว้ในกระทู้ก่อน
.
แต่ในส่วนของดิฉันเอง นอกจากการตามเรื่องที่ KTC แล้ว ดิฉันได้ส่ง email ไปทางร้านค้าทั้ง 2 ร้าน นั่นก็คือ Boots และ Starbucks ด้วย ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. โดยเนื้อความเป็นจดหมายอย่างเป็นทางการ เล่าเหตุการณ์พร้อมทั้งส่งหลักฐานไป เพื่อขอให้ทางร้านทั้งสองพิจารณาให้ความช่วยเหลือ
.
.
ขอเล่าในส่วนของ Boots ก่อนค่ะ เพราะประทับใจมาก
.
Boots โทร.มาเมื่อช่วงสายของวันนี้ บอกว่า ได้ตรวจสอบเรื่องโดยละเอียดแล้ว พบว่า ทางพนักงานของ Boots เลินเล่อจริงๆ และทาง Boots จะรับผิดชอบยอดนี้เอง รวมทั้งจะมีการประชุมและหารือเพื่อกำชับพนักงานเรื่องการตรวจลายเซ็นหลังบัตรให้มากขึ้นอีกด้วย -- โดยทาง Boots ขอให้ดิฉันบอกให้ทาง KTC ประสานงานไปตามขั้นตอนค่ะ
.
บอกตรงๆ ว่า ประทับใจการดำเนินการให้ความช่วยเหลือของ Boots มากจริงๆ น้ำเสียงของคนที่โทร.มาก็มีความจริงใจ และตอนอยู่ในที่เกิดเหตุ พนักงานของ Boots ให้ความช่วยเหลืออย่างดีมากๆ ด้วยค่ะ -- สรุปว่าได้ความรู้สึกที่ดีจาก Boots มากๆ ค่ะ
.
.
ในส่วนของ Starbucks นั้น...
.
มี จนท. โทร. มาเมื่อคืนค่ะ บอกว่า รับทราบเรื่องแล้ว แต่ยังไม่สามารถดำเนินการอะไรให้ได้ ที่พีคคือ จนท. บอกว่า เนื่องจากเป็นร้านกาแฟ เหตุการณ์แบบนี้จึงเกิดขึ้นน้อย ((เหรอ?)) เลยไม่ได้ระมัดระวังเหมือนกับร้านค้าอื่นๆ
.
เลยบอกไปว่า นี่ก็เป็นลูกค้า Starbucks มายี่สิบกว่าปีแล้วนะ การซื้อกาแฟร้อยสองร้อยไม่ดูนี่พอเข้าใจ แต่ยอดหลายพันบาทก็ไม่ดูนี่ ใช้ไม่ได้ค่ะ ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดี
.
นอกจากนั้น หลังจากเกิดเรื่องแล้ว การร่วมมือกับ จนท. ตำรวจก็แย่มาก เพราะไม่มีผู้ใหญ่ที่ตัดสินใจได้อยู่ในเหตุการณ์ manager ไม่อยู่ มีแต่เด็กๆ ที่ทำเป็นแต่ขายกาแฟจริงๆ -- แต่พอมี mamager มาก็ดีขึ้น แต่เสียเวลาและโอกาสไป 3-4 ชั่วโมงกับพนักงานมารยาทแย่ๆ ก็ทำให้ความรู้สึกพังมาก
.
ย้ำไปว่า สิ่งที่ต้องการไม่ใช่คำขอโทษ แต่เป็นการดำเนินการแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้น และจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ขอจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องนี้
.
สิ่งที่ต้องการคือ
- ให้มีการย้ำและเทรนพนักงาน ให้ก้มหน้าดูลายเซ็นเทียบหลังบัตรเสียหน่อย
- ควรมี protocal ว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ควรจะต้องดำเนินการช่วยเหลือลูกค้าอย่างไร เพราะเด็กในร้านของคุณประเมินสถานการณ์ไม่ได้ และ manager ก็ไม่อยู่ติดร้าน
.
บอกไปว่า สิ่งที่มันเกิดกับตัวเองมันเกิดไปแล้ว อย่างน้อยก็จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดกับคนอื่น
.
ทางนั้นบอกว่า ขอเวลา 2-3 วันในการดำเนินการ .
.
.
หลังจากได้รับโทรศัพท์จาก Boots ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่มีต่อ Starbucks พังหนักหลายเท่า เลยตั้งโพสต์เล่าใน Facebook ส่วนตัว พร้อมทั้งทำจดหมายบอกเล่าเหตุกาณ์พร้อมกับ feedback คำพูดของ จนท. ไปยังบริษัทแม่ของ Starbucks ที่อเมริกาด้วย
.
เมื่อสักครู่ได้รับโทรศัพท์จาก จนท. Starbucks เป็นคนละคนกับเมื่อคืน
.
บอกว่าเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และความจริงแล้ว Starbucks มีนโยบายในการตรวจสอบลายเซ็นของลูกค้าให้ตรงกับหลังบัตรอยู่แล้ว ต้องขออภัยที่ จนท. ให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนโดยไม่ตรวจสอบก่อน -- นี่เลยสวนกลับไปว่า ตอนที่ จนท. เมื่อคืนบอก เขาบอกอย่างมั่นใจนะคะ
.
อย่างไรก็ตาม Starbucks บอกว่า จะเป็นผู้รับผิดชอบยอดที่เกิดขึ้นนี้ โดยให้ดิฉันแจ้งกับ KTC ให้ทำตามขั้นตอนเช่นเดียวกัน -- ก็...ทำให้รู้สึกดีขึ้นหน่อยค่ะ จากที่เป็นลูกค้า Starbucks มายี่สิบกว่าปี ว่าจะเลิกกินแล้ว ก็เลยอาจจะกินต่อไป...มั้ง
.
.
ดิฉันได้ส่งเรื่องที่ Boots และ Starbucks จะเป็นผู้รับผิดชอบยอดที่เกิดขึ้น และให้ KTC ดำเนินการต่อแล้วค่ะ คิดว่าน่าจะจบด้วยดีแล้วค่ะ
.
.
ดังนั้น...สรุปว่า กรณีที่เกิดขึ้น ดิฉันก็ไม่ต้องจ่ายยอดที่ถูกมิจฉาชีพใช้บัตรเครดิตรูดไปนะคะ ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และทุกคำแนะนำด้วยนะคะ
.
.
สำหรับแนวทางที่ขออนุญาตแนะนำไว้สำหรับพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ หากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนะคะ
.
1. สำหรับบัตรเครดิต
- ส่งมอบหลักฐานที่มีให้ครบถ้วน ถ้ามั่นใจว่าหลักฐานของเราครบถ้วนและพิสูจน์ได้ อย่าเพิ่งรีบจ่าย ยืนยันให้ทางบัตรเครดิตทำการตรวจสอบโดยละเอียดก่อนค่ะ
.
2. ด้านร้านค้า
- ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการให้สำนักงานใหญ่พิจารณา โดยเล่าเหตุการณ์ให้ละเอียด แนบหลักฐานให้ครบถ้วนค่ะ -- ของดิฉันแนบหลักฐานไปเหมือนกับที่แนบให้ทาง KTC เลย แต่สลิปใครสลิปมันนะคะ
.
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์นะคะ ยิ้ม
.
.
ปล. สำหรับคดีและการจับตัวคนร้ายก็ยังต้องตามกันต่อไปค่ะ

==================

เพิ่มเติม ก็อปจากที่ตอบไว้ในคคห.ที่ 7 มาแปะข้างบนด้วยค่ะ

ในส่วนของ KTC นั้น ไอซ์ขออนุญาตตอบแบบนี้นะคะ
.
หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จาก KTC ว่าให้จ่าย 50% โดยที่ KTC ยังไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานแล้วไอซ์ยืนยันไม่จ่าย พร้อมทั้งขอให้ทาง KTC ตรวจสอบก่อนอีกครั้ง -- ได้ส่งหลักฐานเพิ่มเติมคือ ภาพจากกล้องวงจรปิด และชื่อ-นามสกุล ของ จนท.ตำรวจที่ดูแลคดีให้ แล้วทาง KTC ก็เข้ามาพบในวันที่ 29 ส.ค. ค่ะ
.
ซึ่ง KTC เข้ามาพบหลังจากที่ไอซ์ได้ทำจดหมายไปทาง Boots และ Starbucks ซึ่งทำไปเมื่อวันที่ 27 ส.ค. เรื่องทั้งหมดจึงดำเนินการไปพร้อมกัน
.
ตอนที่ KTC มาเข้าพบนั้น สิ่งที่ KTC ได้ทำคือ
1. พักชำระยอดทั้งสองที่โดนมิจฉาชีพรูดไป นั่นก็คือ...จะยังไม่ต้องชำระจนกว่าการสอบสวนจะสิ้นสุด
2. ได้ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการสอบสวน ซึ่งที่ทาง KTC ได้ทำไปแล้วคือ ได้ประสานงานคุยกับ  จนท. ตำรวจในวันที่ 28 ส.ค.
แต่การสอบสวนก็มีอีกหลายขั้นตอนค่ะ เช่น ยกตัวอย่างเรื่องลายเซ็น
.
ถึงจะมีสลิปยืนยันว่า ลายเซ็นไม่เหมือนหลังบัตร แต่ไม่มีหลังบัตรให้เทียบแล้ว เพราะหลังบัตรอยู่กับโจร
สิ่งที่ KTC ทำคือ ดำเนินการขอสลิปจากร้านค้าที่ไอซ์เคยรูดก่อนหน้าด้วยตัวเองมาเทียบจำนวน 2 ใบ
หนึ่งในนั้นคือที่ Tesco ซึ่ง...ทาง Tesco ก็ยังไม่ได้ส่งให้ KTC ค่ะ น่าจะต้องไปขุดหาอยู่
.
อะไรอย่างนี้เป็นต้นค่ะ
.
ดังนั้น...ส่วนตัวเลยมองว่า แม้ว่าจริงๆ แล้วหน้าที่การติดต่อร้านค้าก็เป็นหนึ่งในกระบวนการสอบสวนซึ่งทาง KTC จะต้องทำนั่นแหละ
แต่...เนื่องจากส่วนตัวเป็นคนทำอะไรครอบคลุมทุกด้านเท่าที่จะทำไหว ก็เลยทำเองไป
ผลก็คือ...เรื่องมันจบเร็วขึ้นค่ะ ซึ่งเป็นผลดีกับตัวไอซ์เองนี่แหละ
.
เพราะ...บอกตรงๆ ว่า เหนื่อย และ เบื่อ และจริงๆ ก็คือ โมโห กับ feedback ขั้นแรกที่ได้จากแต่ละที่ ((ยกเว้น Boots)) ซึ่งพีคๆ ทั้งนั้น
.
ไอซ์อยากได้ชีวิตปกติของตัวเองคืนค่ะ เลยยินดีที่จะทำตรงนี้
.
ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ สำหรับกรณีอื่นๆ ต่อไปนะคะ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่