หมอบอกว่าฉันเป็นไบโพล่าร์

"จุดเริ่มต้น"
ตอนนั้นอกหัก ตอนแรกก็เศร้าปกติ แต่เริ่มไม่ปกติตรงที่เศร้าทุกวันทุกเวลา เห็นหมาจรจัดก็ร้องไห้เพราะสงสารมัน หดหู่อยากตาย ทำร้ายตัวเองเพราะคิดว่าถ้าเจ็บแล้วจะสามารถหยุดความรู้สึกเศร้าไปได้ (แต่ก็ไม่นะ เศร้าเหมือนเดิม เจ็บตัวฟรี) อาการหนักจนเพื่อนโทรมาเป็นห่วงกลัวเราจะตาย เราร้องไห้และกรี๊ดใส่โทรศัพท์ เพื่อนบอกว่า ไปหาหมอเถอะ ขอร้อง สุดท้ายเลยตัดสินใจไปหาหมอ เพราะคิดว่าตัวเองจะมาอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้ละ ไปหาหมอก็เป็นซึมเศร้าตามคาด กินยาตามหมอสั่ง บางทีกินเยอะกว่าที่หมอสั่งด้วย ทุลักทุเลมาเป็นปี น้ำหนักลดไปเยอะสุดคือ 8 กิโล จนมาถึงช่วงนึง ที่เราคิดว่า เราดีขึ้นแล้ว ก็หยุดยา ใช้ชีวิตตามปกติ มีเศร้าบ้าง ไม่หนักหนาอะไร และช่วงปลายปีอาการเศร้าก็หายไปโดยสิ้นเชิง (ตอนนั้นเราเริ่มมีความคิดว่าที่ผ่านมาเราอาจจะไม่ได้เป็นอะไรก็ได้)

"หายเป็นปกติ?"
ความรู้สึกคือ ดีมาก มีความสุขแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน อยู่เฉยๆอยากร้องเพลง ยิ้มคนเดียว บางทีก็เดินไปกระโดดไป หลายครั้งก็ตื่นเต้นโดยไม่มีสาเหตุ เล่นมุกในกลุ่มเฟสบุ๊คจนเป็นตัวฮาของกลุ่ม และตอนนั้นโสดด้วย ก็จะออกไปเที่ยวกับเพื่อน หรือหาอะไรทำตลอด เช่นหัดทำกับข้าว และ เริ่มคุยกับคนแปลกหน้าเยอะมากขึ้น (ปกติจะไม่เริ่มคุยกับคนแปลกหน้าก่อน) เพื่อนชอบใคร เราจะเป็นคนไปคุยให้เอง ตอนนั้นก็มีผู้ชายมาคุยกับเราด้วย แต่ด้วยความที่เรากลายเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก มีอะไรเราพูดออกไปหมด พูดตรง จนผู้ชายหนี แต่เราก็ไม่เสียใจ มีคนคุยแล้วหนีแบบนี้อีกสักสองคนได้ เราก็ยังไม่สะทกสะท้าน ตอนนี้น้ำหนักเริ่มกลับมาเท่าเดิมแล้ว กินเยอะ เคยสั่งหมูกะทะมากินคนเดียวที่ทำงานหลายวันติดๆกัน ตื่นนอนเช้ากว่าปกติและไม่เหนื่อย (ตอนเป็นซึมเศร้าคือเหนื่อยมากแทบไม่อยากลุกเลย) ต่อมาช่วงเดือนพฤจิกายน เราก็มีแฟน

"ความผิดปกติที่เริ่มรุนแรง"
ในขณะที่เรามีความสุข อารมณ์ดี เราก็พบว่าตัวเองกลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย บ่นทุกสิ่งอย่าง โดนขัดใจนิดเดียว สติขาด แบบคุมตัวเองไม่ได้ เราโมโหกับเงินจำนวนไม่ถึง 25 สตางค์ ถึงขั้นเดินไปด่าพนักงาน เราบีบแตรยาวตลอดทางใส่รถแดงที่จอดเรียงกันเพราะเรารู้สึกว่าเกะกะ เราเหวี่ยงใส่คนเฝ้าที่จอดรถเพียงเพราะเขาให้ขยับอีกนิด (เขาโมโหจนบอกให้เราเอารถออกไปจอดที่อื่น ตอนนั้นนึกว่าเขาจะเข้ามาทำร้ายเราด้วยซ้ำ น่ากลัวมาก) เราหงุดหงิดกับเสียงช้อนกระทบกัน เพราะพนักงานกำลังเช็ดช้อนอยู่ จนต้องเดินไปถามว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เรารำคาญเสียงคนพูดคุยกันแม้จะเป็นความดังที่ปกติ เราโยนเก้าอี้พลาสติกลงพื้นจนแตก เหยียบซ้ำๆ จนมันแตกหมดเพราะโมโหที่โดนว่า ฯลฯ คือหงุดหงิดกับทุกสิ่ง อารมณ์รุนแรงมาก

และครั้งนึงเราหงุดหงิดกับเสียงเพลงที่ดังตอนเกือบเช้า แต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนนั้นตีสามตีสี่ เราก็นอนหลับต่อไม่ได้ละ พออีกวัน ก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมอีก เราทนไม่ไหวเลยถามแฟนว่า ทำไมต้องเปิดเพลงตอนนอนด้วย แฟนกำลังอ่านหนังสืออยู่ ทำหน้าตกใจ หันมามองเรา และพูดว่า ..ผมไม่ได้เปิด เราก็ถามย้ำว่า ตอนนี้ไม่ได้เปิดเหรอ แล้วเมื่อวานตอนเช้าล่ะ แฟนก็ทำหน้าช็อคกว่าเดิม แล้วหันไปดูวิทยุที่อยู่ข้างๆ เราโน้มตัวไปดูด้วย ..วิทยุปิดอยู่.. เราไม่พูดอะไรต่อ แฟนบอกว่า เรากำลังทำให้เขากลัว ถ้าได้ยินอีกให้บอกเขาทันที เรื่องนี้เราไม่ได้เล่าให้หมอฟังเพราะเราอาจจะหูแว่วไปเองก็ได้

การใช้เงินเปลี่ยนไป หยิบแล้วซื้อเลย, กินหกสิบ จ่ายแบงค์ร้อยไม่ต้องทอน, แฟนให้ทิปเด็กเสริฟ์ เราเดินไปให้ทิปนักดนตรีและให้เด็กเสิรฟ์เพิ่มอีก  ซึ่งเดิมไม่เป็นค่ะ เป็นคนงกมาตลอด ,ไฟล์ทที่เดินทางไปตุรกีเลื่อน เราซื้อตั๋วใหม่ไปรัสเซียเลยทันที จ่ายเงินที่พักพร้อม แต่สุดท้ายไปตุรกีเหมือนเดิม, เกือบสร้างโฮสเทล จ้างคนเขียนแบบแล้ว สุดท้ายทางบ้านเปลี่ยนใจ เลยไม่ได้ทำ ก็เสียค่าแบบร่างไป (ถือว่าโชคดี เพราะโลเคชั่นแย่มาก), ซื้อเสื้อผ้าหมดไป 1 หมื่นในเวลา 1 ชั่วโมง ล่าสุดเกือบซื้อที่นอนราคาหกหมื่น โชคดีที่แฟนเบรคไว้ เรื่องเงินอาจจะไม่หนักมาก เพราะเป็นคนไม่ชอบช้อปปิ้ง แต่ก็ถือว่าเปลืองกว่าเมื่อก่อนเพราะการใช้จ่ายแบบไม่คิดนี่แหละ

คนรอบข้างเริ่มเอือมกับการที่เราเป็นแบบนี้ เหวี่ยงไปทั่วแบบนี้ เราถือว่ายังโชคดีที่มีแฟนอยู่ และแฟนจะเป็นคนคอยเบรคเราตลอด ให้ใจเย็นๆ และเวลาอยู่กับแฟนเราจะไม่ออกอาการมาก เก็บกดไว้ เพราะเพิ่งคบได้ไม่นานก็เกรงใจด้วย แต่ก็ใช่ว่าแฟนเราจะรอดจากการโดนบ่นนะ เราก็ยังคงบ่นกับเรื่องไร้สาระ และเหวี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แฟนก็ดีมากที่ไม่ว่าเรางี่เง่า (อาจว่าในใจ)

"หมอวินิจฉัย 3 คน (2 โรงพยาบาล)"
เดือนมีนาคมเราตัดสินใจแอบไป รพ.สวนปรุง เพื่อขอยาคลายเครียด (ที่ไปสวนปรุงเพราะครอบครัวเคยไปขอยาคลายเครียดที่นั่นตอนเราเด็กๆ) ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ก็เข้าไปลงทะเบียนปกติ เล่าอาการให้พยาบาลฟังเบื้องต้น แล้วอยู่ดีๆ เราก็ร้องไห้ออกมา พยาบาลก็ชะงักถามว่าร้องทำไม เราก็บอกว่าเสียใจที่ตัวเองต้องมาอยู่ที่นี่ (ตอนนั้นความรู้สึกตัวเองไร้ค่าไม่น่าเกิดมาสร้างแต่ปัญหากลับมา) พยาบาลหยุดเขียนแล้วหยิบแผ่นประเมินซึมเศร้ามาและเริ่มถามคำถาม ในใจโกรธตัวเองมากไม่น่าร้องเลย ..รอคิวสักพักก็ได้เข้าไปเจอหมอ เราก็เล่าอาการให้หมอฟัง ว่าหงุดหงิดง่ายมาก คุมตัวเองไม่ได้เลย เล่าให้ฟังทุกอย่าง แต่ไม่ได้พูดว่าตัวเองอารมณ์ดีมีความสุขหรือเศร้านะ เพราะเราไปเรื่องอาการหงุดหงิดง่าย คิดว่าแค่เครียด หมอที่เราเจอเป็นหมอสมอง ไม่ใช่จิตแพทย์ หมอสอบถามทุกอย่างไปจนถึงยาที่เคยใช้ เราก็พูดชื่อยาที่รักษาซึมเศร้าเมื่อก่อนไป ระหว่างที่หมอจดๆ เราก็บอกว่าตอนนี้อยากได้ยาคลายเครียดค่ะ พอหมอเขียนชื่อยาที่เราบอกลงกระดาษเสร็จ หมอก็เอนหลังไปกับเก้าอี้ ท่าทางเหมือนคนที่ไขปริศนาได้ แล้วพูดว่า คุณไม่ได้เป็นโรคเครียด แต่คุณเป็นไบโพล่าร์

เราฟังหมอ ไม่ได้พูดหรือเถียงอะไร แต่ก็มีสงสัยว่าจริงเหรอ กลับไปพร้อมกับยาสองตัวที่หมอให้ หมอบอกว่า ให้กลับมาใหม่อาทิตย์หน้าเพื่อพบจิตแพทย์ เรายังไม่กินยา ระหว่างนั้นก็ศึกษาอาการของไบโพล่าร์ไปด้วย และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเข้าข่ายหลายอย่าง แต่เพื่อนเราคิดว่าเราไม่น่าจะเป็นโรคนี้ น่าจะเป็น PTSD ซึ่งเราก็ไปหาข้อมูลโรคนี้เหมือนกัน แต่ไม่เข้าข่ายอาการของเรา (และไม่เคยมีเหตุการณ์กระทบจิตใจมาก่อน)

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์เรากลับไปเจอจิตแพทย์ เล่าให้ฟังเหมือนเดิม และบอกเขาว่าไม่แน่ใจว่าหมอคนก่อนจะวินิจฉัยถูกต้อง จิตแพทย์บอกเราว่า คุณหมอวินิจฉัยถูกแล้ว และยาที่เราได้ก็เหมาะสมกับอาการเราตอนนี้ ยาจะทำให้เราสงบลง หากไม่ได้ผลต้องเปลี่ยนตัวยาใหม่ เรากลับบ้านไปก็เริ่มศึกษาเกี่ยวกับตัวยาที่ได้รับมา ผลข้างเคียงน่ากลัวมาก เราก็ยังไม่กล้ากิน

เดือนสิงหาคม แฟนกลับต่างประเทศแล้ว ไม่มีคนคอยเบรคเราแล้ว ก็เริ่มมาคิดว่าควรกลับไปหาจิตแพทย์ที่เคยรักษาเรามาก่อนเพราะเขารู้จักเราดีกว่า ก็ทำการนัดหมายและเข้าไปหาหมอ หมอเห็นเราทีแรกก็ทักทายชมว่าเราดูร่าเริงขึ้นนะ เรายิ้มให้และบอกว่าใช่ค่ะ (เมื่อก่อนเวลาเจอหมอจะร้องไห้ตลอด) ตอนแรกเราก็คุยว่าเรามีความสุข แล้วก็กล้าคุยกับคนอื่นแล้ว หมอก็ถามว่า มีเพื่อนเยอะขึ้นสินะ เราก็เงียบแล้วบอกว่าเพื่อนอาจจะลดลงค่ะ จากนั้นเราเริ่มเล่าอาการหงุดหงิดให้ฟัง แจ้งเรื่องยาที่ได้รับมา (พกไปด้วย) หมอฟังเราพูดตลอดครึ่งชั่วโมงแบบนันสตอป หยิบยาเราไปดูแล้วบอกว่า เราควรกินยาที่เราได้รับมาจาก โรงพยาบาล เนื่องจาก ยาสองตัวนี้เป็นยาที่ดีมาก และเหมาะสมกับอาการเรามากที่สุด หากเรากลัว ให้เริ่มกินตัวเดียวก่อน และให้กลับมาหาหมออีกที เดือนหน้า หลังจากยาหมด เราถามหมอว่า หากไม่กินยาจะหายได้ไหม หมอบอก "ต้องมีสติ ต้องเจริญสติ"

"เริ่มการรักษาตัว"
ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มกินยา เนื่องจากกลัวผลข้างเคียงต่างๆ ก็เลยจะลองเจริญสติตามที่หมอบอก เราเริ่มต้นด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เราหงุดหงิด เช่น หยุดเล่นไลน์ ใช้เฉพาะงานเท่านั้น เพราะมีหลายทีที่เราโมโหจากการที่อ่านข้อความของเพื่อนและตอบโต้ไปแบบรุนแรง ทำให้เพื่อนเสียใจ และเรารู้สึกว่าตัวเองเริ่มทำตัวน่ารำคาญในกลุ่ม พูดแต่เรื่องตัวเอง บ่นแต่เรื่องตัวเอง เราหยุดเล่น แล้วบอกเพื่อนว่า ปวดตา ไม่อยากจ้องโทรศัพท์ เรานอนหลับเร็วขึ้นจะได้นอน 7-8 ชม เวลาว่างก็ถักผ้าพันคอให้แม่แฟนจะได้มีสมาธิ เป็นต้น

"โรคที่สังเกตยาก"
อาการไบโพล่าร์ของเราคนจะไม่ค่อยสังเกต ทุกคนรวมทั้งตัวเราเอง คิดว่าเราปกติ แค่หงุดหงิดง่าย และบ่นเยอะเฉยๆ และการที่เราเปลี่ยนไป ทีแรกเราคิดว่าเราโดนทิ้งจนตัวเองกลายเป็นสาวแกร่ง ซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่ มันเป็นอาการของโรค ..เพื่อนที่รู้จักเรามานานจะรู้ว่าเมื่อก่อน เราไม่เคยโกรธใครเลย (ใครทำให้เราโกรธได้เพื่อนจะทึ่งมาก) และเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด นั่งในกลุ่มคือเป็นใบ้ แต่ตอนนี้แทบจะเป็นคนละคน กลายเป็นคนมั่นใจ ขี้หงุดหงิด เหวี่ยง ในระยะเวลาไม่ถึงปี

สิ่งที่เรารู้สึกได้แต่คนอื่นไม่รู้สึกด้วยคือ เราอารมณ์ดีมาก ขนาดแฟนต้องกลับประเทศ ทีแรกนึกว่าจะเศร้า แต่ไม่เลย ยังมีความสุขดีทุกวัน เพื่อนสมัยมัธยมเสียชีวิต เราเศร้านะแต่ก็ร้องไห้ไม่ออก ซึ่งผิดวิสัยเรา ปกติเราจะร้องไห้ง่ายมาก แค่ดูโฆษณาก็ร้องไห้ประจำ หากถามว่าเรายังมีอาการซึมเศร้าไหม มีค่ะ แต่ไม่บ่อย ซึ่งตอนที่อาการซึมเศร้ากลับมาเราตกใจและกลัวมาก เพราะเราไม่อยากกลับไปเป็นแบบตอนนั้นอีกแล้ว แต่สุดท้ายอาการเศร้าหายไปเองค่ะ

จบค่ะ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ และขอบคุณทุกคอมเม้นท์ และทุกคำแนะนำ  เรื่องอาการ เดี๋ยวจะมาอัพเดทในกระทู้หน้าค่ะ เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการรักษา

ปล. ที่ต้องมาโพสในกระทู้คำถามเนื่องจากไม่ได้ยืนยันตัวตน ก็เลยโพสในกระทู้สนทนาไม่ได้ (ยืนยันตัวตนไม่ได้เพราะเคยยืนยันไปแล้วและลืมไอดีกับพาสเวิด)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่