แตกประเด็นจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:mzcKDXJhLzwJ:https://pantip.com/topic/37994889+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th
นี่ไงครับ คือ ความยุติธรรม
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_1107521
ผมถกเถียงกับสลิ่มมาตลอดในเรื่องคดีความ
ว่า สลิ่มอย่าแค่อ้างคำพิพากษา แต่ควรพิจารณา "เนื้อหา" แห่งคดีประกอบด้วย
เพื่อให้เห็นว่า คำพิพากษา สอดคล้องกับ เนื้อหา หรือไม่
เพราะการพิจารณาคดีนั้น ต้องพิจารณาเรื่องข้อเท็จจริงก่อน ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
แล้วจึงไปสู่ข้อกฎหมาย ว่าผิดหรือไม่ผิดกฎหมายอย่างไร ไม่ใช่อาศัยแค่ข้อกฎหมายชี้ผิดถูกไปเลย
คำพิพากษา ไมใช่คำภีร์แห่งความถูกต้อง มีผิดมีพลาดได้
เป็นเพียงเครื่องบังคับทางกฎหมาย ผลทางกฎหมาย เพื่อให้คดีความยุติ
หากเป็นธรรม ก็เรียกว่า ยุติธรรม คือยุติลงด้วยธรรม
หากไม่ยุติธรรม ความขัดแย้งก็ไม่ระงับ กลับจะมีแต่ความขัดแย้งรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
ย้อนกลับไปดู เนื้อหา เรื่อง TPI เพื่อประกอบกับคำพิพากษาดูครับ
2521 TPI เริ่มก่อตั้ง เป็นธุรกิจอุตสาหกรรมปโตรเคมีครบวงจร
มีการขยายทั้งทุนและงาน ในระยะ 20 ปีของการทำธุรกิจ มีมูลค่าทรัพย์สินกว่าแสนล้าน คนงานแปดพันคน
และเข้าตลาดหุ้น เป็นบริษัทจำกัดมหาชน ในปี 2537 TPI รุ่งเรือง โด่งดัง ประสบความสำเร็จ
2540 ก็เกิดวิกฤต ต้มยำกุ้ง จากผลพวงเรื่อง BIBF ของรัฐบาล ปชป. ช่วงปี 2535-2538
ที่กลุ่มธุรกิจกู้กันกระจาย กู้กันกระหน่ำ เพราะการกู้จากต่างประเทศ ดอกเบี้ยต่ำกว่ากู้ภายในประเทศ
เรียกว่ากู้กันสนุก ลงทุนเกินตัว เกิดสภาวะฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งสุดท้ายก็แตกโพละ
รัฐบาลชวลิต ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง
ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงฉับพลัน จาก 26 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 54 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ใครมีหนี้ที่กู้จากต่างประเทศอยู่ก็อ่วมสิครับ เพราะหนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่าสองเท่าในแค่ข้ามคืน
TPI ที่กู้เงินจากต่างประเทศมหาศาลในการขยายธุรกิจ ก็มีหนี้เพิ่มขึ้นทันทีเกือบ 7 หมื่นล้านบาท
รวมหนี้เก่าหนี้เดิมที่มีอยู่แล้ว ก็เป็นหนี้กว่า 1.3 แสนล้านบาท ในพริบตา หนี้เพิ่ม ดอกก็ต้องเพิ่ม การผ่อนก็ต้องเพิ่ม
มีเจ้าหนี้จากไทยและต่างประเทศรวมกว่า 150 ราย เป็นหนี้ภายใน 1,200 ล้านเหรียญ หนี้ต่างประเทศ 1,500 ล้านเหรียญ
ผลที่ตามมาคือ เจ้าหนี้ไม่ยอมผ่อนปรน
TPI หมดทางเลือก ประกาศพักชำระหนี้ เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายล้มละลาย
ตลอดระยะเวลาหลายปี
มีการพยายามหาข้อยุติ ไกล่เกลี่ย หาทางออก ระหว่างเจ้าหนี้ ลูกหนี้ รัฐบาลเข้าช่วยเจรจา แต่ก็ไม่ได้ข้อยุติ
2546 ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้กระทรวงการคลังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารแผนการฟื้นฟู
พร้อมกันนี้ ศาลล้มละลายกลางได้กำหนดเป้าหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการ ดังนี้
1. ทีพีไอต้องดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมั่นคง
2. พนักงานทั้ง 8,000 คน ต้องไม่ตกงาน
3. เจ้าหนี้ต้องได้รับเงินคืน
4. ลูกหนี้ต้องได้รับความเป็นธรรม
ระยะเวลาเพียง 2 ปี นับแต่ผู้บริหารแผนเข้าไปจนถึงสิ้นปี 2548
สถานะทางการเงินของทีพีไอ จากที่ใกล้จะล้มละลาย ได้กลับมามีความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง
โดยสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 130,825 ล้านบาท เป็น 152,676 ล้านบาท
หนี้สินเดิม 128,787 ล้านบาท ลดลงเหลือ 51,966 ล้านบาท
และการขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 89,347 ล้านบาท ถูกเปลี่ยนเป็นกำไรสะสม 29,538 ล้านบาท
2549ื ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ TPI ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
จากบริษัทที่ล้มละลาย กลายกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง พนักงานมั่นใจ ความเชื่อมั่นทางธุรกิจกลับคืน
เจ้าหนี้ได้รับการชำระหนี้ ผู้ถือหุ้นเกิดความเชื่อมั่น
แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็น IRPC
รายละเอียดและข้อมูล
https://www.thairath.co.th/content/98925
จาก เนื้อหา สู่ คำพิพากษา
สลิ่มลองเอาไปเทียบดูกับเรื่องแบบที่ว่า คนซื้อไม่ผิด คนขายไม่ผิด แต่คนเซ็นชื่อให้เมียผิด ดูสิครับ
หรือเทียบเคียงกับคดีอื่น ๆ ดูก็ได้ โดยดู เนื้อหา ประกอบ คำพิพากษา นะครับ
ไม่ใช่อ้างคำพิพากษาตะบัน แบบไม่เคยรู้เนื้อหา ไม่ว่ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยซ้ำ
2553
ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี (2546)
ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ที่ให้ความเห็นชอบและยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าบริหาร TPI
นี่แหละครับ
คือ ป.ป.ช. ชุดที่มีกรรมการ ป.ป.ช. คนหนึ่งที่ไม่มีคุณสมบัติเป็น ป.ป.ช. เพราะขัดมาตรา 11 แห่ง พรบ. ป.ป.ช. เอง
แต่ก็นั่งเป็น ป.ป.ช. อยู่จนครบวาระ 9 ปีเต็ม
คือ ป.ป.ช. ที่จะเอาผิดเหตุการณ์ 7 ต.ค. 51 ให้ได้ แต่เหตุการณ์ เม.ย. - พ.ค. 53 กลับบอกว่าไม่มีความผิดอะไร
คือ ป.ป.ช. ชุดที่สร้างชื่อให้นาย วิชา มหาคุณ อย่างถึงขีดสุด เป็นที่จดจำแบบจารึกจดจารไว้ในแผ่นดิน
ฯลฯ
และนี่แหละครับ คือ
ความยุติธรรม
เข้าใจตรงกันนะครับคุณสลิ่ม
สลิ่มครับ นี่ไงครับ ที่เรียกว่า "ความยุติธรรม" ...................................... โดย ตระกองขวัญ
นี่ไงครับ คือ ความยุติธรรม
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_1107521
ผมถกเถียงกับสลิ่มมาตลอดในเรื่องคดีความ
ว่า สลิ่มอย่าแค่อ้างคำพิพากษา แต่ควรพิจารณา "เนื้อหา" แห่งคดีประกอบด้วย
เพื่อให้เห็นว่า คำพิพากษา สอดคล้องกับ เนื้อหา หรือไม่
เพราะการพิจารณาคดีนั้น ต้องพิจารณาเรื่องข้อเท็จจริงก่อน ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
แล้วจึงไปสู่ข้อกฎหมาย ว่าผิดหรือไม่ผิดกฎหมายอย่างไร ไม่ใช่อาศัยแค่ข้อกฎหมายชี้ผิดถูกไปเลย
คำพิพากษา ไมใช่คำภีร์แห่งความถูกต้อง มีผิดมีพลาดได้
เป็นเพียงเครื่องบังคับทางกฎหมาย ผลทางกฎหมาย เพื่อให้คดีความยุติ
หากเป็นธรรม ก็เรียกว่า ยุติธรรม คือยุติลงด้วยธรรม
หากไม่ยุติธรรม ความขัดแย้งก็ไม่ระงับ กลับจะมีแต่ความขัดแย้งรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
ย้อนกลับไปดู เนื้อหา เรื่อง TPI เพื่อประกอบกับคำพิพากษาดูครับ
2521 TPI เริ่มก่อตั้ง เป็นธุรกิจอุตสาหกรรมปโตรเคมีครบวงจร
มีการขยายทั้งทุนและงาน ในระยะ 20 ปีของการทำธุรกิจ มีมูลค่าทรัพย์สินกว่าแสนล้าน คนงานแปดพันคน
และเข้าตลาดหุ้น เป็นบริษัทจำกัดมหาชน ในปี 2537 TPI รุ่งเรือง โด่งดัง ประสบความสำเร็จ
2540 ก็เกิดวิกฤต ต้มยำกุ้ง จากผลพวงเรื่อง BIBF ของรัฐบาล ปชป. ช่วงปี 2535-2538
ที่กลุ่มธุรกิจกู้กันกระจาย กู้กันกระหน่ำ เพราะการกู้จากต่างประเทศ ดอกเบี้ยต่ำกว่ากู้ภายในประเทศ
เรียกว่ากู้กันสนุก ลงทุนเกินตัว เกิดสภาวะฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งสุดท้ายก็แตกโพละ
รัฐบาลชวลิต ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง
ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงฉับพลัน จาก 26 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 54 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ใครมีหนี้ที่กู้จากต่างประเทศอยู่ก็อ่วมสิครับ เพราะหนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่าสองเท่าในแค่ข้ามคืน
TPI ที่กู้เงินจากต่างประเทศมหาศาลในการขยายธุรกิจ ก็มีหนี้เพิ่มขึ้นทันทีเกือบ 7 หมื่นล้านบาท
รวมหนี้เก่าหนี้เดิมที่มีอยู่แล้ว ก็เป็นหนี้กว่า 1.3 แสนล้านบาท ในพริบตา หนี้เพิ่ม ดอกก็ต้องเพิ่ม การผ่อนก็ต้องเพิ่ม
มีเจ้าหนี้จากไทยและต่างประเทศรวมกว่า 150 ราย เป็นหนี้ภายใน 1,200 ล้านเหรียญ หนี้ต่างประเทศ 1,500 ล้านเหรียญ
ผลที่ตามมาคือ เจ้าหนี้ไม่ยอมผ่อนปรน
TPI หมดทางเลือก ประกาศพักชำระหนี้ เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายล้มละลาย
ตลอดระยะเวลาหลายปี
มีการพยายามหาข้อยุติ ไกล่เกลี่ย หาทางออก ระหว่างเจ้าหนี้ ลูกหนี้ รัฐบาลเข้าช่วยเจรจา แต่ก็ไม่ได้ข้อยุติ
2546 ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้กระทรวงการคลังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารแผนการฟื้นฟู
พร้อมกันนี้ ศาลล้มละลายกลางได้กำหนดเป้าหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการ ดังนี้
1. ทีพีไอต้องดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมั่นคง
2. พนักงานทั้ง 8,000 คน ต้องไม่ตกงาน
3. เจ้าหนี้ต้องได้รับเงินคืน
4. ลูกหนี้ต้องได้รับความเป็นธรรม
ระยะเวลาเพียง 2 ปี นับแต่ผู้บริหารแผนเข้าไปจนถึงสิ้นปี 2548
สถานะทางการเงินของทีพีไอ จากที่ใกล้จะล้มละลาย ได้กลับมามีความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง
โดยสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 130,825 ล้านบาท เป็น 152,676 ล้านบาท
หนี้สินเดิม 128,787 ล้านบาท ลดลงเหลือ 51,966 ล้านบาท
และการขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 89,347 ล้านบาท ถูกเปลี่ยนเป็นกำไรสะสม 29,538 ล้านบาท
2549ื ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ TPI ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
จากบริษัทที่ล้มละลาย กลายกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง พนักงานมั่นใจ ความเชื่อมั่นทางธุรกิจกลับคืน
เจ้าหนี้ได้รับการชำระหนี้ ผู้ถือหุ้นเกิดความเชื่อมั่น
แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็น IRPC
รายละเอียดและข้อมูล https://www.thairath.co.th/content/98925
จาก เนื้อหา สู่ คำพิพากษา
สลิ่มลองเอาไปเทียบดูกับเรื่องแบบที่ว่า คนซื้อไม่ผิด คนขายไม่ผิด แต่คนเซ็นชื่อให้เมียผิด ดูสิครับ
หรือเทียบเคียงกับคดีอื่น ๆ ดูก็ได้ โดยดู เนื้อหา ประกอบ คำพิพากษา นะครับ
ไม่ใช่อ้างคำพิพากษาตะบัน แบบไม่เคยรู้เนื้อหา ไม่ว่ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยซ้ำ
2553
ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี (2546)
ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ที่ให้ความเห็นชอบและยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าบริหาร TPI
นี่แหละครับ
คือ ป.ป.ช. ชุดที่มีกรรมการ ป.ป.ช. คนหนึ่งที่ไม่มีคุณสมบัติเป็น ป.ป.ช. เพราะขัดมาตรา 11 แห่ง พรบ. ป.ป.ช. เอง
แต่ก็นั่งเป็น ป.ป.ช. อยู่จนครบวาระ 9 ปีเต็ม
คือ ป.ป.ช. ที่จะเอาผิดเหตุการณ์ 7 ต.ค. 51 ให้ได้ แต่เหตุการณ์ เม.ย. - พ.ค. 53 กลับบอกว่าไม่มีความผิดอะไร
คือ ป.ป.ช. ชุดที่สร้างชื่อให้นาย วิชา มหาคุณ อย่างถึงขีดสุด เป็นที่จดจำแบบจารึกจดจารไว้ในแผ่นดิน
ฯลฯ
และนี่แหละครับ คือ ความยุติธรรม
เข้าใจตรงกันนะครับคุณสลิ่ม