รอง ผอ.องค์การอนามัยโลกย้ำไทยเป็น 1 ในประเทศที่หลักประกันสุขภาพดีสุดในโลก ...ประชาไทออนไลน์../sao..เหลือ..noi

รองผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก ย้ำไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพ
ที่ดีที่สุดในโลก ด้านผู้ป่วยโรคไตเชื่อมั่นวิธีการล้างไตผ่านทางหน้าช่องท้อง โดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท
ทำให้มีชีวิตรอด เผยหากไม่มีบัตรทอง 30 บาทคงตายไปแล้ว

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา แพทย์หญิงซอมญ่า สะวามินาทาน (Dr.Soumya Swaminathan)
รองผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ลงพื้นที่ ณ โรงพยาบาลน้ำพอง และเทศบาลตำบลสะอาด
อ.น้ำพอง เพื่อศึกษาและแลกเปลี่ยนการสร้างหลักประกันสุขภาพ และการจัดการระบบสาธารณสุขให้กับ
ประชาชนในพื้นที่ชนบท โดยมี นพ.วิชัย อัศวภาคย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลน้ำพองและคณะ พร้อมด้วย
นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นพ.ปรีดา แต้อารักษ์
ผู้อำนวยการ สปสช.เขต 7 ขอนแก่น และคณะให้การต้อนรับ

พญ.ซอมญ่า และคณะได้เดินทางไป ต.สะอาด อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจ เพ็ญศิลป์ พิมพิสาร
อายุ 69 ปี ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีการล้างไตผ่านทางช่องท้อง
อย่างต่อเนื่อง (CAPD) มาตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ตามคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์

เพ็ญศิลป์ กล่าวว่า เมื่อแรกทราบว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรังและได้รับการส่งต่อจากโรงพยาบาลน้ำพองไปรับการ
รักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่นนั้น มีความกังวลใจอย่างมาก เพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินค่าฟอกไต แต่เมื่อได้ทราบ
ว่าตนใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีสิทธิได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยการล้างไตผ่านทางช่องท้อง
ตนก็มีความหวังในการรักษา แพทย์ พยาบาล ทั้งที่โรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลน้ำพอง และโรงพยาบาล
ส่งเสริมสุขภาพตำบลสะอาด อสม.ซึ่งอยู่ใกล้บ้านก็ดูแลอย่างดี ทำให้ตนอยู่มาได้จนทุกวันนี้

เพ็ญศิลป์ กล่าวว่า หากไม่มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท (สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ตนคงต้องตายไปนานแล้ว
เพราะไม่มีเงินจะไปฟอกเลือดที่ต้องจ่ายครั้งละประมาณ 1,500 – 2,000 บาท และต้องฟอกเลือดเดือนละ
หลายครั้ง แต่พอใช้สิทธิบัตรทองเพื่อล้างไตทางช่องท้องก็ไม่ต้องเสียเงินมาก เพราะได้จ่ายเพิ่มเฉพาะค่าอุปกรณ์
บางอย่างที่ต้องการเพิ่มเป็นพิเศษเท่านั้น ส่วนน้ำยาล้างไตก็ส่งตรงมาถึงบ้าน ตั้งแต่ตนล้างไตด้วยวิธีนี้มา 6 ปี เคย
ติดเชื้อเพียงครั้งเดียว เพราะวันนั้นรีบไปธุระไม่ได้รอให้จบกระบวนการล้างไตตามที่เคยทำมาเป็นปกติจึงทำให้
ติดเชื้อ แต่ก็ได้รับการดูแลรักษาทันท่วงที หลังจากนั้นมาก็ดำเนินตามวิธีการล้างไตทางช่องท้องที่ได้รับการอบรม
จากโรงพยาบาลขอนแก่นอย่างเคร่งครัด ก็ไม่มีปัญหาด้านการติดเชื้ออีกเลย

เพ็ญศิลป์ กล่าวต่อว่า ภายหลังการรักษาโรคด้วยด้วยการล้างไตทางช่องท้องทำให้ตนมีชีวิตมาจนทุกวันนี้ จากที่
อ่อนแรง ไม่ค่อยรู้สึกตัว ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องนอนอยู่บนเตียงกว่า 2 เดือน ภายหลังได้รับรักษา
ด้วยการล้างไตทางช่องท้อง มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนขณะนี้สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นปกติกว่า 6 ปี ร่วมกับ
ลูกหลานและคนในชุมชน เช่น ไปวัดทำบุญ เดินออกกำลังกายรอบชุมชน

พญ.ซอมญ่า กล่าวภายหลังการลงพื้นที่ศึกษาดูงานการจัดระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น
ว่า องค์การอนามัยโลกได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ประชากรทั่วโลก เข้าถึงหลักประกันสุขภาพอย่างถ้วนหน้าภายใน 5 ปี
โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศตัวอย่างที่ดีมากในการจัดการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพราะมีการ
บริหารจัดการงบประมาณที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่ได้มีแค่การรักษาพยาบาล แต่ครอบคลุมไป
ถึงการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมถภาพทางการแพทย์ จนสามารถเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆ ได้

พญ.ซอมญ่า กล่าวว่า จากการศึกษาดูงานครั้งนี้ตนได้เห็นการทำงานของหน่วยบริการสาธารณสุขหลายระดับ
และยังได้เห็นถึงความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น จนถึงภาคประชาชน ชุมชน ที่เป็นอาสาสมัคร และผู้ดูแลสุขภาพในชุมชน (Care giver)
ที่มีกระบวนการทำงานที่หลากหลายเหมาะสมกับบริบทในพื้นที่ ทำให้คนไทยได้รับบริการสาธาณสุขที่มีคุณภาพ
มาตรฐาน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ในเมือง หรือชนบท ซึ่งตนจะได้นำสิ่งที่ได้จากการศึกษาดูงานครั้งนี้ ไปนำเสนอ
ให้ประเทศอื่นๆ ที่ต้องการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพต่อไป

พญ.ซอมญ่า กล่าวว่า แม้ว่าระบบบริการสาธารณสุขจะพัฒนาไปจนทำให้โรคติดต่อที่เป็นปัญหาในช่วง 20 ปี
ที่ผ่านมา เช่น การติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคติดต่ออื่นๆ ลดลง แต่ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทาย
ทางด้านสาธารณสุขใหม่ ๆ คือ 1.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 2.ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน
โลหิตสูง การเจ็บป่วยของผู้สูงอายุ และกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การบริโภคเกลือและน้ำตาลมาก
เกินไป ซึ่งจะต้องแก้ไขด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือที่ดีจากปัจเจกบุคคล ชุมชน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้บุคลากรทางสาธารณสุขซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด จะต้องเป็นตัวอย่าง
ที่ดีให้กับประชาชน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ 3.การลดอุบัติเหตุทางถนน
4.การป้องกันการติดเชื้อวัณโรค ซึ่งไทยมีระบบการรักษาที่มีคุณภาพมาตรฐาน แต่ยังพบว่าผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มมาก
ขึ้นทุกปี

พญ.ซอมญ่า กล่าวต่อว่า การได้มาลงพื้นที่และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำงานจริงของหน่วยงานต่าง ๆ
จะเป็นข้อมูลในการพัฒนาและแลกเปลี่ยนในด้านนโยบายโรคไม่ติดต่อกับผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลกในการ
แก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อต่อไป ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกพร้อมจะร่วมมือและสนับสนุนประเทศไทยเรื่องการ
วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการดำเนินงานในประเทศไทย และสามารถจัดทำรายงานการดำเนินงาน
และรวบรวมองค์ความรู้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย เพื่อให้ประเทศอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้เข้ามาศึกษางาน
หลักประกันสุขภาพในประเทศไทยด้วยตนเองจะได้ศึกษาจากเอกสารรายงานที่ทำขึ้นนี้ และนำไปการพัฒนา
สุขภาพโลกต่อไป


สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่