โดยย่อ....
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุปสรรค
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุปสรรค ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหวั่นไหว
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความหวั่นไหว ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของผุพัง
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความผุพัง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความยั่งยืน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ต้านทาน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรป้องกัน
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ป้องกัน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีที่พึ่ง
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่พึ่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่าง
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่ว่าง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่างเปล่า
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่เปล่า ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของสูญ
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานสูญอย่างยิ่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอนัตตา
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นโทษ
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีโทษ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของแปรปรวนเป็นธรรมดา
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหาสาระมิได้
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีสาระ ...
อรรถกถา อธิบายข้อพระธรรม นี้.....ว่า
อีกอย่างหนึ่ง การพิจารณาขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกัน เพราะปรากฏคำในอรรถกถาว่า ด้วยการประหารครั้งเดียว ขันธ์ ๕ ก็ออกไปดังนี้ ย่อมควรทีเดียว.
บทว่า ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิจฺจํ นิพฺพานนฺติ ปสฺสนฺโต เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง คือเมื่อพิจารณาเห็นว่า นิพพานเที่ยงด้วยอำนาจแห่งญาณอันเป็นทางสงบ ในกาลแห่งวิปัสสนาตามที่กล่าวแล้วในอาทีนวญาณนิเทศ.
บทว่า สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติ ย่อมหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยาม คือย่อมหยั่งลงในขณะแห่งมรรค ก็ชื่อว่าหยั่งลงในขณะแห่งผลด้วย ในปริยายแห่งการหยั่งลงในนิยามทั้งหมดก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อาโรคยํ คือ ความไม่มีโรค.
บทว่า วิสลฺลํ คือ ปราศจากลูกศร.
ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อนาพาธํ คือ ปราศจากอาพาธ หรือเป็นปฏิปักษ์ต่ออาพาธ.
ในบทเช่นนี้ก็นัยนี้.
บทว่า อปรปจฺจยํ คือ ปราศจากปัจจัยอื่น. อาจารย์บางพวกกล่าวประกอบกันว่า อุปสฺสคฺคโตติ จ อนุปสฺสคฺคนฺติ จ เห็นขันธ์ ๕ โดยมีอุปสรรคและนิพพานไม่มีอุปสรรค.....
.....มาถึงตอนนี้ไม่ต้องต้ม ไม่ต้องตุ๋นกันแล้ว ฝานบางกันสดๆ ใส่พริกใส่เกลือนิดหน่อย ว่า....
บทว่า ปรมสุญฺญํ สูญอย่างยิ่ง ชื่อว่าสูญอย่างยิ่ง เพราะสูญจากสังขารทั้งหมด และเพราะสูญอย่างสูงสุด.
บทว่า ปรมตฺถํ มีประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะเป็นของเลิศกว่าสังขตะและอสังขตะ เป็นนปุงสกลิงค์เพราะลิงควิปลาส.....
เสร็จแล้วก็ปั้นข้าวเหนียวจิ้มเข้าปากกันเดี๋ยวนั้นเลยว่า....
"ท่านไม่กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็นของสูญและเพราะเป็นอนัตตา"
อร่อยเขาละที่นี้....
นี่ไม่ใช่ต้มสุก แต่เป็นลาบก้อยข้าวเหนียวปั้นจื้มกันดิบๆ ?
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุปสรรค
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุปสรรค ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหวั่นไหว
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความหวั่นไหว ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของผุพัง
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความผุพัง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความยั่งยืน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ต้านทาน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรป้องกัน
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ป้องกัน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีที่พึ่ง
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่พึ่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่าง
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่ว่าง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่างเปล่า
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่เปล่า ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของสูญ
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานสูญอย่างยิ่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอนัตตา
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นโทษ
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีโทษ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของแปรปรวนเป็นธรรมดา
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหาสาระมิได้
... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีสาระ ...
อรรถกถา อธิบายข้อพระธรรม นี้.....ว่า
อีกอย่างหนึ่ง การพิจารณาขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกัน เพราะปรากฏคำในอรรถกถาว่า ด้วยการประหารครั้งเดียว ขันธ์ ๕ ก็ออกไปดังนี้ ย่อมควรทีเดียว.
บทว่า ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิจฺจํ นิพฺพานนฺติ ปสฺสนฺโต เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง คือเมื่อพิจารณาเห็นว่า นิพพานเที่ยงด้วยอำนาจแห่งญาณอันเป็นทางสงบ ในกาลแห่งวิปัสสนาตามที่กล่าวแล้วในอาทีนวญาณนิเทศ.
บทว่า สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติ ย่อมหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยาม คือย่อมหยั่งลงในขณะแห่งมรรค ก็ชื่อว่าหยั่งลงในขณะแห่งผลด้วย ในปริยายแห่งการหยั่งลงในนิยามทั้งหมดก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อาโรคยํ คือ ความไม่มีโรค.
บทว่า วิสลฺลํ คือ ปราศจากลูกศร.
ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อนาพาธํ คือ ปราศจากอาพาธ หรือเป็นปฏิปักษ์ต่ออาพาธ.
ในบทเช่นนี้ก็นัยนี้.
บทว่า อปรปจฺจยํ คือ ปราศจากปัจจัยอื่น. อาจารย์บางพวกกล่าวประกอบกันว่า อุปสฺสคฺคโตติ จ อนุปสฺสคฺคนฺติ จ เห็นขันธ์ ๕ โดยมีอุปสรรคและนิพพานไม่มีอุปสรรค.....
.....มาถึงตอนนี้ไม่ต้องต้ม ไม่ต้องตุ๋นกันแล้ว ฝานบางกันสดๆ ใส่พริกใส่เกลือนิดหน่อย ว่า....
บทว่า ปรมสุญฺญํ สูญอย่างยิ่ง ชื่อว่าสูญอย่างยิ่ง เพราะสูญจากสังขารทั้งหมด และเพราะสูญอย่างสูงสุด.
บทว่า ปรมตฺถํ มีประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะเป็นของเลิศกว่าสังขตะและอสังขตะ เป็นนปุงสกลิงค์เพราะลิงควิปลาส.....
เสร็จแล้วก็ปั้นข้าวเหนียวจิ้มเข้าปากกันเดี๋ยวนั้นเลยว่า....
"ท่านไม่กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็นของสูญและเพราะเป็นอนัตตา"
อร่อยเขาละที่นี้....