ความมืด.........5

กระทู้สนทนา
บทที่ 4
https://pantip.com/topic/37973408

ความเดินตอนที่แล้ว
                จากการทำงานมาหลายปีทำให้เขานึกถึงพื้นที่ทุกตารางเมตรของสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ห้องทำงานของเขาอยู่ชั้นล่างสะดวกในการเดินเข้าออก ห่างออกไปไม่เท่าไรเป็นโรงรถและรถเขาจอดอยู่บริเวณนั้น เป็นไปได้ไหมในการวิ่งตรงไปยังรถ ติดเครื่อง เปิดไฟทุกดวง ทั้งด้านหน้าด้านหลังด้านนอกด้านใน ขับทะยานตรงไปยังบ้าน
               เขามองไม่เห็นอาคารคนไข้ซึ่งอยู่ถัดออกไปไม่มากนัก เหมือนว่ามันไม่เคยมีมาก่อน  

.........................



             ไฟฟ้าดับวูบลง จิตแพทย์หนุ่มใจหายวาบ ความมืดด้านนอกคล้ายพวกมันรออยู่ พอแสงไฟจากหลอดไฟหายไปพวกมันเริ่มไหลเลื้อยเข้ามาหาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ  โชคดีว่าบนโต๊ะยังมีเทียนจุดอยู่สามเล่มกำลังสะบัดไหวเปลวไปมาอย่างน่าเป็นห่วงทั้งที่ไม่มีแรงลมแม้สักน้อยนิด  เงาวูบวาบไต่ตามผนังเหมือนเงาภูตผีปีศาจเคลื่อนตัวไปมาคอยหาโอกาสทำร้าย เขาเงี่ยหูฟังเสียงต่าง ๆ  ไม่มีแม้แต่เสียงยานพาหนะวิ่งไปมาอย่างควรจะเป็น ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้นหลุดรอดออกมาจากความมืดรายรอบ จนทำให้นึกไปว่าในความมืดไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

             เออ...ความมืด  ใช่....” เขาพึมพำกับตัวเอง ยกมือลุบใบหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองยังคงมีตัวตน

             แต่การทำอาการอย่างนั้น ไม่ต่างจากคนบ้าเท่าไร คิดแล้วคุณหมอสะดุ้งในใจ  ไม่  เราไม่ได้บ้า...
       
             จิตแพทย์หนุ่ม เดินวนไปมาเป็นหนูติดจั่น ตอนนี้นอกจากความมืดภายนอก ยังมีความมืดภายในใจของเขากำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาเช่นกัน ความมืดในใจเกิดจากความไม่รู้.. ความไม่เข้าใจ...ผสมผสานกันทำให้จิตใจอ่อนไหว ความหวาดกลัวที่หาสาเหตุไม่ได้ มันทำให้เขาตัวสั่น
มีแจกันใส่ดอกไม้แห้งวางบนโต๊ะ เขาหยิบขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ มองไปยังหน้าต่างดำมืดรูปสี่เหลี่ยม ก่อนตัดสินใจขว้างแจกันออกไปนอกหน้าต่าง
      
             เขาหวังว่าจะได้ยินเสียงมันกระทบกับอะไรข้างนอกบ้าง แต่พอแจกันหายลับไปกับความมืดก็คล้ายหายไปจากจักรวาล ไม่มีเสียงอะไรสะท้อนกลับมาเลยสักนิด ไม่มีอะไรเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับแจกันอีกเลย เขาคิดถึงสมัยเด็กเคยยิงหนังสะติ๊กใส่กระป๋องนม หรือพวกกระป๋องเครื่องดื่ม  เวลายิงโดนเป้าหมาย จะรู้สึกถึงความหนักแน่นชนิดหนึ่ง เชื่อมโยงจากกระป๋องมายังมือ เหมือนเป็นสื่อสัมผัสโต้ตอบจากกระป๋อง ถ้ายิงไม่ถูกจะรู้สึกว่ามันเบาโหวงว่างเปล่าไร้ความหมายชอบกล  พอยิงโดนกระป๋องจะรู้สึกสัมผัสถึงความหนักแน่น ความรู้สึกของเขาเวลานี้ ช่างเหมือนยิงลูกหนังสะติ๊กพลาดเป้าหมายไม่มีผิด
       
             ความ ‘ไม่มี’  เป็นอะไรที่น่ากลัวจนทำให้ขนลุก หรือข้างนอกไม่มีอะไรจริง ๆ นอกจากความมืด นึกไปนึกมาความมืดก็คือความไม่มีอะไร  เนื้อแท้ของจักรวาลคือความมืดหรืออย่างไร เขาคิดต่อไปว่าถ้าไม่มีอะไรมันควรจะเป็นสีมืดดำเพราะนั่นคือแก่นแท้ของความไม่มีอะไร
ไม่ใช่...คุณหมอเถียงกับความคิดของตัวเอง  ในความมืดไม่ใช่หมายถึงว่าไม่มีอะไร สิ่งที่เรามองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี เราปิดไฟในห้อง  โต๊ะเก้าอี้ก็ยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน  ว่าแต่...จะเป็นได้ไหมว่า พอเราปิดไฟสิ่งของต่าง ๆ หายไปโดยที่เราไม่รู้ พอเปิดไฟมันก็กลับมาเป็นปกติ...ไม่มีทาง...เราดับไฟสิ่งของยังคงอยู่ เพราะเราสัมผัสมันได้

             แต่ถ้ามันหายไป แล้วกลับมาตามเดิมตอนที่เรายื่นมือออกไปจับต้องมันล่ะ
      
             บ้าน่า...จิตแพทย์หนุ่มสลัดความคิดวุ่นวายสับสนออกไป  เริ่มตกใจกลับความคิดของตัวเองที่กำลังเตลิดเปิดเปิง  คว้าเทียนไขจากโต๊ะมาหนึ่งเล่ม พยายามนึกว่ามันก็เป็นแค่เหตุการณ์ไฟฟ้าดับตามธรรมดา ไม่มีอะไรต้องกังวล ห่างออกไปจากห้องไม่มากนักก็เป็นหมู่ตึกคนไข้ เพียงแต่เดินออกไปสักนิดก็จะเจอพวกเขา เจ้าหน้าที่ คงกำลังวุ่นวายกับการดูแลคนไข้
      
             แต่ทำไมไม่แสงไฟให้เห็น  ความคิดอีกด้านหนึ่งแย้งอย่างเงียบ ๆ แต่น่ากลัว...อยู่แค่นี้เอง แสงไฟฉาย เสียงตะโกนโหวกเหวกซึ่งควรจะมีหายไปไหน เขาตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ความมืดในจิตใจก่อตัวขึ้นมาอีกจนแทบระงับไม่อยู่ กลัวทั้งที่ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ความกลัวคงออกมาจากจิตใจอ่อนแอของเขาเองกระมัง
      
             ไอ้บ้า.....จิตแพทย์หนุ่มกัดฟันด่าตัวเอง ทำไมไม่ลองเดินไปดูล่ะ... นึกเสียดายไม่มีไฟฉาย แต่เทียนก็มี พอช่วยได้ ลมก็ไม่แรง แค่ถือเทียนไขเดินออกไปหาเพื่อนเท่านั้นเอง ไปทักทายพูดคุยกับพวกเขาในคืนไฟดับ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ประตูห้องก็เปิดอยู่ มัวรออะไรอีกล่ะ นึกโมโหว่าไม่มีเหล้าติดอยู่ในห้องสักขวด บางทีมันอาจปลุกปลอบใจได้บ้าง ความหวาดกลัวทับถม กดดันจนความอ่อนแอปะทุขึ้นมาขนาดนี้
      
             ไม่ลองก็ไม่รู้  จิตแพทย์หนุ่มค่อยประคองเทียนไขด้วยความระมัดระวัง ลากเท้าอย่างลำบากยากเย็น ไปยังประตูซึ่งดูเป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้ามืดดำรออยู่ข้างหน้าราวบานประตูลงสู่นรกอเวจี เปลวเทียนสั่นไหวทั้งที่ไม่มีแรงลม  เขาสลัดความคิดหวาดกลัวและความมืดออกจากความรู้สึกนึกคิด ค่อยก้าวตรงไปยังประตูอย่างระมัดระวัง
         
             เวลานี้เขาไม่สามารถแยกออกว่าอะไรคือ ความมืด อะไรคือความไม่มี หรือเพราะไม่มีจึงมืดดำ พอมาถึงประตู เท้าทั้งคู่แข็งทื่อก้าวไม่ออก  ถ้าเดินออกไปเขาจะหลุดร่วงลงไปในความมืดหรือไม่  ยังจะมีพื้นดินรองรับอยู่หรือไม่  หรือว่าพอก้าวเท้าออกไปในความมืด เขาจะร่วงหล่นลอยลงไปตลอดกาล
       
             มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ..! เขาสบถในใจ และพยายามปลอบใจตัวเอง ก็แค่ไฟดับธรรมดา ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหาเลยไม่มีเวลาเอะอะโวยวาย แต่ว่า... พอมีคำว่า “แต่ว่า” ตามมาทำให้เขาขนลุกขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

             ก็แค่ก้าวเท้าออกไป....

             ทำไมไม่กล้า.....

             เจ้าบ้าเอ้ย......จิตแพทย์นึกด่าตัวเอง คืนนี้เป็นบ้าอะไรไป
            
              ไม่มี “แต่ว่า”....เขาพยายามคัดค้านสุดชีวิต ทำไมต้องไปคิดถึงเรื่องเหลวไหล แต่ทำนบปราการแห่งความแข็งแกร่งภายในจิตใจกลับค่อยพังทลายลงทุกที   ความคิดด้านลบบุกโจมตีความแข็งแกร่งของจิตใจอย่างไม่หยุดยั้งด้วยเหตุผลและความสงสัย
        
             ไม่โว้ย ฉันไม่คิด...!  แต่ถ้าสมมุติว่ามันอาจเป็นไปได้ว่าขณะนี้เหลือเขาเพียงคนเดียวในจักรวาลล่ะ มันจะเป็นอย่างไร   พอความคิดประหลาดเริ่มเกิดตามมา เทียนไขในมือสั่นไหวตามมือสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่จนน้ำตาเทียนไหลหยดลงบนข้อมือ ความเจ็บร้อนเหมือนกระตุ้นสติให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง  เขาสูดลมหายใจลึก ๆ พยายามรวบรวมสติ ค่อยย่อเข่าลงนั่ง ลดเทียนในมือลงไปติดพื้นตรงหน้าบันได
    
             ฉันเป็นจิตแพทย์ ไม่ใช่คนบ้า    เขาคำรามในใจ
       
             แสงไฟสว่างมองเห็นพื้นคอนกรีต ถัดออกไปพอมองเห็นเป็นพื้นดิน
      
             หมอหนุ่มหัวเราะลั่นออกมาเหมือนคนบ้า  และถ้าใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าเขาบ้าจริง ๆ  ทำไมแค่มองเห็นพื้นดินนอกห้องต้องดีอกดีใจมากมายเกินจริง จิตแพทย์หนุ่มเริ่มค่อยเดินอย่างระมัดระวัง คุกเข่าลงเอามือแตะพื้นดูแผ่วเบา มันให้ความรู้สึกถึงความเป็นพื้นดินจริง ยังสัมผัสถึงต้นหญ้าเล็ก ๆ ขึ้นประปรายบริเวณนั้น  มีพื้นดินสามารถจับต้องได้ด้วย ถ้ามีใครรู้ว่าเขาคิดแบบนี้คงหาว่าเขาบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วจะต้องกลัวอะไรอีก รถก็จอดอยู่ในลานจอดรถไม่ไกล แค่เดินตรงไปหาเปิดประตูรถแล้วสตาร์ทรถ ขับตรงไปยังบ้าน หาลูกและภรรยา กินอาหารเย็นด้วยกันอย่างมีความสุข
      
             เขาลองขยับตัวไปอีกสองสามฟุต พื้นดินก็ปรากฏให้เห็นไกลออกไปอีกสองสามฟุตเช่นกัน   แต่นอกนั้นคือความมืดดำ ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแสงดาว ไม่มีแสงสว่างอะไรทั้งนั้น มืดและเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระทึกสะท้านทรวง แสงเทียนสั่นไหว เงาแห่งความมืดกำลังเป่าเปลวเทียน จิตแพทย์หนุ่มถอยกรูดเข้ามาในห้องอย่างไม่ตั้งใจเหมือนคนโรคจิตไม่กล้าเผชิญโลกภายนอก เวลาช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก เขายังมีเทียนไขเหลือไว้ก่อกรกับความมืดอยู่ไม่มากนัก
       
             ให้ตายสิ!….เขาตรวจนับดู
        
             เทียนไขเหลือไม่กี่แท่ง ใครจะไปนึกว่าจะเจอความมืดบ้าเลือดขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าต่อให้จุดทีละเล่มก็ไม่มีวันพ้นคืนนี้ถึงรุ่งเช้า แล้วถ้าเทียนไขหมดจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะหายไปเหมือนทุกคนหรือไม่ รู้สึกเหมือนว่าถูกไล่ให้จนมุมเข้าไปทุกที ด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออันถูกขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัว
        
             ลองยกหูโทรศัพท์อีกครั้ง ไม่มีสัญญาณ  ไม่มีอะไรตอบกลับมา นอกจากความเงียบและอ้างว้าง

             ตั้งสติให้ดีสิ ไอ้บ้า...เขาสบถด่าตัวเอง  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันน่าจะมีคำอธิบายสักอย่าง สายโทรศัพท์คงเสียกะทันหัน  ข้างนอกนั่นเขาก็พิสูจน์แล้วว่ามันยังมีอยู่ มีพื้นดิน และจะมีทุกอย่างที่เคยมีและควรจะมี  ไม่เชื่อลองดูอีกทีก็ได้ เขาปลุกปลอบใจให้เข้มแข็งและความเชื่อมั่นกลับคืนมา บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มเขาเลือกเล่มหนา ๆ ติดมือมาสามเล่มเดินตรงไปยังประตู ยกหนังสือขึ้นและทุ่มออกไปเต็มแรงในความมืด เสียงหนังสือกระทบพื้นจะไพเราะน่าฟังขนาดไหน
         
             หมอหนุ่มตัวเย็นเฉียบ... ทรุดกายลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลยสักนิด เงียบขนาดแทบจะเรียกได้ว่าเข็มหล่นยังได้ยิน หนังสือทั้งสามเล่มเมื่อปลิวจากมือเข้าสู่ความมืด ต่างพากันหายไร้ตัวตนไปเลย  ไม่มีเสียงหนังสือกระทบพื้นอย่างควรจะเป็น ความเชื่อมั่นเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาลดหายไปอีกครั้ง  มันเรื่องบ้าอะไรกัน.. ก็เขาเพิ่งเห็นพื้นดินอยู่เมื่อครู่แล้วมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร นั่งเหงื่อตกอยู่พักหนึ่งจึงพยายามฝืนใจลุกขึ้นยืน หยิบเทียนไขซึ่งปักตั้งไว้บนโต๊ะมาตัวหนึ่ง ลากขาช้า ๆ ไปยังประตู ยังไงขอพิสูจน์อีกครั้ง เขาค่อยย่อตัวก้มลงส่องดูพื้นดิน ยื่นแท่งเทียนไขในมือออกไปข้างหน้า
       
             ก็นั่นไงเล่า....พื้นดินยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน!
      
             “พื้นดินยังอยู่ มันยังอยู่..พื้นดินยังอยู่ !”
         
             จิตแพทย์หนุ่มตะโกนสุดเสียงเป็นการปลุกปลอบขวัญตัวเอง  เห็นพื้นดินแล้วตะโกนดีใจ ใครเห็นเข้าก็ต้องนึกว่าบ้าไปแล้วแน่นอน แต่เวลานี้ไม่มีอะไรจะต้องกลัว ผู้คนไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนหมด ถ้ามีใครสักคนโผล่มาและชี้หน้าด่าว่าเขาเป็นบ้า คงทำให้ดีใจแทบบ้า...
        
             ค่อยขยับไปอีกอย่างระมัดระวัง พื้นดินค่อยปรากฏให้เห็นไกลออกไปเป็นลำดับตามรัศมีแสงเทียน
        
             นั่นไง...หนังสือทั้งสามเล่มวางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ เขาเอื้อมมือสั่นเทาไปแตะ ไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นหนังสือชัด ๆ
      
             “มันไม่ได้หายไป มันไม่ได้หายไป..!!!”



.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่