'สนช.'ถกงบฯ62 วงเงิน 3 ล้านล.30ส.ค. เผย 5 ปีรบ.-คสช.ใช้แล้ว 14 ล้านล.
https://www.matichon.co.th/politics/news_1102150
‘สนช.’ถกงบฯ 62 วงเงิน 3 ล้านล.30 ส.ค. เผย 5 ปีรบ.-คสช.ใช้แล้ว 14 ล้านล. กห.ได้เฉียด 1 ล้านล.
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 30 สิงหาคม มีการบรรจุระเบียบวาระที่สำคัญ คือ การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2562 วาระ2-3 ตามที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญที่มีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ โดยมีกมธ.วิสามัญมีการปรับลดวงเงินลง 24,222,829,100 บาท พร้อมจัดสรรเพิ่มเติมให้หน่วยงานอื่น 24,222,829,100 บาท ทำให้คงตั้งงบประมาณเท่าเดิมตามที่ตั้งไว้คือ 3,000,000,000,000 บาท รวมทั้งสิ้น 61 มาตรา สำหรับรายการเพิ่มเติมสูงสุด 3 อันดับแรกคือ
1. มาตรา 4 งบกลาง ตั้งเพิ่มขึ้น 9 พันล้านบาท สำหรับแผนงานเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
2.มาตรา 30 รัฐวิสาหกิจ ตั้งเพิ่มขึ้น 7.2 พันล้านบาท สำหรับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ใช้ในโครงการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ธกส. และสถาบันเกษตรกร
และ 3. มาตรา 34 กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน 2.5 พันล้านบาท สำหรับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ส่วนรายการเพิ่มเติมจำนวนมากที่น่าสนใจเช่น มาตรา 51 แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตั้งเพิ่มขึ้น 1.8 พันล้านบาท สำหรับโครงการปรับปรุงชลประทาน โครงการจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มพื้นที่ชลประทาน และโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ หรือมาตรา 7 กระทรวงกลาโหมตั้งเพิ่มขึ้นอีก 307 ล้านบาท สำหรับ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหมเงินอุดหนุนบริหารองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 138 ล้านบาทกับกองทัพบกด้านการเสริมสร้างกำลังกองทัพ 169 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบรายจ่ายเพิ่มเติม ตลอด 5 ปี ภายใต้รัฐบาลคสช.รวมใช้เงินไปแล้วทั้งสิ้น 14 ล้านล้านบาท เป็นการจัดงบประมาณแบบขาดดุลทุกปีรวม 2.1 ล้านล้านบาท โดยงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่ถูกจับตาตลอด 5 ปี รวมได้รับอนุมัติงบฯ ราว 9.38 แสนล้านบาท
'พท.'แนะมาร์คไปถาม'ไอติม' เหตุใดปชป.ถึงแพ้เลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_1101785
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม นาย
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีนาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ พาดพิงพรรคเพื่อไทยเป็นต้นเหตุรัฐประหารว่า สิ่งที่นาย
อภิสิทธิ์ พูดอาจมาจากชุดความคิดเดิมๆ ที่ยังคงหมกมุ่นวนเวียนอยู่กับความเข้าใจผิด หรือพยายามสะกดจิตตัวเองให้เชื่อและพูดแบบนั้น เป็นแผ่นเสียงตกร่องตลอดเวลา โดยปราศจากการสำรวจตัวเอง ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้ประเทศเกิดรัฐประหารหรือไม่ คนส่วนใหญ่น่าจะไม่เห็นด้วยกับนายอภิสิทธิ์ เพราะมีข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ยืนยันชัดว่า บ้านเมืองมาถึงจุดนี้ มาจากความไม่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลาออกมาเป็นแกนนำม็อบ ชัตดาวน์ประเทศ ก่อจลาจลขัดขวางการเลือกตั้ง สมาชิกพรรคหลายคนไปเป็น กปปส.เพื่อสร้างสถานการณ์เรียกร้องรัฐประหารหรือไม่ พอรัฐประหารสำเร็จก็กลับมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอใกล้จะเลือกตั้งก็พยายามจะพลิกตัวเองมารับบทพระเอกแล้วผลักคนอื่นไปเป็นผู้ร้ายหรือไม่
“นายอภิสิทธิ์ ทำสถิติเป็นหัวหน้าพรรคที่นำสมาชิกพรรคบอยคอตการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง ไปร่วมเป่านกหวีดด้วยตัวเองก็ไปมาแล้วหรือไม่ ถ้าทุกฝ่ายยึดมั่นในกติกาประชาธิปไตย ยุบสภาก็ไปเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินใจ ใครชนะก็มาบริหารประเทศ คนแพ้ก็รอ 4 ปี ไปคิดนโยบายเพื่อให้ชนะใจประชาชน ปัญหาก็คงไม่เกิด แทนที่นายนายอภิสิทธิ์ จะท่องคาถากล่าวหาคนอื่นอยู่แบบนี้ น่าจะลองไปคุยกับไอติม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายนายอภิสิทธิ์ ที่ยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้ง 20 ปี เพราะนโยบายไม่ตอบโจทย์ให้ชนะได้ เอาเวลาไปคิดนโยบายแก้ปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชน นำพาประเทศชาติก้าวไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์ ลดการพาดพิงคนอื่นไปในทางเสียหายจะดีกว่า พรรคเพื่อไทย ขอเชิญชวนทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง ไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ คิดการเมืองให้น้อย คิดถึงบ้านเมืองให้มาก” นาย
อนุสรณ์ กล่าว
'ธนาธร' ย้ำการเมืองท้องถิ่นไทยแค่ 1.0 เหตุผู้มีอำนาจกลัวกระจายอำนาจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_1102186
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ชุมพร นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.) เข้าร่วมเสวนาเรื่อง
“การเมืองท้องถิ่นยุคใหม่เพื่อพัฒนาประเทศไทยยุค 4.0” และพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ชุมพร โดยนาย
ธนาธร กล่าวตอนหนึ่งว่า การเมืองท้องถิ่นในประเทศไทยไม่เคยเกิดขึ้นอย่างจริงจัง การเมืองระดับชาติคือการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ส่วนการเมืองท้องถิ่นคือการเลือกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หลายคนยังเข้าใจผิดว่าการเลือกผู้แทนราษฎร เช่น ส.ส.ชุมพร จะเข้าไปทำหน้าที่บริหารงานจังหวัด แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะ ส.ส.ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อออกกฎหมาย
นาย
ธนาธรกล่าวว่า การกระจายอำนาจถูกเขียนและเกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540 ซึ่งทำให้มีการเลือกตั้ง อบต.และ อบจ.เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ข้าราชการส่วนภูมิภาคมีอำนาจปกครองท้องถิ่น เมื่อมี อบต.และ อบจ. เข้ามาแบ่งอำนาจ จึงเกิดความตึงเครียดระหว่างอำนาจเก่ากับใหม่ ภายหลังการทำรัฐประหารปี 2549 และปี 2557 กลุ่มคนผู้มีอำนาจในสังคมก็เกลียดกลัวการกระจายอำนาจมาก เพราะเป็นการลดบทบาทของภาครัฐที่มีต่อประชาชน แม้จะมีความพยายามสร้างการเมืองระดับท้องถิ่น แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นสมบูรณ์ในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดได้ว่าการเมืองท้องถิ่นตอนนี้เป็นยุค 4.0 เพราะที่ผ่านมายังก้าวไม่พ้น 1.0 เลย
“ไม่มีวิธีใดที่จะอธิบายการกระจายอำนาจได้ดีไปกว่าเรื่องเงิน เราทุกคนต่างเสียภาษีไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง อาจเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ในปัจจุบันงบประมาณถูกกำหนดโดยส่วนกลาง จริงๆ แล้วท้องถิ่นสามารถเก็บภาษีได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกลไกที่จะทำให้ท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองได้ คนต่างจังหวัดกลายเป็นคนรับเคราะห์กรรมจากการพัฒนา แต่ผลประโยชน์จากการพัฒนาตกไปอยู่ที่คนอื่น เพราะท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการเข้าถึงทรัพยากร เช่น เมื่อมีโรงไฟฟ้าเกิดขึ้น ผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบก็คือคนท้องถิ่นที่ต้องเสียวิถีชีวิต เสียสุขภาพ พี้นที่ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะคือภาคอุตสาหกรรม แต่คนที่รับมลพิษคือคนที่บ้านอยู่ข้างโรงไฟฟ้า” ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่กล่าว
นาย
ธนาธรกล่าวถึงสถิติจากรายงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในประเทศไทยของธนาคารโลกว่า การจัดสรรงบประมาณของกรุงเทพฯ ที่แม้จะมีประชากร 17% ของประเทศและทำรายได้ 26% ของ GDP ทั้งหมด แต่กลับได้รับงบประมาณถึงกว่า 72% ของงบประมาณทั้งหมด ในทางกลับกันภาคอีสานที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศถึง 34% และทำรายได้ถึง 11% แต่กลับได้รับงบประมาณเพียง 6% ของงบประมาณใช้จ่าย
“เห็นชัดเลยว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาและความไม่เสมอภาคสูงมาก ทุกจังหวัดในประเทศไทยที่ยากจน ไม่ใช่เพราะคนต่างจังหวัดขี้เกียจ ไม่ใช่เพราะไม่มีศักยภาพ แต่เกิดจากอำนาจที่มีไม่เท่ากัน ภาษี รายได้ทั้งหมด ถูกเอาไปพัฒนากรุงเทพฯเยอะเกินไป” นาย
ธนาธรกล่าว
'ชทพ.' ชี้คลายล็อกพรรคเหตุ กม.บังคับ เชื่อ คสช.หวั่นแรงกดดันใส่ รบ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_1101511
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม นาย
นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงกรณีที่นาย
วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาคลายล็อก 6 ข้อ ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ว่า ถ้าถามว่าเชื่อหรือไม่ว่า 6 ข้อนั้นเป็นไปได้หรือไม่ คำตอบก็คือเชื่อ เพราะว่าถึงเวลาแล้วตามกฎหมายและทั้ง 6 ข้อนั้น เป็นเรื่องที่ผ่านการพูดคุยหารือระหว่าง คสช.กับพรรคการเมืองครั้งที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่ใช่เป็นการร้องขอ ถ้าไม่ทำจะเกิดปัญหากับทุกคน ทั้งผู้ถืออำนาจ พรรคการเมือง ระบบเลือกตั้งและกระทบไปถึงโรดแมปการเลือกตั้งด้วย
“เชื่อว่าจะมีการคลายล็อกก่อน การปลดล็อกจะตามมาในเวลาไม่นาน คสช.คงจะคลายล็อกให้ทั้งหมด เพราะจะมีผลทางการเมือง อาจจะเกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลก็ได้ ดังนั้น จึงเพียงแค่คลายล็อก ถึงจะเรียกร้องอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าจะมีการปลดล็อกทั้งหมด เพราะหากมองในแง่ของรัฐบาล และคสช.อาจจะสุ่มเสี่ยงเกินไปต่อเรื่องอื่นๆ เชื่อว่าคงรอกระทั่งกฎหมายมีผลบังคับใช้ และใช้การบังคับตามกฎหมายคือ ให้กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วมีกฤษฎีกาเลือกตั้งและมีการจัดการ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 6 ข้อนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องทำ ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตาม เพื่อให้พรรคการเมืองประชุมได้ ต้องมีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองได้ จัดการเรื่องสมาชิกได้ เพราะทุกเรื่องอยู่ในกฎหมายทั้งหมดทุกข้อเกี่ยวเนื่องกันไปหมด เรียกว่าเฟืองต่อเฟืองต่อเนื่องกันไปหมด” นาย
นิกรกล่าว
ผู้อำนวยการพรรค ชทพ.กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องวิธีการทำไพรมารีโหวตที่นาย
วิษณุยังพูดไม่ชัด อาจเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทางการเมืองเป็นหลัก เบื้องต้นตามรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีไพรมารีโหวต เพราะฉะนั้นการยึดถือตามรัฐธรรมนูญเป็นนัยสำคัญจะได้ไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หาก คสช.เลือกที่จะคลายล็อกเรื่องใด ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำได้อยู่แล้ว ไม่น่ากังวล ทั้งนี้ การที่ไม่ปลดล็อกไปเลย คงเพราะกลัวว่าจะเป็นแรงกดดันต่อรัฐบาล เพราะในการหาเสียงเลือกตั้งบางมิติการชี้ว่ารัฐบาลทำไม่ถูกนั้นก็เป็นการหาเสียงอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจากเกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลอย่างมาก ไม่ใช่การหาเสียงเพื่อการเลือกตั้ง แต่แรงกดดันจะไปอยู่ที่รัฐบาล โดยอาจจะกลัวเรื่องความรุนแรงทางการเมือง ที่จะพุ่งเข้าใส่รัฐบาลมากกว่า ดังนั้น เชื่อว่าการปลดล็อกทั้งหมด คสช. คงรอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้
“พรรคการเมืองยอมรับสภาพการคลายล็อกได้ เพราะไม่มีทางเลือกอื่น อย่างไรก็ต้องยอมรับ เชื่อว่ายังไม่ปลดล็อกแน่ที่ต้องคลายล็อกเพราะเป็นสภาพบังคับของกฎหมาย แต่สภาพของการเมืองจะทำให้การปลดล็อกเกิดขึ้นหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ และไม่เชื่อว่าจะกระทบต่อโรดแมป เนื่องจากหลายเสียงยังย้ำอยู่ว่าเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แต่ยกเว้นว่ามีเหตุผลอื่นที่จะขยายไป แต่จะไปบอกว่าเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แน่นอนก็พูดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการตัดสินใจร่วมกับ กกต. จะกลายเป็นการก้าวก่าย กกต. ต้องเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ยกเว้นว่ามีเหตุผลอื่นที่ยังไม่มีรู้ว่าคืออะไร” นาย
นิกรกล่าว
JJNY : 6in1 งบฯ62 วงเงิน 3 ลล./แนะมาร์คถาม'ไอติม'/ธนาธรย้ำ/'ชทพ.' ชี้คลายล็อก/รับมือคลายล็อค/ระวัง2เขื่อนใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_1102150
‘สนช.’ถกงบฯ 62 วงเงิน 3 ล้านล.30 ส.ค. เผย 5 ปีรบ.-คสช.ใช้แล้ว 14 ล้านล. กห.ได้เฉียด 1 ล้านล.
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 30 สิงหาคม มีการบรรจุระเบียบวาระที่สำคัญ คือ การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2562 วาระ2-3 ตามที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญที่มีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ โดยมีกมธ.วิสามัญมีการปรับลดวงเงินลง 24,222,829,100 บาท พร้อมจัดสรรเพิ่มเติมให้หน่วยงานอื่น 24,222,829,100 บาท ทำให้คงตั้งงบประมาณเท่าเดิมตามที่ตั้งไว้คือ 3,000,000,000,000 บาท รวมทั้งสิ้น 61 มาตรา สำหรับรายการเพิ่มเติมสูงสุด 3 อันดับแรกคือ
1. มาตรา 4 งบกลาง ตั้งเพิ่มขึ้น 9 พันล้านบาท สำหรับแผนงานเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
2.มาตรา 30 รัฐวิสาหกิจ ตั้งเพิ่มขึ้น 7.2 พันล้านบาท สำหรับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ใช้ในโครงการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ธกส. และสถาบันเกษตรกร
และ 3. มาตรา 34 กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน 2.5 พันล้านบาท สำหรับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ส่วนรายการเพิ่มเติมจำนวนมากที่น่าสนใจเช่น มาตรา 51 แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตั้งเพิ่มขึ้น 1.8 พันล้านบาท สำหรับโครงการปรับปรุงชลประทาน โครงการจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มพื้นที่ชลประทาน และโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ หรือมาตรา 7 กระทรวงกลาโหมตั้งเพิ่มขึ้นอีก 307 ล้านบาท สำหรับ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหมเงินอุดหนุนบริหารองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 138 ล้านบาทกับกองทัพบกด้านการเสริมสร้างกำลังกองทัพ 169 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบรายจ่ายเพิ่มเติม ตลอด 5 ปี ภายใต้รัฐบาลคสช.รวมใช้เงินไปแล้วทั้งสิ้น 14 ล้านล้านบาท เป็นการจัดงบประมาณแบบขาดดุลทุกปีรวม 2.1 ล้านล้านบาท โดยงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่ถูกจับตาตลอด 5 ปี รวมได้รับอนุมัติงบฯ ราว 9.38 แสนล้านบาท
'พท.'แนะมาร์คไปถาม'ไอติม' เหตุใดปชป.ถึงแพ้เลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_1101785
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ พาดพิงพรรคเพื่อไทยเป็นต้นเหตุรัฐประหารว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ พูดอาจมาจากชุดความคิดเดิมๆ ที่ยังคงหมกมุ่นวนเวียนอยู่กับความเข้าใจผิด หรือพยายามสะกดจิตตัวเองให้เชื่อและพูดแบบนั้น เป็นแผ่นเสียงตกร่องตลอดเวลา โดยปราศจากการสำรวจตัวเอง ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้ประเทศเกิดรัฐประหารหรือไม่ คนส่วนใหญ่น่าจะไม่เห็นด้วยกับนายอภิสิทธิ์ เพราะมีข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ยืนยันชัดว่า บ้านเมืองมาถึงจุดนี้ มาจากความไม่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลาออกมาเป็นแกนนำม็อบ ชัตดาวน์ประเทศ ก่อจลาจลขัดขวางการเลือกตั้ง สมาชิกพรรคหลายคนไปเป็น กปปส.เพื่อสร้างสถานการณ์เรียกร้องรัฐประหารหรือไม่ พอรัฐประหารสำเร็จก็กลับมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอใกล้จะเลือกตั้งก็พยายามจะพลิกตัวเองมารับบทพระเอกแล้วผลักคนอื่นไปเป็นผู้ร้ายหรือไม่
“นายอภิสิทธิ์ ทำสถิติเป็นหัวหน้าพรรคที่นำสมาชิกพรรคบอยคอตการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง ไปร่วมเป่านกหวีดด้วยตัวเองก็ไปมาแล้วหรือไม่ ถ้าทุกฝ่ายยึดมั่นในกติกาประชาธิปไตย ยุบสภาก็ไปเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินใจ ใครชนะก็มาบริหารประเทศ คนแพ้ก็รอ 4 ปี ไปคิดนโยบายเพื่อให้ชนะใจประชาชน ปัญหาก็คงไม่เกิด แทนที่นายนายอภิสิทธิ์ จะท่องคาถากล่าวหาคนอื่นอยู่แบบนี้ น่าจะลองไปคุยกับไอติม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายนายอภิสิทธิ์ ที่ยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้ง 20 ปี เพราะนโยบายไม่ตอบโจทย์ให้ชนะได้ เอาเวลาไปคิดนโยบายแก้ปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชน นำพาประเทศชาติก้าวไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์ ลดการพาดพิงคนอื่นไปในทางเสียหายจะดีกว่า พรรคเพื่อไทย ขอเชิญชวนทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง ไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ คิดการเมืองให้น้อย คิดถึงบ้านเมืองให้มาก” นายอนุสรณ์ กล่าว
'ธนาธร' ย้ำการเมืองท้องถิ่นไทยแค่ 1.0 เหตุผู้มีอำนาจกลัวกระจายอำนาจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_1102186
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ชุมพร นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.) เข้าร่วมเสวนาเรื่อง “การเมืองท้องถิ่นยุคใหม่เพื่อพัฒนาประเทศไทยยุค 4.0” และพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ชุมพร โดยนายธนาธร กล่าวตอนหนึ่งว่า การเมืองท้องถิ่นในประเทศไทยไม่เคยเกิดขึ้นอย่างจริงจัง การเมืองระดับชาติคือการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ส่วนการเมืองท้องถิ่นคือการเลือกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หลายคนยังเข้าใจผิดว่าการเลือกผู้แทนราษฎร เช่น ส.ส.ชุมพร จะเข้าไปทำหน้าที่บริหารงานจังหวัด แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะ ส.ส.ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อออกกฎหมาย
นายธนาธรกล่าวว่า การกระจายอำนาจถูกเขียนและเกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540 ซึ่งทำให้มีการเลือกตั้ง อบต.และ อบจ.เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ข้าราชการส่วนภูมิภาคมีอำนาจปกครองท้องถิ่น เมื่อมี อบต.และ อบจ. เข้ามาแบ่งอำนาจ จึงเกิดความตึงเครียดระหว่างอำนาจเก่ากับใหม่ ภายหลังการทำรัฐประหารปี 2549 และปี 2557 กลุ่มคนผู้มีอำนาจในสังคมก็เกลียดกลัวการกระจายอำนาจมาก เพราะเป็นการลดบทบาทของภาครัฐที่มีต่อประชาชน แม้จะมีความพยายามสร้างการเมืองระดับท้องถิ่น แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นสมบูรณ์ในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดได้ว่าการเมืองท้องถิ่นตอนนี้เป็นยุค 4.0 เพราะที่ผ่านมายังก้าวไม่พ้น 1.0 เลย
“ไม่มีวิธีใดที่จะอธิบายการกระจายอำนาจได้ดีไปกว่าเรื่องเงิน เราทุกคนต่างเสียภาษีไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง อาจเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ในปัจจุบันงบประมาณถูกกำหนดโดยส่วนกลาง จริงๆ แล้วท้องถิ่นสามารถเก็บภาษีได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกลไกที่จะทำให้ท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองได้ คนต่างจังหวัดกลายเป็นคนรับเคราะห์กรรมจากการพัฒนา แต่ผลประโยชน์จากการพัฒนาตกไปอยู่ที่คนอื่น เพราะท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการเข้าถึงทรัพยากร เช่น เมื่อมีโรงไฟฟ้าเกิดขึ้น ผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบก็คือคนท้องถิ่นที่ต้องเสียวิถีชีวิต เสียสุขภาพ พี้นที่ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะคือภาคอุตสาหกรรม แต่คนที่รับมลพิษคือคนที่บ้านอยู่ข้างโรงไฟฟ้า” ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่กล่าว
นายธนาธรกล่าวถึงสถิติจากรายงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในประเทศไทยของธนาคารโลกว่า การจัดสรรงบประมาณของกรุงเทพฯ ที่แม้จะมีประชากร 17% ของประเทศและทำรายได้ 26% ของ GDP ทั้งหมด แต่กลับได้รับงบประมาณถึงกว่า 72% ของงบประมาณทั้งหมด ในทางกลับกันภาคอีสานที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศถึง 34% และทำรายได้ถึง 11% แต่กลับได้รับงบประมาณเพียง 6% ของงบประมาณใช้จ่าย
“เห็นชัดเลยว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาและความไม่เสมอภาคสูงมาก ทุกจังหวัดในประเทศไทยที่ยากจน ไม่ใช่เพราะคนต่างจังหวัดขี้เกียจ ไม่ใช่เพราะไม่มีศักยภาพ แต่เกิดจากอำนาจที่มีไม่เท่ากัน ภาษี รายได้ทั้งหมด ถูกเอาไปพัฒนากรุงเทพฯเยอะเกินไป” นายธนาธรกล่าว
'ชทพ.' ชี้คลายล็อกพรรคเหตุ กม.บังคับ เชื่อ คสช.หวั่นแรงกดดันใส่ รบ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_1101511
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาคลายล็อก 6 ข้อ ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ว่า ถ้าถามว่าเชื่อหรือไม่ว่า 6 ข้อนั้นเป็นไปได้หรือไม่ คำตอบก็คือเชื่อ เพราะว่าถึงเวลาแล้วตามกฎหมายและทั้ง 6 ข้อนั้น เป็นเรื่องที่ผ่านการพูดคุยหารือระหว่าง คสช.กับพรรคการเมืองครั้งที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่ใช่เป็นการร้องขอ ถ้าไม่ทำจะเกิดปัญหากับทุกคน ทั้งผู้ถืออำนาจ พรรคการเมือง ระบบเลือกตั้งและกระทบไปถึงโรดแมปการเลือกตั้งด้วย
“เชื่อว่าจะมีการคลายล็อกก่อน การปลดล็อกจะตามมาในเวลาไม่นาน คสช.คงจะคลายล็อกให้ทั้งหมด เพราะจะมีผลทางการเมือง อาจจะเกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลก็ได้ ดังนั้น จึงเพียงแค่คลายล็อก ถึงจะเรียกร้องอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าจะมีการปลดล็อกทั้งหมด เพราะหากมองในแง่ของรัฐบาล และคสช.อาจจะสุ่มเสี่ยงเกินไปต่อเรื่องอื่นๆ เชื่อว่าคงรอกระทั่งกฎหมายมีผลบังคับใช้ และใช้การบังคับตามกฎหมายคือ ให้กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วมีกฤษฎีกาเลือกตั้งและมีการจัดการ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 6 ข้อนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องทำ ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตาม เพื่อให้พรรคการเมืองประชุมได้ ต้องมีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองได้ จัดการเรื่องสมาชิกได้ เพราะทุกเรื่องอยู่ในกฎหมายทั้งหมดทุกข้อเกี่ยวเนื่องกันไปหมด เรียกว่าเฟืองต่อเฟืองต่อเนื่องกันไปหมด” นายนิกรกล่าว
ผู้อำนวยการพรรค ชทพ.กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องวิธีการทำไพรมารีโหวตที่นายวิษณุยังพูดไม่ชัด อาจเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทางการเมืองเป็นหลัก เบื้องต้นตามรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีไพรมารีโหวต เพราะฉะนั้นการยึดถือตามรัฐธรรมนูญเป็นนัยสำคัญจะได้ไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หาก คสช.เลือกที่จะคลายล็อกเรื่องใด ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำได้อยู่แล้ว ไม่น่ากังวล ทั้งนี้ การที่ไม่ปลดล็อกไปเลย คงเพราะกลัวว่าจะเป็นแรงกดดันต่อรัฐบาล เพราะในการหาเสียงเลือกตั้งบางมิติการชี้ว่ารัฐบาลทำไม่ถูกนั้นก็เป็นการหาเสียงอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจากเกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลอย่างมาก ไม่ใช่การหาเสียงเพื่อการเลือกตั้ง แต่แรงกดดันจะไปอยู่ที่รัฐบาล โดยอาจจะกลัวเรื่องความรุนแรงทางการเมือง ที่จะพุ่งเข้าใส่รัฐบาลมากกว่า ดังนั้น เชื่อว่าการปลดล็อกทั้งหมด คสช. คงรอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้
“พรรคการเมืองยอมรับสภาพการคลายล็อกได้ เพราะไม่มีทางเลือกอื่น อย่างไรก็ต้องยอมรับ เชื่อว่ายังไม่ปลดล็อกแน่ที่ต้องคลายล็อกเพราะเป็นสภาพบังคับของกฎหมาย แต่สภาพของการเมืองจะทำให้การปลดล็อกเกิดขึ้นหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ และไม่เชื่อว่าจะกระทบต่อโรดแมป เนื่องจากหลายเสียงยังย้ำอยู่ว่าเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แต่ยกเว้นว่ามีเหตุผลอื่นที่จะขยายไป แต่จะไปบอกว่าเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แน่นอนก็พูดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการตัดสินใจร่วมกับ กกต. จะกลายเป็นการก้าวก่าย กกต. ต้องเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ยกเว้นว่ามีเหตุผลอื่นที่ยังไม่มีรู้ว่าคืออะไร” นายนิกรกล่าว