สวัสดีค่ะ
วันนี้เราจะมาลงรูปที่เราถ่ายจากกล้อง Point & Shoot Pentex 120swii และรูปที่เราวาดระหว่างทางจากการไปทริป 4 ประเทศ จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาร์ทแซค อาร์เซอไบจันค่ะ



มาเริ่มกันเลย!
การเดินทางเราเริ่มจากบินจากกรุงเทพ > บาห์เรน > จอรเจีย ประเทศที่เราจะไปทั้งหมดมีพรมแดนติดกัน นั่งเครื่องบินไปๆมาๆใช้เวลาแค่ 30 นาที - 1 ชม. แต่เราเลือกใช้จอรเจียเป็นฐานหลักเพราะเป็นประเทศที่ทรัพยากรท่องเที่ยวสุดยอดมากและค่าครองชีพถูก ทุกอย่างราคาประมาณไทย
ทบิลิซิ เมืองหลวงของประเทศ ภาพที่ถ่ายมาเป็นเขตเมืองเก่า สถาปัตยกรรมน่ารักมากๆ จะไม่อลังการเหมือนเมืองยุโรปหลัก ออกแนวเป็นตึกแถวเรียงๆกันไล่ระดับ เพราะภูมิประเทศเป็นภูเขา มีกระเช้าเคเบิลให้โดยสารจากด้านล่างไปบนเขา

พอออกมานอกเขตเมืองเก่าก็จะเริ่มโทรมๆหน่อย มีความเป็นบ้านเมืองยุคโซเวียต แต่มันเป็นความผุพังที่สวย สีลอกๆเห็นอิฐข้างใน บังเอิญเขาใช้แมททีเรียลก่อสร้างประเภทคล้ายๆกัน เลยกลายเป็นคุมโทนไป ที่สำคัญเขาชอบปลูกไม้เลื้อยปล่อยให้เลื้อยไปตามกำแพง ระเบียงต่างๆ เหมือนเมืองในนิทาน

แต่ก่อนที่จะเข้ายุคโซเวียต จอรเจียเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองเข้มข้นมาตลอด ศาสนาที่นับถือหลักคือคริสต์ โดยเซนต์ที่นำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในจอร์เจียเป็นเซนต์ผู้หญิง! มีนามว่าเซนต์นีโน่ นอกจากนั้นบุคคลสำคัญอีกคนของประเทศก็เป็นผู้หญิงอีก มีชื่อว่า ควีนทามาร์ หรือมหาราชทามาร์ ที่ได้ชื่อมหาราชเป็นเพราะว่าทามาร์นำจอรเจียเข้าสู่ยุคทอง จุดสูงสุดของประเทศคือเขตแเดนกว้าง เศรษฐกิจดี เป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่จนแทบจะมาแทนอณาจักรไบแซนไทน์ซึ่งตอนนั้นกำลังอ่อนแอลง แม้แต่ตอนสงครามครูเสด ชาวจอรเจียก็ยังเข้าไปแสวงบุญในเยรูซาเล็มได้ไม่เสียค่าผ่านทางเพราะทามาร์เก่งทั้งการรบและการฑูต

วันที่ 2 เราขับรถออกมานอกเมือง ที่นี่ขนส่งสาธรณะราคาถูกมาก รถไฟฟ้าเหมาวันละ 14 บาท

รูปนี้ลองเปิดแฟลชยิงในรถสุดสะเทือน ตอนแรกคิดว่าเบลอแน่ๆแต่ก็ไม่ แค่ติดนิ้ว 5555

ตอนที่เราไปเป็นหน้าร้อนสุดของทั้ง 3 ประเทศ ข้อดีคือพระอาทิตย์ตกตอน 3 ทุ่ม มีแสงเย็นสวยๆให้ถ่ายรูปตั้งแต่ 5โมงเย็นยาวๆเลย

วันที่ 3 เราไปเที่ยวภูเขาชื่อว่าคัซเบกิ บนยอดเขาที่สูงชัน เดินทางยากมากๆ ต้องใช้รถจี๊ปปืนขึ้นไป มีพระกลุ่มหนึ่งไปสร้างชื่อโบสถ์เจอร์เจติ
โบสถ์นี้ตั้งอยู่บนยอดเขา มีฉากหลังเป็นยอดเขาน้ำแข็งถ้ามาในหน้าหนาว ลมแรงมากพัดรูปเราหลุดมือตกเขาไปรูปนึง น้ำตาไหลพรั่กก

เวลาเราไปเที่ยวที่ไหน ด้วยความที่ชอบอ่านตำนานและประวัติศาสตร์ของที่นั่น เราเลยทำซีรีส์ที่วาดรูปผู้หญิงพร้อมเล่าตำนานไปด้วย สำหรับรูปนี้มีชื่อว่า
Eteri of Kartli
คาร์ทลิ หรือคาร์ทเวลิเป็นชื่อชนเผ่าซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากบริเวณแม่น้ำ Mtkvari แถบเทือกเขาคอเคซัส เนืองจากอยู่ในบริเวณพรมแดนของความขัดแยง ชนเผ่าคาร์ทเวลิจึงมีความสามารถในการต่อสู้สูงมาก ต่อมาชื่อของชนเผ่าคาร์ทเวลิได้กลายเป็นชื่อเรียกรวมๆของชนเผ่าในบริเวณนี้
From the mountain of Caucasus, the tribe was born. They called them self Kartveli. They possessed the soul of a mountain with blood of a warrior, and through out history they will fought with the east and the west. They conquered and fall and rise again, free. They’ve become the name of all the Caucasian race. And it all started here at the river of Mtkvari
ลืมบอก ว่าทั้ง 3 ประเทศนี้เคยอยู่ใต้สหภาพโซเวียตมาก่อน ดังนั้นภาษากลางคือ ภาษารัสเซีย แต่ก็มีภาษาออริจินัลของตัวเอง ภาษาอังกฤษใช้ไม่ได้นะคะ ใช้โทรจิตกับgoogle translateสื่อสาร ดังนั้นเอกสารอะไรต้องเตรึยมไปให้พร้อม และคนค่อนข้างไม่มีระเบียบ อะไรที่ตกลงไปแล้วพร้อมโดนแคนเซิลทุกเมื่อ

จอดรถแวะถ่ายวิวโง่ๆข้างทางยังสวย

นี่เป็นครั้งแรกที่เราใช้กล้องตัวนี้จริงจัง เราได้มาก่อนออกทริปอาทิตย์เดียว ระหว่างทริป 16 วันใจตุ่มๆต่อมๆมาก เราเคยถ่ายฟีลม์มาก่อนเยอะแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้กล้องออโต้ ชอบที่มันมีโหมดพาโนราม่า น่ารักงือ

จากการอ่านรีวิวในเนตเขาบอกว่า คัซเบกิสวยมาก แต่คุณจะลืมคัซเบกิไปเลยถ้าได้ไป 'เมสเทีย' การเดินทางไปเมสเทียนั้นค่อนข้างลำบาก กินเวลาเป็นสิบ ชม. แต่ทุกคนบอกว่ามันดี เราเลย เอ้า ไปก็ไป การเดินทางเริ่มจากนั่งรถไฟฉึกฉักจากสถานีเซนทรัลทบิลิซิเป็นเวลา 8 ชม. ไปลงที่เมืองซุกดิดิ

เรานั่งรถไฟนอน ซื้อตู้โบกี้โดยสารชั้น 1 ซึ่งห้องกว้างขวางมาก ราคา 400 บาทเท่านั้น!
จากนั้นก็ต่อรถตู้แชร์ หรือมาสตุ๊ดก๊า เพื่อขับขึ้นเขาอีก 4 ชม.

แต่พอไปถึง ลืมเหนื่อยหมดเลย
เราขี่ม้าขึ้นเขาต่อทันทีอีก 7 ชม. ทั้งๆที่เดินทางมาตลอดทั้งคืน แต่มันไม่เหนื่อยเลยจริงๆ ตลอดทางคือสวย แล้วก็สวยได้อีก สวยเหมือนไม่ใช่โลกมนุษย์ เราไปช่วงหน้าร้อน บนเขาอากาศกำลังดีประมาณ 25 องศา มีลมพัดตลอดเวลา แดดออก ดอกไม้กำลังบานเต็มที่ เป็นช่วง Full Bloom

ระหว่างทางขี่ไปเจอฝูงม้าป่า ตื่นเต้นเกือบ(ตัวเรานี่แหละ กล้องพันไว้อย่างดี)ตกม้า555 รีบหยิบออกมาถ่ายเลย ภาวนาว่าขอให้มันชัดเถ๊อะะเพราะม้าเราวิ่งสะเทือนมาก พอล้างออกมาได้รูปนี่กรี๊ดลั่น

ดอกไม้เต็มไปหมดเลย <3

ดินแดนแถบนี้เรียกรวมๆว่า สวาเนติ ผู้คนที่อาศัยอยู่ชื่อชาวสวาน ซึ่งสมัยก่อนมีวัฒนธรรมในการ Bood feud หรือฆ่าล้างโคตรแก้แค้นแทนกัน ประมาณว่าถ้ามีคนมาฆ่าน้องชายเรา เราก็จะไปฆ่าพี่ชายมัน แล้วน้องมันก็จะมาฆ่าแม่เรา ฯลฯ ไปเรื่อยจนสิ้นพันธุ์ ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวสวานสู้รบเก่งมาก แต่ประชากรน้อย (...ก็แหงล่ะ) เราฟังเรื่องแล้วรู้สึกคิกขุดอกไม้บานมากเลยวาดรูปสาวดอกไม้(?) จริงๆคือเห็นดอกไม้บนเขามันสวยดีเลยวาดแล้วโมเมว่าเป็นสาวชาวสวาน ฮ่าๆ
เมื่อชนเผ่าฮาร์ดคอร์ขนาดนี้แล้ว เทพที่เขาบูชาก็ต้องเดือดตามไปด้วย เทพีที่ชาวภูเขานับถือกันมีนามว่า ดาลี เป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์

ดาลีมักปรากฏกายเป็นหญิงสาวสวยเปลือยกายขาวโพลนจนตาพร่ากลางป่ามาล่อพรานหนุ่ม แต่ถ้าพรานเอาเรื่องที่ได้เจอดาลีไปเล่าต่อจะโดนคำสาป ดาลีมีลูกกับมนุษย์หลายคนเกิดเป็นวรรณะครึ่งคนครึ่งเทพ หรือเรียกว่า อามีรานีฮีโร่ เทพปรนัมจอร์เจียนั้นเป็นสายของตนเอง มีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย แต่โครงสร้างคล้ายเทพปรนัมกรีก คือเทพมีรักโลถโกรธหลง มีฮีโร่เป็นครึ่งคนครึ่งมนุษย์เป็นพระเอกมากมาย
อีกวันเราไปหมู่บ้านอุชกูลิ เป็นหมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าอยู่จุดกันดารที่สุดในยุโรป ยังมีหอคอยแบบจอรเจียซึ่งใช้เป็นป้อม+บ้าน อยู่ทั่วเมือง [img]https://f.
ขากลับโชคดีฟ้าเปิด เราเลยได้นั่งเครื่องบินใบพัดกลับ ซึ่งการนั่งเครื่องบินนี่ก็ถือเป็น attraction ที่คนแนะนำกันเยอะ แต่ก็ด่าเยอะเช่นกัน เพราะมีโอกาส 50/50 ที่เครื่องจะไม่ขึ้น เราบังเอิญโชคดี ช่วงเวลาที่อยู่บนนั้น ดูวิวภูเขาโผล่มาแล้วก็หายไปกลางเมฆแล้วฟังเพลงไปด้วยมันสุดยอดมากๆ

วันนั้นจริงๆอากาศค่อนข้างหมอกมาก เราเลยเอานิ้วถูเลนส์ไปเลย ฟุ้งแล้วก็ไปให้สุด

กลับมาที่จอรเจียตอนกลางคืนและหอนาฬิกาโรงละครหุ่นกระบอกสุดน่ารัก

ต่อจากนั้นเราก็ไปอาร์เซอไบจัน (จริงๆเราไปอาร์เซอไบจันและอาร์มีเนียก่อนกลับมาเมสเทีย แต่เพื่อไม่ให้การลำดับกระทู้กลับไปกลับมาเราเลยจบพาร์ทจอร์เจียทีเดียวไปเลย)

Azer แปลว่า ไฟ ชาวอาร์ไบจันเรียกตัวเองว่า Azeri หรือ ชาวไฟ
ดังนั้น... อากาศร้อนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
40องศา+++แดดแรงสุดทุกอย่างสุดตามแบบเมืองอาหรับเลย แต่เนื่องจากเป็นประเทศค้าน้ำมันที่ไม่เคร่งอยู่ติดกับยุโรปแล้วยังเคยตกเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียต ทำให้อาร์เซอไบจันเป็นประเทศที่ดูเผินๆ เมืองหลวงบาคูเหมือนอยู่ประเทศยุโรปใหญ่ๆ

เราชอบถ่ายเครื่องรางในรถของแต่ละประเทศ พอมาที่นี่ก็เป็นโครานจิ๋ว

มีหาดติดเมือง เป็นแหล่งหย่อนใจ พร้อมชายหนุ่มผู้มีความสุข

สถาปัตยกรรมนิยมสร้างแบบมีระเบียงยื่นออกมาคล้ายจอรเจียและอาร์เมเนีย เป็นสไตล์ที่เป็นที่นิยมของแถบนี้
ต่อในรีพลายนะคะที่เต็ม

แต่ถ้าจะกด + กระทู้ รบกวนช่วยกดบวกที่โพสแรกอันนี้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^^
บันทึกรูปวาดและภาพฟีลม์จากกล้องคอมแพค ทริปคอเคซัสใต้ 16 วัน
วันนี้เราจะมาลงรูปที่เราถ่ายจากกล้อง Point & Shoot Pentex 120swii และรูปที่เราวาดระหว่างทางจากการไปทริป 4 ประเทศ จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาร์ทแซค อาร์เซอไบจันค่ะ
มาเริ่มกันเลย!
การเดินทางเราเริ่มจากบินจากกรุงเทพ > บาห์เรน > จอรเจีย ประเทศที่เราจะไปทั้งหมดมีพรมแดนติดกัน นั่งเครื่องบินไปๆมาๆใช้เวลาแค่ 30 นาที - 1 ชม. แต่เราเลือกใช้จอรเจียเป็นฐานหลักเพราะเป็นประเทศที่ทรัพยากรท่องเที่ยวสุดยอดมากและค่าครองชีพถูก ทุกอย่างราคาประมาณไทย
ทบิลิซิ เมืองหลวงของประเทศ ภาพที่ถ่ายมาเป็นเขตเมืองเก่า สถาปัตยกรรมน่ารักมากๆ จะไม่อลังการเหมือนเมืองยุโรปหลัก ออกแนวเป็นตึกแถวเรียงๆกันไล่ระดับ เพราะภูมิประเทศเป็นภูเขา มีกระเช้าเคเบิลให้โดยสารจากด้านล่างไปบนเขา
พอออกมานอกเขตเมืองเก่าก็จะเริ่มโทรมๆหน่อย มีความเป็นบ้านเมืองยุคโซเวียต แต่มันเป็นความผุพังที่สวย สีลอกๆเห็นอิฐข้างใน บังเอิญเขาใช้แมททีเรียลก่อสร้างประเภทคล้ายๆกัน เลยกลายเป็นคุมโทนไป ที่สำคัญเขาชอบปลูกไม้เลื้อยปล่อยให้เลื้อยไปตามกำแพง ระเบียงต่างๆ เหมือนเมืองในนิทาน
แต่ก่อนที่จะเข้ายุคโซเวียต จอรเจียเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองเข้มข้นมาตลอด ศาสนาที่นับถือหลักคือคริสต์ โดยเซนต์ที่นำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในจอร์เจียเป็นเซนต์ผู้หญิง! มีนามว่าเซนต์นีโน่ นอกจากนั้นบุคคลสำคัญอีกคนของประเทศก็เป็นผู้หญิงอีก มีชื่อว่า ควีนทามาร์ หรือมหาราชทามาร์ ที่ได้ชื่อมหาราชเป็นเพราะว่าทามาร์นำจอรเจียเข้าสู่ยุคทอง จุดสูงสุดของประเทศคือเขตแเดนกว้าง เศรษฐกิจดี เป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่จนแทบจะมาแทนอณาจักรไบแซนไทน์ซึ่งตอนนั้นกำลังอ่อนแอลง แม้แต่ตอนสงครามครูเสด ชาวจอรเจียก็ยังเข้าไปแสวงบุญในเยรูซาเล็มได้ไม่เสียค่าผ่านทางเพราะทามาร์เก่งทั้งการรบและการฑูต
วันที่ 2 เราขับรถออกมานอกเมือง ที่นี่ขนส่งสาธรณะราคาถูกมาก รถไฟฟ้าเหมาวันละ 14 บาท
รูปนี้ลองเปิดแฟลชยิงในรถสุดสะเทือน ตอนแรกคิดว่าเบลอแน่ๆแต่ก็ไม่ แค่ติดนิ้ว 5555
ตอนที่เราไปเป็นหน้าร้อนสุดของทั้ง 3 ประเทศ ข้อดีคือพระอาทิตย์ตกตอน 3 ทุ่ม มีแสงเย็นสวยๆให้ถ่ายรูปตั้งแต่ 5โมงเย็นยาวๆเลย
โบสถ์นี้ตั้งอยู่บนยอดเขา มีฉากหลังเป็นยอดเขาน้ำแข็งถ้ามาในหน้าหนาว ลมแรงมากพัดรูปเราหลุดมือตกเขาไปรูปนึง น้ำตาไหลพรั่กก
เวลาเราไปเที่ยวที่ไหน ด้วยความที่ชอบอ่านตำนานและประวัติศาสตร์ของที่นั่น เราเลยทำซีรีส์ที่วาดรูปผู้หญิงพร้อมเล่าตำนานไปด้วย สำหรับรูปนี้มีชื่อว่า
Eteri of Kartli
คาร์ทลิ หรือคาร์ทเวลิเป็นชื่อชนเผ่าซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากบริเวณแม่น้ำ Mtkvari แถบเทือกเขาคอเคซัส เนืองจากอยู่ในบริเวณพรมแดนของความขัดแยง ชนเผ่าคาร์ทเวลิจึงมีความสามารถในการต่อสู้สูงมาก ต่อมาชื่อของชนเผ่าคาร์ทเวลิได้กลายเป็นชื่อเรียกรวมๆของชนเผ่าในบริเวณนี้
From the mountain of Caucasus, the tribe was born. They called them self Kartveli. They possessed the soul of a mountain with blood of a warrior, and through out history they will fought with the east and the west. They conquered and fall and rise again, free. They’ve become the name of all the Caucasian race. And it all started here at the river of Mtkvari
ลืมบอก ว่าทั้ง 3 ประเทศนี้เคยอยู่ใต้สหภาพโซเวียตมาก่อน ดังนั้นภาษากลางคือ ภาษารัสเซีย แต่ก็มีภาษาออริจินัลของตัวเอง ภาษาอังกฤษใช้ไม่ได้นะคะ ใช้โทรจิตกับgoogle translateสื่อสาร ดังนั้นเอกสารอะไรต้องเตรึยมไปให้พร้อม และคนค่อนข้างไม่มีระเบียบ อะไรที่ตกลงไปแล้วพร้อมโดนแคนเซิลทุกเมื่อ
จอดรถแวะถ่ายวิวโง่ๆข้างทางยังสวย
นี่เป็นครั้งแรกที่เราใช้กล้องตัวนี้จริงจัง เราได้มาก่อนออกทริปอาทิตย์เดียว ระหว่างทริป 16 วันใจตุ่มๆต่อมๆมาก เราเคยถ่ายฟีลม์มาก่อนเยอะแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้กล้องออโต้ ชอบที่มันมีโหมดพาโนราม่า น่ารักงือ
จากการอ่านรีวิวในเนตเขาบอกว่า คัซเบกิสวยมาก แต่คุณจะลืมคัซเบกิไปเลยถ้าได้ไป 'เมสเทีย' การเดินทางไปเมสเทียนั้นค่อนข้างลำบาก กินเวลาเป็นสิบ ชม. แต่ทุกคนบอกว่ามันดี เราเลย เอ้า ไปก็ไป การเดินทางเริ่มจากนั่งรถไฟฉึกฉักจากสถานีเซนทรัลทบิลิซิเป็นเวลา 8 ชม. ไปลงที่เมืองซุกดิดิ
เรานั่งรถไฟนอน ซื้อตู้โบกี้โดยสารชั้น 1 ซึ่งห้องกว้างขวางมาก ราคา 400 บาทเท่านั้น!
จากนั้นก็ต่อรถตู้แชร์ หรือมาสตุ๊ดก๊า เพื่อขับขึ้นเขาอีก 4 ชม.
แต่พอไปถึง ลืมเหนื่อยหมดเลย
เราขี่ม้าขึ้นเขาต่อทันทีอีก 7 ชม. ทั้งๆที่เดินทางมาตลอดทั้งคืน แต่มันไม่เหนื่อยเลยจริงๆ ตลอดทางคือสวย แล้วก็สวยได้อีก สวยเหมือนไม่ใช่โลกมนุษย์ เราไปช่วงหน้าร้อน บนเขาอากาศกำลังดีประมาณ 25 องศา มีลมพัดตลอดเวลา แดดออก ดอกไม้กำลังบานเต็มที่ เป็นช่วง Full Bloom
ระหว่างทางขี่ไปเจอฝูงม้าป่า ตื่นเต้นเกือบ(ตัวเรานี่แหละ กล้องพันไว้อย่างดี)ตกม้า555 รีบหยิบออกมาถ่ายเลย ภาวนาว่าขอให้มันชัดเถ๊อะะเพราะม้าเราวิ่งสะเทือนมาก พอล้างออกมาได้รูปนี่กรี๊ดลั่น
ดอกไม้เต็มไปหมดเลย <3
ดินแดนแถบนี้เรียกรวมๆว่า สวาเนติ ผู้คนที่อาศัยอยู่ชื่อชาวสวาน ซึ่งสมัยก่อนมีวัฒนธรรมในการ Bood feud หรือฆ่าล้างโคตรแก้แค้นแทนกัน ประมาณว่าถ้ามีคนมาฆ่าน้องชายเรา เราก็จะไปฆ่าพี่ชายมัน แล้วน้องมันก็จะมาฆ่าแม่เรา ฯลฯ ไปเรื่อยจนสิ้นพันธุ์ ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวสวานสู้รบเก่งมาก แต่ประชากรน้อย (...ก็แหงล่ะ) เราฟังเรื่องแล้วรู้สึกคิกขุดอกไม้บานมากเลยวาดรูปสาวดอกไม้(?) จริงๆคือเห็นดอกไม้บนเขามันสวยดีเลยวาดแล้วโมเมว่าเป็นสาวชาวสวาน ฮ่าๆ
เมื่อชนเผ่าฮาร์ดคอร์ขนาดนี้แล้ว เทพที่เขาบูชาก็ต้องเดือดตามไปด้วย เทพีที่ชาวภูเขานับถือกันมีนามว่า ดาลี เป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์
ดาลีมักปรากฏกายเป็นหญิงสาวสวยเปลือยกายขาวโพลนจนตาพร่ากลางป่ามาล่อพรานหนุ่ม แต่ถ้าพรานเอาเรื่องที่ได้เจอดาลีไปเล่าต่อจะโดนคำสาป ดาลีมีลูกกับมนุษย์หลายคนเกิดเป็นวรรณะครึ่งคนครึ่งเทพ หรือเรียกว่า อามีรานีฮีโร่ เทพปรนัมจอร์เจียนั้นเป็นสายของตนเอง มีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย แต่โครงสร้างคล้ายเทพปรนัมกรีก คือเทพมีรักโลถโกรธหลง มีฮีโร่เป็นครึ่งคนครึ่งมนุษย์เป็นพระเอกมากมาย
อีกวันเราไปหมู่บ้านอุชกูลิ เป็นหมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าอยู่จุดกันดารที่สุดในยุโรป ยังมีหอคอยแบบจอรเจียซึ่งใช้เป็นป้อม+บ้าน อยู่ทั่วเมือง [img]https://f.
ขากลับโชคดีฟ้าเปิด เราเลยได้นั่งเครื่องบินใบพัดกลับ ซึ่งการนั่งเครื่องบินนี่ก็ถือเป็น attraction ที่คนแนะนำกันเยอะ แต่ก็ด่าเยอะเช่นกัน เพราะมีโอกาส 50/50 ที่เครื่องจะไม่ขึ้น เราบังเอิญโชคดี ช่วงเวลาที่อยู่บนนั้น ดูวิวภูเขาโผล่มาแล้วก็หายไปกลางเมฆแล้วฟังเพลงไปด้วยมันสุดยอดมากๆ
วันนั้นจริงๆอากาศค่อนข้างหมอกมาก เราเลยเอานิ้วถูเลนส์ไปเลย ฟุ้งแล้วก็ไปให้สุด
กลับมาที่จอรเจียตอนกลางคืนและหอนาฬิกาโรงละครหุ่นกระบอกสุดน่ารัก
ต่อจากนั้นเราก็ไปอาร์เซอไบจัน (จริงๆเราไปอาร์เซอไบจันและอาร์มีเนียก่อนกลับมาเมสเทีย แต่เพื่อไม่ให้การลำดับกระทู้กลับไปกลับมาเราเลยจบพาร์ทจอร์เจียทีเดียวไปเลย)
Azer แปลว่า ไฟ ชาวอาร์ไบจันเรียกตัวเองว่า Azeri หรือ ชาวไฟ
ดังนั้น... อากาศร้อนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
40องศา+++แดดแรงสุดทุกอย่างสุดตามแบบเมืองอาหรับเลย แต่เนื่องจากเป็นประเทศค้าน้ำมันที่ไม่เคร่งอยู่ติดกับยุโรปแล้วยังเคยตกเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียต ทำให้อาร์เซอไบจันเป็นประเทศที่ดูเผินๆ เมืองหลวงบาคูเหมือนอยู่ประเทศยุโรปใหญ่ๆ
เราชอบถ่ายเครื่องรางในรถของแต่ละประเทศ พอมาที่นี่ก็เป็นโครานจิ๋ว
มีหาดติดเมือง เป็นแหล่งหย่อนใจ พร้อมชายหนุ่มผู้มีความสุข
สถาปัตยกรรมนิยมสร้างแบบมีระเบียงยื่นออกมาคล้ายจอรเจียและอาร์เมเนีย เป็นสไตล์ที่เป็นที่นิยมของแถบนี้
ต่อในรีพลายนะคะที่เต็ม
แต่ถ้าจะกด + กระทู้ รบกวนช่วยกดบวกที่โพสแรกอันนี้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^^