[CR] ประสบการพบแพทย์โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

ครั้งแรกเราไปมารักษาที่นี้ เพราะเคยรักษาสิทธิ์ประกันสังคมร่วมกับสิทธิ์ประกันกลุ่มของบริษัท ทิพย์ประกันภัยที่โรงพยาบาลลาดพร้าว อาการปวดหลังเรื้อรังมาเป็นเวลาหลายปี แต่มีแต่ทุเลาเพราะการทานยา แต่ไม่หายขาด เป็นเรื่อย ๆ กินยาก็หาย ไม่กินยาก็ปวดอีก จนล่าสุด มีอาการชาร้าวลงขาซ้าย แต่แพทย์โรงพยาบาลลาดพร้าวก็จ่ายแต่ยาแก้ปวด ให้เหมือนเดิม จนเรากลัวมาก ว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ นาน นาน เราจะเดินไม่ได้ในที่สุด และโรงพยาบาลลาดพร้าวก็คงไม่สามารถเยี่ยวยาชีวิตที่เหลือของเราได้ เราเลยตัดสินใจมารักษาที่โรงพยาบาลนี้
ครั้งแรกโทรนัดแพทย์ แผนกฟื้นฟู พบ พญ.ท่านหนึ่งที่นี้ เราดูจากประวัติและหน้าตาแล้ว น่าจะเป็นแพทย์จบใหม่ แต่คือเราไม่ได้คิดอะไรกับการเป็นแพทย์จบใหม่หรืออาจารย์แพทย์นะคะ เราคิดว่าถ้ารักษาเราหายไม่ว่าจะเป็นอาจารย์แพทย์หรือ นักศึกษาจบใหม่ เราก็ควรให้โอกาส เพราะกว่าจะเป็นอาจารย์แพทย์ เมื่อก่อน เค้าก็คือ นักศึกษาแพทย์ไหม  
ครั้งแรก แพทย์แนะนำ ชื่อ ว่าชื่ออะไร มารักษาเรา เราโอเค เราว่าหมอน่ารัก มีการเอาใจใส่คนไข้ดีในระดับหนึ่ง ดีกว่า โรงพยาบาลลาดพร้าว โรงพยาบลเอกชน หลาย ๆ ที่ ที่เราเคยเจอมา หมอให้เราทำ MRI แต่เราคิดว่า ค่าทำ MRI มันแพงและเราไม่สามารถเบิกได้ เราต้องจ่ายเอง ซึ่งเราไม่พร้อม หมอเลยให้เราไปทำ CT สแกนแทน พอพยาบาลพาไปทำ CT สแกนก็เข้าพบหมอที่ห้องต่อ เพื่อคุยถึงผลการทำ CT
ตอนเดินเข้ามาในห้องหมอถามว่าเราเดินไปทำ CT สแกนเองหรอ เรารู้สึกถึงความใส่ของหมอท่านนี้ว่าใส่ใจ คนไข้ดีหมอบอกว่าการทำ CT ไม่สามารถบอกอาการได้ดีเท่า MRI (คิดในใจว่าทำไหมหมอต้องให้เราทำ MRI ขนาดนี้ แต่ก็ไม่ติดใจอะไรนะคะ หมอคงคิดว่าการทำแบบนี้ดีที่สุดกับคนไข้ก็ได้ เราไม่ได้เรียนด้านนี้เราทำได้แค่เชื่อฟังหมอเท่านั้น) และหมอเราให้เรานอนเพื่อทดสอบความรู้สึกช่วงที่เรารู้สึกชา ในขั้นตอนนี้ ในตอนนั้นเรารู้สึกว่าหมอใส่ใจและให้การรักษาดีมาก ซึ่งเรารู้สึกประทับใจกับหมอท่านนี้มาก ว่าใส่ใจเอาใจใส่คนไข้ดีมาก ดีกว่า โรงพยาบาลเก่าที่ไม่แม้แต่แตะตัวคนไข้ แต่วินิจฉัยได้แล้วว่าคนไข้เป็นอะไร และจ่ายยาโดยไม่แตะตัวคนไข้แม้แต่น้อย พอจบขั้นตอนการตรวจหมอได้จ่ายยาและให้เราไปพบแพทย์ภูมิแพ้ต่อ เพราะเรามีอาการแพ้อากาศหายใจไม่สะดวก
หลังจากพบแพทย์ท่านแรก แผนกฟื้นฟู พยาบาลก็นัดแพทย์ แผนกภูมิแพ้ให้ แพทย์แผนกภูมิแพ้แจ้งว่า ให้เรารอเวลา 15.00 น. เพราะแพทย์จะทานข้าวก่อน เพราะตรวจเป็นเวลานานยังไม่ได้พัก เราไม่ได้ติดอะไรนะคะ เราโอเค เราถือว่าเราไม่ได้นัดแพทย์แผนกนี้มาตั้งแต่ต้นแต่เค้ายังรับตรวจเราต่อ เราโอเคในการรอให้แพทย์ได้พักทานข้าวก่อน เพราะยังไงเค้าก็คือมนุษย์ที่ทำงานแล้วต้องได้พักบ้าง ...
เราก็รอแพทย์ถึงเวลาประมาณ 15.00 น.โดยประมาณเราจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ แต่ประมาณนั้น แพทย์เรียกเราเข้าไปห้องตรวจ เป็นแพทย์ผู้ชาย คุยกับเราสองสามประโยคว่า มีอาการเป็นยังไงบ้าง ที่บ้านเลี้ยงสัตว์ไหม ทานยาอะไรอยู่บ้าง แล้วแพทย์ก็เอาสำลีชุบยามายัดใส่จมูกเรา บอกว่าให้หายใจทางปาก ประมาณ 15 นาที ให้เราไปรอด้านนอก พอครบ 15 นาที แพทย์ดึงสำลีออก รู้สึกจมูกโล่งหายใจคล่องมา แล้วหมอก็เอาเครื่องมือที่หมอบอกว่าเป็นกล้องมาส่องเข้าไปในจมูกเรา เราคิดในใจว่า โรงพยาบาลนี้ มีเครื่องมือที่ทันสมัยเยอะเนอะ เยอะกว่าโรงพยาบาลลาดพร้าวที่เราเคยไปให้บริการมาก แต่เราบอกตามตรงว่า เรากลัวอิเครื่องมืออันนี้ของหมอมาก กลัวมันแทงเข้าไปในจมูกเรา หมอชี้ให้เราดูว่าในจมูกของเรามีริดสีดวง แต่คือเราไม่กล้าหันไปดูไง เพราะหมอให้เราหันหน้าไปอีกทาง แต่จอมอนิเตอร์อยู่อีกทางไง เรากลัวกล้องมันทะลุกอีกฝั่งบอกเลย เราเลยไม่กล้าหันไปดู แต่หมอก็พยายามชี้ชวนให้ดูจอมอนิเตอร์ว่า คนไข้ดูสิครับ ในโพรงจมูกคนไข้มีริดสีดวง ....แล้วก็ส่องอีกฝั่งบอกจมูกคด คิดเล่น ๆ หมอฮะ นี้หมอจะชวนหนูเสริมดั้งหรือเปล่า และหมอก็ถามว่าเราเคยพ่นจมูกไหม เราก็บอกว่าเราไม่เคย หมอเลยสั่งสเปรย์พ่นจมูกมาให้เรา จบการรักษากับคุณหมอ ออกไปนั่งรอ หมอสั่งยาให้ระหว่างนั่งรอคุณพยาบาลไหมไม่แน่ใจ มาเรียกเราเข้าไปสอนวิธีใช้สเปรย์พ่นจมูก เรารู้สึกดีกับการบริการของโรพยาบาลนี้มาก
จบการรักษาจากแพทย์ก็ถึงช่วงเวลาแห่งชีวิตจริงคือ ตอนจ่ายเงินรับยา พอแผนกการเงินบอกยอดเงินแล้ว ตาลายเลยฮะ ... วันนั้นไม่คิดว่าจะต้องจ่ายเงินเยอะขนาดนั้นเลยไม่ได้กดเงินมา เราเลยต้องรูดบัตรเครดิต ... สดชื่นกันเลยทีเดียวใช้เงินในอนาคต

ครั้งที่ 2 นัดทำกายภาพ เพราะหมอให้เราทำกายภาพ 3-4 ครั้ง เรามาถึงก่อนเวลาเพราะในใบนัดระบุว่า ให้เรามาก่อนเวลา 15-30 นาที ถ้ามาสายกว่าเวลาจะตัดสิทธิ์และต้องจองคิวใหม่ วันนั้นฝนตกเราลงเรือด่วนเจ้าพระยามาเหมือนครั้งที่แล้ว เจ้าหน้าที่ให้เราเปลี่ยนชุด นั่งรอไม่ถึง 5 นาที เจ้าหน้าที่เรียกให้เราเข้าห้อง 14 มีเจ้าหน้าที่กายภาพอยู่ในห้องหน้าตาน่ารัก ให้เรานอนและตรวจน่าจะประสาทสัมผัส ขาข้างที่เรารู้สึกชา กับ ขาอีกข้าง และให้เรานอตะแคงและเอาอะไรไม่รู้เย็น ๆ มาวน วน ตรงก้นเรา เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นการตรวจด้วยคลื่นเสียง เราว่าเพลินดีเราชอบ 5555
พอตรวจเสร็จก็มีการกระตุ้นด้วยคลื่นไฟฟ้า เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้ารู้สึกแสบให้กดกริ๊ง เจ้าหน้าที่เอากริ๊งมาวางตรงท้อง ความจริงเรารู้สึกแสบนะ แต่เราคิดว่าเราทนได้ไง นิด นิด หน่อย หน่อย เราก็เลยไม่อยากจะเยอะ ไม่อยากกดกริ๊ง พอเจ้าหน้าที่เข้ามาเราบอกว่า แสบหน่อย ๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าคนไข้ไม่ต้องทนนะคะ เดี๋ยวผิวหนังจะเสีย (คิดในใจเราไม่บอบบางขนาดนั้นมั้ง เราแกร่งกว่าที่คิดนะ)
ขั้นตอนต่อไป คือ นอนประคบร้อน เหมือนเดิมเจ้าหน้าที่บอกถ้ารู้สึกแสบไม่ต้องทนให้กดกริ๊ง แต่เราก็รู้สึกร้อนนะ แต่ไม่กดเหมือนเดิม 5555
ลืมบอกไปว่าหลังทานยาที่หมอสั่งเรารุ้สึกว่าเราใจสั่นและนอนไม่หลับ เจ้าหน้าที่ให้เราไปปรึกษาเภสัชกร เค้าไม่ทราบ ..
จบขั้นตอนการรักษาเปลี่ยนชุด นัดทำกายภาพครั้งต่อไป วันเสาร์ที่ 1 และ 8

ครั้งที่ 3 นัดคุณหมอแผนกฟื้นฟู เพื่อดูอาการหลังทานยาและทำกายภาพบำบัด หมอให้เรานอนและให้เราเกร๊งนิ้วเท้า หมอบอกว่า ขาข้างที่เราช้ามีอาการอ่อนแรงกว่าครั้งที่แล้วที่ตรวจ บอกเลยเรากลัวมาก แม่เจ้า พี่จะเดินไม่ได้ไหมหนิ พอคิดแบบนั้น พอหมอบอกว่า ต้องทำ MRI ตอนนี้บอกเลย ยอมจ้า ยอม ถึงแพงก็ต้องยอมละละ นาทีนี้ เงินหาได้ถ้าเรายังเดินได้ แต่ถ้าเราเดินไม่ได้ เงินที่จะหาได้ในอนาคตก็จะไม่มีนะจ๊ะ จบการหาหมอในครั้งนี้ในระยะเวลาสั้นด้วยประโยคที่ว่า ขาเราอ่อนแรงมากขึ้น คิดแล้วหลอน ... เราบอกหมอเรื่องทานยาแล้วใจสั่นนอนไม่หลับ เราบอกหมอว่า ขอยาแบบเดียวกันแต่คนละตัวได้ไหมคะ หมอให้เราออกมารอด้านนอก
พยาบาลเดินมานัดทำ MRI และบอกให้เรารอเจ้าหน้าที่เภสัชกร เพื่อสัมภาษณ์อาการแพ้ยาของเรา พยาบาลชี้แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการทำ MRI ว่าร่างกายเรามีเหล็กไหม มีโน้นมีนี้ไหมซึ่งเราจำไม่ได้ แต่เราบอกไปว่าไม่มี และนัดหมอกระดูก ซึ่งเราเซ้คประวัติแล้วหมอกระดูกจบจากต่างประเทศมีความเชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง ทำงานโรงพยาบาลเอกชนอีก 2 แห่งและที่โรงพยาบาลนี้ แต่ดูจากเววลานัดคือ 10นาที ที่เราจะได้เจอแพทย์เฉพาะทาง เพราะหลังจากนั้นก็มาพบแพทย์ท่านเดิม
เรานั่งรอเภสัชกร มา 2 คน ผู้ชาย 1 คน ผู้หญิง 1 คน เราคิดเองจากหน้าตานะว่า น่าจะเป็นนักเรียนเภสัช สอบถามรายละเอียดว่าเราทานยาตั้งแต่วันไหน มีอาการอย่างไรและคิดเห็นอย่างไร และมีการจับชีพจรด้วย ส่วนใหญ่ผู้ชายเป็นคนถาม แต่ผู้หญิงยืนฟังอยู่ห่าง ๆ สุดท้ายเภสัชกร ออกใบแพ้ยาให้เรา 1 ใบ ว่าเราแพ้ยาไลลิก้า จบการพบเภสัชกร ระหว่างรอเภสัชกร พยาบาลมาถามว่าเรามีที่พยุงหลังหรือยังเราบอกไม่มีคะ คุณหมอไม่ได้พูดเรื่องนี้ เอ๊ะหรือพูดเราจำไม่ได้ บ่องตง พยาบาลเลยบอกว่าไม่เป็นไร วันนี้จะพาไปซื้อ พอคุยกับเภสัชกรจบก็มีเจ้าหน้าที่พาเราไปซื้อที่ประคองหลังที่แผนกกระดูก ระหว่างเดินไปที่แผนกกระดูก เจ้าหน้าที่ถามว่าเราสะดวกลงบันไดเลื่อนไหม เราบอกเจ้าหน้าที่ไปว่า เราขอลงบันไดเลื่อน เพราะถ้าเราลงไม่ไหว เราสะเทือนใจมาก
พอถึงแผนกกระดูก มีเจ้าหน้าที่เดินมารับว่าเรามาซื้อที่ประคองหลังใช่ไหม เราอยากได้ของไทย หรือของนอก เราตอบไวมาก ของไทยสิคะ (คิดเองว่าของไทยน่าจะถูก) เราเป็นคนไทยก็ต้องใช้ของไทยสิคะ รักชาติขึ้นมาซะงั้น แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าของไทยจะแข็งการใช้งานจะสู้ของนอกไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่บังคับให้เราซื้อของนอกนะ เค้าคงแค่แนะนำว่าอันไหนดีกว่ากัน และเจ้าหน้าที่ก็ถามอีกประโยคว่า จ่ายเองใช่ไหมครับ เราตอบไวตามเดิมว่า ค่ะ
เจ้าหน้าที่ให้เราลอง อันแรกเค้าเอา Size L มาให้เราใส่เค้าบอกว่าใหญ่ไป เค้าเลยเอา Size M มาให้บอกว่าพอดี และมีการใส่เหล็กด้านหลังให้เราด้วย พร้อมสอนวิธีการใส่และการซักอุปกรณ์ตัวนี้ด้วย แต่เราคงตื่นเต้นมากไปหน่อย อยากเข้าห้องน้ำหนิ พอลองอุปกรณ์เสร็จ เจ้าหน้าที่ถามว่าจะใส่เลยไหมคะ ไหมคะ เราบอกเลย ยังคะ ยังไม่พร้อม  ขอเข้าห้องน้ำก่อนเลยได้ไหม ...  จบกระบวนการซื้ออุปกรณ์และพบแพทย์ มาขั้นตอนสุดระทึกขวัญคือจ่ายเงินจ้า มาดูกันว่าครั้งนี้จ่ายเพิ่มเท่าไหร่ โคตรลุ้นบอกเลย สรุปครั้งนี้จ่ายเพิ่ม 1,050 บาท ดูบิลค่าที่ประคองหลังแค่ 650 บาท ไม่แพงจนเรารับไม่ไหวโอเค

ครั้งต่อไป ทำกายภาพ เดี๋ยวจะมาเล่าต่อนะคะว่า ทำอะไรบ้าง โปรดติดตามตอนต่อไป

แต่โดยส่วนตัวแล้วเราคิดว่าที่โรงพยาบาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ดูแลคนไข้ดีมาก มาก คุ้มกับเงินที่เราจ่ายไป เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเดิม ที่เราเคยไปรักษามา ที่นี้เหมือนสวรรค์เลยทีเดียว ถ้าไม่นับตอนจ่ายเงินที่ต้องลุ้นทุกที ...

สรุปยอดค่าใช้จ่ายในการพบแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
ครั้งที่ 1 วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561  มีประกันกลุ่ม 1,000 บาท จ่ายส่วนต่าง 5,345 บาท
   - พบแพทย์แผนกฟื้นฟู   ทำ CT สแกน จ่ายยาบรรเทาอาการปวด
   - พบแพทย์แผนกภูมิแพ้  ส่องกล้องที่จมูก พบริดสีดวงที่จมูกและนัดทำสกินเทสต์
ครั้งที่ 2 วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2561 มีประกันกลุ่ม 1,000 บาท จ่ายส่วนต่าง 440 บาท
  - ทำกายภาพบำบัด ที่แผนกกายภาพ มีการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า , รักษาด้วยคลื่นเสียง , รักษาด้วยการประคบด้วยแผ่นร้อน
ครั้งที่ 3 วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561 มีประกันกลุ่ม 1,000 บาท จ่ายส่วนต่าง 1,050 บาท
   - พบแพทย์แผนกฟื้นฟู หมอให้นอนและตรวจ หมอบอกว่าขาข้างซ้ายดูแย่กว่าครั้งที่แล้วที่ตรวจบอกว่าเราต้องทำ MRI และให้พยาบาลนัดทำ MRI ในครั้งต่อไป
ชื่อสินค้า:   โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่