สืบเนื่องจากการอ่านกระทู้สนทนากระทู้หนึ่งเกี่ยวกับภัย Taxi ในสนามบิน JFK จึงทำให้นึกถึงประสบการณ์ตรงของตัวเอง ที่เจอมาเช่นกันในสนามบิน JFK New York City
คือตัวเองอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ก และได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด (พิษณุโลกเมืองสองแคว บ้านเดียวกันแม่หญิงการะเกด) ตอนขากลับเราได้แลกเงินไทยเป็นดอลล่าร์จากสนามบินมา $100 (แบงค์ 20 ห้าใบ) แล้วก็ไม่ได้ใช้อะไรเลย พอเครื่องบินแลนดิ้งแตะแผ่นดินหมาหนครนิวยอร์ก เราก็ลงเครื่องแวะเอากระเป๋าเสร็จ ก็กำลังจะทำการเปลี่ยนซิมการ์ดจากเบอร์ไทยเป็นเบอร์นิวยอร์ก(เบอร์เดิมที่เคยใช้) ระหว่างทำการจิ้มๆ เพื่อเอาซิมไทยออกจากเครื่อง ก็มีคนมาเดินชนจากข้างหลัง ทำให้ไม้จิ้มซิมการ์ดที่ใช้อยู่หล่นลงพื้น เราก็พยายามมองหา แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ใช้เวลาพอสมควรกับการหาไม้จิ้มซิมบนพื้นสนามบิน JFK แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ก็เลยทำใจว่าไม่เป็นไร ยังไม่เปลี่ยนก็ได้เพราะในสนามบินมีบริการ อินเตอร์เน็ตฟรี 30 นาที (หากเกินสามสิบนาทีจะคิดเงิน ซึ่งขึ้นอยู่กับความยินยอมของเรา ถ้าเราตกลงก็กดซื้อไป สามสิบนาที หนึ่งชั่วโมง หรืออะไรก็ว่าไป ตรงนี้จำไม่ได้จริงๆ แต่ให้รู้ไว้ว่าที่สนามบินมีไวไฟให้ใช้ฟรี 30 นาทีค่ะ)
เราก็จัดการต่อเน็ตฟรี แล้วก็ติดต่อเพื่อนเพื่อขอที่อยู่ชั่วคราว (ตอนนั้นบ้านเรามีปัญหานิดหน่อย ต้องไปนอนห้องพักรายวัน 1 คืน) กว่าเพื่อนจะติดต่อมาก็ใช้เวลาไปเกือบ 15 นาที ก็เท่ากับว่าเรามีเน็ตฟรีใช้อีกแค่ 15 นาที จึงตัดสินใจรีบเรียก UBER ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าบริการของ UBER นั้น จะเรียกใช้ผ่านแอปเท่านั้น และเวลาเรียก เราก็สามารถเลือกประเภทของรถได้ด้วย ว่าอยากได้คันเล็ก คันใหญ่ หรือแบบนั่งแชร์กับคนอื่น และราคาก็จะแตกต่างกันไปตามประเภทของรถ ซึ่งราคานั้นก็จะโชว์บอกก่อนที่เราจะทำการตกลงยืนยัน เราก็ตกลงเรียกแบบแชร์ไป ระยะทางจาก JFK ไปบ้านเรา(Jackson height ย่านคนไทย) จะอยู่ที่ประมาณ 30-50 นาที ราคาแท็กซี่ก็จะอยู่ประมาณ $30-$35 และตอนนั้นเราได้โปรโมชั่น 50% จาก UBER ราคาที่เราเรียกไป $15.xx
ระหว่างรอแท็กซี่เราก็เช็คตลอดว่า แท็กซี่คันที่เราเรียกนั้นถึงไหนแล้ว (ข้อดีของอูเบ้อค่ะ สามารถเช็คสถานะของรถที่เราเรียกได้แบบ Real time) จนอูเบอร์ใกล้จะถึงที่นัดพบ เราก็ออกจากสนามบินไปเพื่อนที่จะไปรอตรงจุดรับผู้โดยสารของสนามบิน ระหว่างทางที่เดินไปก็มี ชายฉกรรจ์ 3-4 คน เดินเข้ามาหาเรา ถามว่าจะไปไหน และเดินมาช่วยถือกระเป๋า แบบจะลากกระเป๋าเราไปขึ้นรถตัวเอง เราก็แบบบอกไม่เป็นไร เรามีคนมารับ ชายฉกรรจ์นางหนึ่งก็เอ่ยว่า อูเบ้อเหรอ เค้าไม่มาที่นี่หรอก ชั้นรู้ดี เพราะชั้นขับกับอูเบ้อ ทางสนามบินไม่อนุญาติให้อูเบ้อเข้ารับผู้โดยสาร เราก็ไม่พูดอะไร เพราะเราอยู่ที่นี่เรารู้ดีว่าอูเบ้อสามารถเข้ามารับส่งผู้โดยสารได้ปกติ เราก็รอต่อไป
รอไปสักพักรถก็ไม่มาสักที เนื่องจากรถเยอะ รถที่เราเรียกคงติดอยู่ ค่อยๆคลานมาอย่างช้าๆ และเราเห็นว่าเน็ตฟรีเราใกล้จะหมดแล้ว เราเลยตัดสินใจส่งข้อความไปหาแท็กซี่ว่าเราใส่เสื่อสีนั้นนี้ รออยู่ตรงจุดนี้นะ ซึ่งตอนนั้นในมือถือไม่มีซิมของเมกา ข้อความจะส่งได้เฉพาะเวลามีเน็ต และจะส่งออกเป็น iMessage ซึ่งถ้าทางฝั่งผู้รับใช้ไอโฟนเหมือนกันก็จะได้รับ ข้อความถูกส่งไปและเราคิดว่าเค้าน่าจะได้รับข้อความเรา และเน็ตฟรีเราก็หมดในที่สุด แต่เราก็ไม่เห็นรถที่เราเรียกสักที ชายฉกรรจ์คนเดิม เห็นเรายังอยู่ที่เดิม จึงเดินเข้ามาทักว่า บอกแล้วว่าอูเบ้อเข้ามาที่นี่ไม่ได้ นางยื่นข้อเสนอให้เราว่า ให้ไปกับนางแต่มีข้อแม้ว่าต้องจ่ายเป็นเงินสด โดยที่นางจะคิดเรทเดียวกับอูเบอร์ที่เราเรียก เราเองก็ลังเล ว่าจะซื้อเน็ตเพิ่มดีใหม เพราะมันก็แค่ $4.99 สำหรับ 30 นาที (อันนี้เราไม่แน่ใจเรื่องราคานะคะ จำไม่ค่อยได้) แต่พอเห็นมันยื่นข้อเสนอที่ว่าเรทเดียวกันกับที่เราได้เราเลยตกลงไปกับนาง เพราะอีกอย่างแทกซี่คันนั้นก็ไม่รู้จะยังไง จะหากันเจอมั้ย
พอเราตัดสินใจไปกับนาง ขับไปสักสิบนาทีนางก็เอาโทรศัพท์นางมา แล้วก็กดเช็คราคา สรุปราคาประมาณเก้าสิบกว่าเหรียญ เราตกใจมากตอบกลับอย่างทันควันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะชั้นเคยนั่งประจำ ราคามันไม่เคยเกิน $35 เลยนะ $40 นี่ถือว่าแพงมากแล้ว นางก็เอาโทรศัพท์โชว์ราคาอูเบอร์ให้เราดู ซึ่งก็จริงตามนั้น แต่นางไปกดเรียกเป็นรถใหญ่ค่ะ SUV ซึ่งเป็นรถที่เก็บค่าโดยสารสูงสุดในบรรดารถประเภทอื่นๆ เราก็บอกเราไม่เอา ยูบอกยูจะให้ไอในเรทเดียวกับอูเบอร์ไง นางก็เถียงอีกว่าก็นี่ไงเรทเดียวกับอูเบอร์ เพราะรถนางเป็นรถ SUV เราบอกถ้าไม่ได้เรทที่เราได้เราก็ไม่ไป คือเราได้ราคาโปรประมาณสิบห้าเหรียญ เราไม่เอาโปรก็ได้ เราจ่ายเต็มที่ได้แค่ $40 ถ้ายูไม่รับข้อเสนอนี้ก็จอดรถ เถียงกันอยู่สักพักนางก็ไม่ยอมจะเก็บเราเก้าสิบกว่าให้ได้ เราเลยบอกจอดตรงนี้แหละเราจะลง นางบอกจอดไม่ได้(บริเวณนั้นเป็นทางขับเข้าออกสนามบิน ไม่มีคนเดิน ไม่มีรถโดยสารผ่าน และห้ามจอด) ซึ่งเรามีแผนในใจว่ายังไงเราก็ต้องลง และถ้าลงได้เราจะถ่ายรูปทะเบียนรถนาง แต่พอนางจอดไม่ได้ เราเลยบอกให้นางวนรถกลับไปที่เดิม เราจะไปรอที่สนามบิน นางก็บอกว่าดึกป่านนี้แล้วไม่มีรถหรอก อูเบอร์ก็เข้าไม่ได้ เราเลยบอกไม่เป็นไร เราจะนอนรอที่นั่นจนเช้า นางก็ไม่หยุดต่อล้อต่อเถียง ว่าเสียเวลาบ้าง น้ำมันแพงบ้าง ใจก็กลัวเหมือนกันนะว่ามันจะขับรถพาไปฆ่าที่ไหนรึป่าว เพราะตอนนี้นก็ดึกมากแล้ว (ประมาณเกือบเที่ยงคืนเห็นจะได้) เราเลยตั้งสติ พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแบบอารมณ์ดี ว่างั้นไอให้ยู $10 แล้วกลับไปส่งชั้นที่เดิม นางก็โอเค แล้วก็วนรถกลับไปที่สนามบินที่เดิม
พอถึงสนามบิน นางก็ยังมีน้ำใจนะ ช่วยยกกระเป๋า ลากมาที่จุดรอรถ ระหว่างจัดแจงเรื่องกระเป๋า ชายฉกรรจ์ 3-4 คนที่กรูเข้ามาหาเราตอนแรก ก็เข้ามาอีก แบบเหมือนนกแร้งที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า แล้วมองเห็นเหยื่ออยุ่บนพื้นดิน คือสามสี่คนปรี่เข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพากันกลับมา เราก็ตอบคำถามไปว่าเกิดไรขึ้น แล้วก็จ่ายเงินให้นางแท็กซี่คันที่เรานั่งไป(แบงค์ $20 หนึ่งใบ) นางก็บอกไม่มีทอน เราก็แบบค่ะ เดินไปท้ายรถ จัดการถ่ายรูปทะเบียนรถ แล้วก็บอกแบบอารมณ์ผุ้ชนะว่า Keep the change ฮ่าๆๆๆ (ซึ่งในความเป็นจริง แพ้ราบคาบเลย) นางก็บอกห้ามถ่ายรูปนะ ถ่ายไม่ได้ เราก็บอกก็ถ่ายไปแล้วนิ นางคงเริ่มรุ้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของนาง เพราะนางดูกลัวมาก แล้วก็คืนเงินให้เรา บอกจะถ่ายรูปก็ได้ แต่ไอไม่เอาเงินยูละ แล้วก็คืนเงินให้เรา
ขออนุญาตอธิบายแผนที่วางไว้นะคะ
จริงอยู่ว่าเหตุการที่เกิดขึ้น เสมือนไม่มีหลักฐานอะไรที่จะนำไปแจ้งความกับตำรวจเอาผิดคนขับได้ แต่เราตั้งใจไว้ว่าเราจะร้องเรียนไปยังอูเบอร์ว่า รถหมายเลขทะเบียนนี้ มาชวนเราขึ้นรถที่สนามบิน JFK แล้วให้เราจ่ายเงินสด โดยจะเรียกเก็บเงินจากเราประมาณ $100 แล้วก็ส่งเราไม่ถึงที่หมาย กลับพาเรามาส่งที่เดิมพร้อมเรียกเงินค่าเสียเวลาจากเราไป $20 โดยแนบรูปที่เราได้ถ่ายไว้ส่งไปด้วย หากรถหมายเลขทะเบียนนี้ขับรถให้อูเบอร์ โปรดพิจารณาเคสนี้ด้วย ซึ่งหลักฐานไม่มีก็จริง แต่เราเชื่อว่าอูเบอร์ต้องทำอะไรสักอย่าง อาจถึงขั้นยกกเลิกสัญญา ไม่ให้ขับกับอูเบอร์ตลอดไปเลยก็ได้ แล้วเราจะร้องเรียนไปทุกบริษัทแทกซี่ที่มีในนิวยอร์ก
กลับมาที่สนามบินค่ะ สถาณการณ์หารถกลับบ้าน
เราตัดสินใจซื้อเน็ตเพื่อทำการเรียกอูเบอร์ต่อ แต่ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง (หนึ่งใน 3-4 คนที่กรูเข้ามาหาเราตอนแรก) ท่าทางดูสุภาพ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม และดูไม่กรรโชกเหมือนคนอื่นๆ ถามเราว่าบ้านอยู่ไหน แล้วแท็กซี่คนแรกชาร์ตเท่าไร แล้วถามต่อว่าอยากจ่ายเท่าไร ด้วยความที่งก(ไม่เข้าเรื่อง) เราก็ไม่ค่อยอยากจ่ายค่าเน็ตเท่าไร ($4.99) ก็เลยบอกตัวเลขไป ถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการก็จะซื้อเน็ตเรียกอูเบอร์ให้จบๆไป เราเรียกไป $35 เดชะบุญ! นางตอบตกลงค่ะ แล้วก็มีเสียงตะโกนจากชายฉกรรจ์ที่เหลือซึ่งยืนฟังอยู่ห่างๆ ว่า ราคานั้นถูกเกินไป ไม่มีใครเค้าทำกันหรอก ชายฉกรรจ์ผู้สุภาพของเราก็บอก ชั้นรับเค้ามันทางกลับบ้านฉันพอดี แล้วนางก็มายกกระเป๋าเราขึ้นรถ และพาเรากลับบ้านในที่สุด ระหว่างทางเราก็แอบกลัวนะ ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรก่อนขึ้นรถซะด้วย แต่ด้วยท่าทางที่สุภาพบวกน้ำเสียงที่ใจดีดูเป็นมิตรเลยทำให้เราค่อยเบาใจหน่อย นางชวนคุยเป็นระยะๆ ดูไม่มีพิษมีภัยจนในที่สุด ก็ถึงหน้าบ้านที่เราจะพักในคืนนั้น
เรื่องเหมือนจะจบอย่างปลอดภัยนะคะ แต่ยังค่ะ ยังมีพึคกว่านั้น ช่วงที่เรากำลังจะจ่ายเงิน เราก็ออกมาจากรถกะว่าเอากระเป๋าลงเรียบร้อยแล้วก็จ่ายเงินนางไป เราก็ยืนล้วงๆกระเป๋าหาเงินอยู่แบบวุ่นๆ ชายฉกรรจ์ผู้ใจดีก็บอกเราด้วยความเป็นห่วงว่า เข้ามาจ่ายข้างในรถนี่ เราก็เห็นว่าดึกแล้ว แล้วมีคนเดินกลุ่มหนึ่งเดินป้วนเปี้ยนอยุ่(เหมือนจะเมา) เราก็ก็แอบกลัว เลยกลับเข้าไปในรถ ล้วงหากระเป๋าตัง และยื่นเงินให้นางไป $40 (แบงค์ $20 สองใบ) ซึ่งเราต้องได้ทอน $5 ระหว่างที่รอเงินทอนเราก็ก้มหน้าเพื่อเก็บของเก็บกระเป๋า เช็คสัมภาระว่ามีอะไรตกหล่นในรถหรือไม่ พอเงยหน้าขึ้นมา นางก็เปิดไฟในรถ แล้วก็ยื่นเงินกลับมาให้เรา เป็นแบงค์ $20 หนึ่งใบ กับแบงค์ $1 อีกหนึ่งใบ เราก็ทำหน้างงๆ ว่าคืออะไรเหรอ นางบอกเราจ่ายไม่ครบให้มาแค่ $21 เราแบบปรี๊ดดดดดดดเลยค่ะ คือแบบพวกคะ จะไม่มีคนดีกันเลยจริงๆใช่มั้ย จะเลวกันให้ถ้วนหน้าเลยเหรอคะ เราก็เถียงไปว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเรามาจากต่างประเทศ และแลกเงินมาจากสนามบิน $100 (แบงค์ $20 ห้าใบ) การที่เราจะจ่ายแบงค์ $1 นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง ยูสลับแบงค์ ชั้นรู้! ก็เหมือนจะเถียงๆกัน แต่คือเราเหนื่อยมากแล้ว เลยตัดบทไป ยื่นเงินให้มันไปอีก $20 แล้วบอกว่าเอาไปเลย $60 ไม่ต้องทอนนะ แล้วก็กลับไปบ้าน ไปบอกลูกบอกเมียด้วย ว่าวันนี้หลอกเงินคนมาได้ $60 นางก็ไม่จบยังจะเถียงต่ออีกว่า หลักฐานมันก็เห็นๆอยู่แล้วว่ายูให้ไอมาแค่ $21 แล้วไอก็จะทอนเงินให้ยูนี่ไงห้าบาท แต่นางบอกไม่มีแบงย่อย มีแค่สามบาท แล้วนางก็เอาแบงค์บาทคืนให้เรามาสามใบ นางคงแอบสลับเงินในระหว่งที่เราก้มหน้าเช็คของในรถ เพราะระหว่งเราก้มหน้า หางตาเราก็ยังมองเห็นนางอยุ่ นางทำท่าเปิดเก๊ะในรถ หยิบนี่นั่น เหมือนแบบจะเก็บเงินอ่ะ แล้วคงทำแบบนี้บ่อย เลยชำนาญแอบสลับเงิน เราคิดจะถ่ายรูปทะเบียนรถแล้วร้องเรียนอูเบอร์นะ แต่ก็นึกในใจว่าถึงบ้านปลอดภัยก็ดีแล้ว อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย แอบแผ่เมตตาให้นางไป แล้วเราก็ขนกระเป๋าเข้าบ้านอาบน้ำนอน โดยที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล
จุดจบสายงกค่ะ ต้องเสียเงินเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าซื้อเน็ตเรียกรถเองตั้งแต่แรกก็ถึงบ้านโดยที่ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ และเราก็อยากจะแนะนำสำหรับใครๆ หลายๆคน ที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวนิวยอร์ก ดังนี้ค่ะ
1. ที่สนามบิน JFK มี Free wifi 30 นาที หลังจากนั้นจะคิดเงินซึ่งเราเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ (ไม่ได้บังคับค่ะ)
2. หากไม่อยากเสียค่า wifi หลังจากที่ใช้ฟรีไปแล้ว 30 นาที ก็สามารถซื้อซิมการ์ดใส่ในมือถือได้เลย ราคาอาจแพงกว่าซื้อข้างนอกหน่อย แต่เพื่อความสะดวกและปลอดภัยค่ะ
3. ถ้าจะเรียกแท็กซี่แนะนำให้ใช้บริการของ UBER, LYFT, JUNO, VIA นะคะ อูเบอร์ใช้ได้หลายประเทศค่ะ ก่อนมาโหลดแอพลงทะเบียนใช้งานไว้ก่อนก็ได้ค่ะ
เราสามารถเรียกใช้บริการได้ปกติค่ะ สามารถมารับมาส่งผู้โดยสารได้โดยไม่ผิดกฏหมาย หรือถ้าจะนั่งแทกซี่เหลืองที่จอดรอคิวรับผู้โดยสารเหมือนบ้านเราก็ทำได้ค่ะ แต่ตามมิเตอร์นะคะ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือแทกซี่ดำ ซึ่งจะตกลงเรทกับเราก่อนว่าจะไปไหนราคาเท่าไร ถ้าเรารู้ราคาว่าประมาณไหน สามารถตกลงจ่ายแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาค่ะ
4. มือถือมีใช้ให้เป็นประโยชน์ค่ะ จะถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ บันทึกเสียงการสนทนาอะไรก็ว่าไปค่ะ เก็บไว้เป็นหลักฐานเผื่อเกิดอะไรขี้น
ที่นี่การคุ้มครองผู้บริโภคค่อนข้างสูง ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผู้บริโภคมักจะได้เปรียบ แต่ก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเผชิญกับปัญหาจุกจิก เสียเงินกับเรื่องที่ไม่ควรจะเสียแบบนี้ ไปไหนมาไหนก็ระวังตัว จะอัพเดทโซเชี่ยวไว้เผื่อให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ที่ไหน ก็ช่วยได้ค่ะ
Friend and Foundation
เอเจ้นไทยในสหรัฐอเมริกา
สนใจเรียนภาษาติดต่อเรา
รู้ไว้ก่อนไปนิวยอร์ก
คือตัวเองอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ก และได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด (พิษณุโลกเมืองสองแคว บ้านเดียวกันแม่หญิงการะเกด) ตอนขากลับเราได้แลกเงินไทยเป็นดอลล่าร์จากสนามบินมา $100 (แบงค์ 20 ห้าใบ) แล้วก็ไม่ได้ใช้อะไรเลย พอเครื่องบินแลนดิ้งแตะแผ่นดินหมาหนครนิวยอร์ก เราก็ลงเครื่องแวะเอากระเป๋าเสร็จ ก็กำลังจะทำการเปลี่ยนซิมการ์ดจากเบอร์ไทยเป็นเบอร์นิวยอร์ก(เบอร์เดิมที่เคยใช้) ระหว่างทำการจิ้มๆ เพื่อเอาซิมไทยออกจากเครื่อง ก็มีคนมาเดินชนจากข้างหลัง ทำให้ไม้จิ้มซิมการ์ดที่ใช้อยู่หล่นลงพื้น เราก็พยายามมองหา แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ใช้เวลาพอสมควรกับการหาไม้จิ้มซิมบนพื้นสนามบิน JFK แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ก็เลยทำใจว่าไม่เป็นไร ยังไม่เปลี่ยนก็ได้เพราะในสนามบินมีบริการ อินเตอร์เน็ตฟรี 30 นาที (หากเกินสามสิบนาทีจะคิดเงิน ซึ่งขึ้นอยู่กับความยินยอมของเรา ถ้าเราตกลงก็กดซื้อไป สามสิบนาที หนึ่งชั่วโมง หรืออะไรก็ว่าไป ตรงนี้จำไม่ได้จริงๆ แต่ให้รู้ไว้ว่าที่สนามบินมีไวไฟให้ใช้ฟรี 30 นาทีค่ะ)
เราก็จัดการต่อเน็ตฟรี แล้วก็ติดต่อเพื่อนเพื่อขอที่อยู่ชั่วคราว (ตอนนั้นบ้านเรามีปัญหานิดหน่อย ต้องไปนอนห้องพักรายวัน 1 คืน) กว่าเพื่อนจะติดต่อมาก็ใช้เวลาไปเกือบ 15 นาที ก็เท่ากับว่าเรามีเน็ตฟรีใช้อีกแค่ 15 นาที จึงตัดสินใจรีบเรียก UBER ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าบริการของ UBER นั้น จะเรียกใช้ผ่านแอปเท่านั้น และเวลาเรียก เราก็สามารถเลือกประเภทของรถได้ด้วย ว่าอยากได้คันเล็ก คันใหญ่ หรือแบบนั่งแชร์กับคนอื่น และราคาก็จะแตกต่างกันไปตามประเภทของรถ ซึ่งราคานั้นก็จะโชว์บอกก่อนที่เราจะทำการตกลงยืนยัน เราก็ตกลงเรียกแบบแชร์ไป ระยะทางจาก JFK ไปบ้านเรา(Jackson height ย่านคนไทย) จะอยู่ที่ประมาณ 30-50 นาที ราคาแท็กซี่ก็จะอยู่ประมาณ $30-$35 และตอนนั้นเราได้โปรโมชั่น 50% จาก UBER ราคาที่เราเรียกไป $15.xx
ระหว่างรอแท็กซี่เราก็เช็คตลอดว่า แท็กซี่คันที่เราเรียกนั้นถึงไหนแล้ว (ข้อดีของอูเบ้อค่ะ สามารถเช็คสถานะของรถที่เราเรียกได้แบบ Real time) จนอูเบอร์ใกล้จะถึงที่นัดพบ เราก็ออกจากสนามบินไปเพื่อนที่จะไปรอตรงจุดรับผู้โดยสารของสนามบิน ระหว่างทางที่เดินไปก็มี ชายฉกรรจ์ 3-4 คน เดินเข้ามาหาเรา ถามว่าจะไปไหน และเดินมาช่วยถือกระเป๋า แบบจะลากกระเป๋าเราไปขึ้นรถตัวเอง เราก็แบบบอกไม่เป็นไร เรามีคนมารับ ชายฉกรรจ์นางหนึ่งก็เอ่ยว่า อูเบ้อเหรอ เค้าไม่มาที่นี่หรอก ชั้นรู้ดี เพราะชั้นขับกับอูเบ้อ ทางสนามบินไม่อนุญาติให้อูเบ้อเข้ารับผู้โดยสาร เราก็ไม่พูดอะไร เพราะเราอยู่ที่นี่เรารู้ดีว่าอูเบ้อสามารถเข้ามารับส่งผู้โดยสารได้ปกติ เราก็รอต่อไป
รอไปสักพักรถก็ไม่มาสักที เนื่องจากรถเยอะ รถที่เราเรียกคงติดอยู่ ค่อยๆคลานมาอย่างช้าๆ และเราเห็นว่าเน็ตฟรีเราใกล้จะหมดแล้ว เราเลยตัดสินใจส่งข้อความไปหาแท็กซี่ว่าเราใส่เสื่อสีนั้นนี้ รออยู่ตรงจุดนี้นะ ซึ่งตอนนั้นในมือถือไม่มีซิมของเมกา ข้อความจะส่งได้เฉพาะเวลามีเน็ต และจะส่งออกเป็น iMessage ซึ่งถ้าทางฝั่งผู้รับใช้ไอโฟนเหมือนกันก็จะได้รับ ข้อความถูกส่งไปและเราคิดว่าเค้าน่าจะได้รับข้อความเรา และเน็ตฟรีเราก็หมดในที่สุด แต่เราก็ไม่เห็นรถที่เราเรียกสักที ชายฉกรรจ์คนเดิม เห็นเรายังอยู่ที่เดิม จึงเดินเข้ามาทักว่า บอกแล้วว่าอูเบ้อเข้ามาที่นี่ไม่ได้ นางยื่นข้อเสนอให้เราว่า ให้ไปกับนางแต่มีข้อแม้ว่าต้องจ่ายเป็นเงินสด โดยที่นางจะคิดเรทเดียวกับอูเบอร์ที่เราเรียก เราเองก็ลังเล ว่าจะซื้อเน็ตเพิ่มดีใหม เพราะมันก็แค่ $4.99 สำหรับ 30 นาที (อันนี้เราไม่แน่ใจเรื่องราคานะคะ จำไม่ค่อยได้) แต่พอเห็นมันยื่นข้อเสนอที่ว่าเรทเดียวกันกับที่เราได้เราเลยตกลงไปกับนาง เพราะอีกอย่างแทกซี่คันนั้นก็ไม่รู้จะยังไง จะหากันเจอมั้ย
พอเราตัดสินใจไปกับนาง ขับไปสักสิบนาทีนางก็เอาโทรศัพท์นางมา แล้วก็กดเช็คราคา สรุปราคาประมาณเก้าสิบกว่าเหรียญ เราตกใจมากตอบกลับอย่างทันควันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะชั้นเคยนั่งประจำ ราคามันไม่เคยเกิน $35 เลยนะ $40 นี่ถือว่าแพงมากแล้ว นางก็เอาโทรศัพท์โชว์ราคาอูเบอร์ให้เราดู ซึ่งก็จริงตามนั้น แต่นางไปกดเรียกเป็นรถใหญ่ค่ะ SUV ซึ่งเป็นรถที่เก็บค่าโดยสารสูงสุดในบรรดารถประเภทอื่นๆ เราก็บอกเราไม่เอา ยูบอกยูจะให้ไอในเรทเดียวกับอูเบอร์ไง นางก็เถียงอีกว่าก็นี่ไงเรทเดียวกับอูเบอร์ เพราะรถนางเป็นรถ SUV เราบอกถ้าไม่ได้เรทที่เราได้เราก็ไม่ไป คือเราได้ราคาโปรประมาณสิบห้าเหรียญ เราไม่เอาโปรก็ได้ เราจ่ายเต็มที่ได้แค่ $40 ถ้ายูไม่รับข้อเสนอนี้ก็จอดรถ เถียงกันอยู่สักพักนางก็ไม่ยอมจะเก็บเราเก้าสิบกว่าให้ได้ เราเลยบอกจอดตรงนี้แหละเราจะลง นางบอกจอดไม่ได้(บริเวณนั้นเป็นทางขับเข้าออกสนามบิน ไม่มีคนเดิน ไม่มีรถโดยสารผ่าน และห้ามจอด) ซึ่งเรามีแผนในใจว่ายังไงเราก็ต้องลง และถ้าลงได้เราจะถ่ายรูปทะเบียนรถนาง แต่พอนางจอดไม่ได้ เราเลยบอกให้นางวนรถกลับไปที่เดิม เราจะไปรอที่สนามบิน นางก็บอกว่าดึกป่านนี้แล้วไม่มีรถหรอก อูเบอร์ก็เข้าไม่ได้ เราเลยบอกไม่เป็นไร เราจะนอนรอที่นั่นจนเช้า นางก็ไม่หยุดต่อล้อต่อเถียง ว่าเสียเวลาบ้าง น้ำมันแพงบ้าง ใจก็กลัวเหมือนกันนะว่ามันจะขับรถพาไปฆ่าที่ไหนรึป่าว เพราะตอนนี้นก็ดึกมากแล้ว (ประมาณเกือบเที่ยงคืนเห็นจะได้) เราเลยตั้งสติ พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแบบอารมณ์ดี ว่างั้นไอให้ยู $10 แล้วกลับไปส่งชั้นที่เดิม นางก็โอเค แล้วก็วนรถกลับไปที่สนามบินที่เดิม
พอถึงสนามบิน นางก็ยังมีน้ำใจนะ ช่วยยกกระเป๋า ลากมาที่จุดรอรถ ระหว่างจัดแจงเรื่องกระเป๋า ชายฉกรรจ์ 3-4 คนที่กรูเข้ามาหาเราตอนแรก ก็เข้ามาอีก แบบเหมือนนกแร้งที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า แล้วมองเห็นเหยื่ออยุ่บนพื้นดิน คือสามสี่คนปรี่เข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพากันกลับมา เราก็ตอบคำถามไปว่าเกิดไรขึ้น แล้วก็จ่ายเงินให้นางแท็กซี่คันที่เรานั่งไป(แบงค์ $20 หนึ่งใบ) นางก็บอกไม่มีทอน เราก็แบบค่ะ เดินไปท้ายรถ จัดการถ่ายรูปทะเบียนรถ แล้วก็บอกแบบอารมณ์ผุ้ชนะว่า Keep the change ฮ่าๆๆๆ (ซึ่งในความเป็นจริง แพ้ราบคาบเลย) นางก็บอกห้ามถ่ายรูปนะ ถ่ายไม่ได้ เราก็บอกก็ถ่ายไปแล้วนิ นางคงเริ่มรุ้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของนาง เพราะนางดูกลัวมาก แล้วก็คืนเงินให้เรา บอกจะถ่ายรูปก็ได้ แต่ไอไม่เอาเงินยูละ แล้วก็คืนเงินให้เรา
ขออนุญาตอธิบายแผนที่วางไว้นะคะ
จริงอยู่ว่าเหตุการที่เกิดขึ้น เสมือนไม่มีหลักฐานอะไรที่จะนำไปแจ้งความกับตำรวจเอาผิดคนขับได้ แต่เราตั้งใจไว้ว่าเราจะร้องเรียนไปยังอูเบอร์ว่า รถหมายเลขทะเบียนนี้ มาชวนเราขึ้นรถที่สนามบิน JFK แล้วให้เราจ่ายเงินสด โดยจะเรียกเก็บเงินจากเราประมาณ $100 แล้วก็ส่งเราไม่ถึงที่หมาย กลับพาเรามาส่งที่เดิมพร้อมเรียกเงินค่าเสียเวลาจากเราไป $20 โดยแนบรูปที่เราได้ถ่ายไว้ส่งไปด้วย หากรถหมายเลขทะเบียนนี้ขับรถให้อูเบอร์ โปรดพิจารณาเคสนี้ด้วย ซึ่งหลักฐานไม่มีก็จริง แต่เราเชื่อว่าอูเบอร์ต้องทำอะไรสักอย่าง อาจถึงขั้นยกกเลิกสัญญา ไม่ให้ขับกับอูเบอร์ตลอดไปเลยก็ได้ แล้วเราจะร้องเรียนไปทุกบริษัทแทกซี่ที่มีในนิวยอร์ก
กลับมาที่สนามบินค่ะ สถาณการณ์หารถกลับบ้าน
เราตัดสินใจซื้อเน็ตเพื่อทำการเรียกอูเบอร์ต่อ แต่ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง (หนึ่งใน 3-4 คนที่กรูเข้ามาหาเราตอนแรก) ท่าทางดูสุภาพ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม และดูไม่กรรโชกเหมือนคนอื่นๆ ถามเราว่าบ้านอยู่ไหน แล้วแท็กซี่คนแรกชาร์ตเท่าไร แล้วถามต่อว่าอยากจ่ายเท่าไร ด้วยความที่งก(ไม่เข้าเรื่อง) เราก็ไม่ค่อยอยากจ่ายค่าเน็ตเท่าไร ($4.99) ก็เลยบอกตัวเลขไป ถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการก็จะซื้อเน็ตเรียกอูเบอร์ให้จบๆไป เราเรียกไป $35 เดชะบุญ! นางตอบตกลงค่ะ แล้วก็มีเสียงตะโกนจากชายฉกรรจ์ที่เหลือซึ่งยืนฟังอยู่ห่างๆ ว่า ราคานั้นถูกเกินไป ไม่มีใครเค้าทำกันหรอก ชายฉกรรจ์ผู้สุภาพของเราก็บอก ชั้นรับเค้ามันทางกลับบ้านฉันพอดี แล้วนางก็มายกกระเป๋าเราขึ้นรถ และพาเรากลับบ้านในที่สุด ระหว่างทางเราก็แอบกลัวนะ ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรก่อนขึ้นรถซะด้วย แต่ด้วยท่าทางที่สุภาพบวกน้ำเสียงที่ใจดีดูเป็นมิตรเลยทำให้เราค่อยเบาใจหน่อย นางชวนคุยเป็นระยะๆ ดูไม่มีพิษมีภัยจนในที่สุด ก็ถึงหน้าบ้านที่เราจะพักในคืนนั้น
เรื่องเหมือนจะจบอย่างปลอดภัยนะคะ แต่ยังค่ะ ยังมีพึคกว่านั้น ช่วงที่เรากำลังจะจ่ายเงิน เราก็ออกมาจากรถกะว่าเอากระเป๋าลงเรียบร้อยแล้วก็จ่ายเงินนางไป เราก็ยืนล้วงๆกระเป๋าหาเงินอยู่แบบวุ่นๆ ชายฉกรรจ์ผู้ใจดีก็บอกเราด้วยความเป็นห่วงว่า เข้ามาจ่ายข้างในรถนี่ เราก็เห็นว่าดึกแล้ว แล้วมีคนเดินกลุ่มหนึ่งเดินป้วนเปี้ยนอยุ่(เหมือนจะเมา) เราก็ก็แอบกลัว เลยกลับเข้าไปในรถ ล้วงหากระเป๋าตัง และยื่นเงินให้นางไป $40 (แบงค์ $20 สองใบ) ซึ่งเราต้องได้ทอน $5 ระหว่างที่รอเงินทอนเราก็ก้มหน้าเพื่อเก็บของเก็บกระเป๋า เช็คสัมภาระว่ามีอะไรตกหล่นในรถหรือไม่ พอเงยหน้าขึ้นมา นางก็เปิดไฟในรถ แล้วก็ยื่นเงินกลับมาให้เรา เป็นแบงค์ $20 หนึ่งใบ กับแบงค์ $1 อีกหนึ่งใบ เราก็ทำหน้างงๆ ว่าคืออะไรเหรอ นางบอกเราจ่ายไม่ครบให้มาแค่ $21 เราแบบปรี๊ดดดดดดดเลยค่ะ คือแบบพวกคะ จะไม่มีคนดีกันเลยจริงๆใช่มั้ย จะเลวกันให้ถ้วนหน้าเลยเหรอคะ เราก็เถียงไปว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเรามาจากต่างประเทศ และแลกเงินมาจากสนามบิน $100 (แบงค์ $20 ห้าใบ) การที่เราจะจ่ายแบงค์ $1 นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง ยูสลับแบงค์ ชั้นรู้! ก็เหมือนจะเถียงๆกัน แต่คือเราเหนื่อยมากแล้ว เลยตัดบทไป ยื่นเงินให้มันไปอีก $20 แล้วบอกว่าเอาไปเลย $60 ไม่ต้องทอนนะ แล้วก็กลับไปบ้าน ไปบอกลูกบอกเมียด้วย ว่าวันนี้หลอกเงินคนมาได้ $60 นางก็ไม่จบยังจะเถียงต่ออีกว่า หลักฐานมันก็เห็นๆอยู่แล้วว่ายูให้ไอมาแค่ $21 แล้วไอก็จะทอนเงินให้ยูนี่ไงห้าบาท แต่นางบอกไม่มีแบงย่อย มีแค่สามบาท แล้วนางก็เอาแบงค์บาทคืนให้เรามาสามใบ นางคงแอบสลับเงินในระหว่งที่เราก้มหน้าเช็คของในรถ เพราะระหว่งเราก้มหน้า หางตาเราก็ยังมองเห็นนางอยุ่ นางทำท่าเปิดเก๊ะในรถ หยิบนี่นั่น เหมือนแบบจะเก็บเงินอ่ะ แล้วคงทำแบบนี้บ่อย เลยชำนาญแอบสลับเงิน เราคิดจะถ่ายรูปทะเบียนรถแล้วร้องเรียนอูเบอร์นะ แต่ก็นึกในใจว่าถึงบ้านปลอดภัยก็ดีแล้ว อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย แอบแผ่เมตตาให้นางไป แล้วเราก็ขนกระเป๋าเข้าบ้านอาบน้ำนอน โดยที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล
จุดจบสายงกค่ะ ต้องเสียเงินเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าซื้อเน็ตเรียกรถเองตั้งแต่แรกก็ถึงบ้านโดยที่ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ และเราก็อยากจะแนะนำสำหรับใครๆ หลายๆคน ที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวนิวยอร์ก ดังนี้ค่ะ
1. ที่สนามบิน JFK มี Free wifi 30 นาที หลังจากนั้นจะคิดเงินซึ่งเราเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ (ไม่ได้บังคับค่ะ)
2. หากไม่อยากเสียค่า wifi หลังจากที่ใช้ฟรีไปแล้ว 30 นาที ก็สามารถซื้อซิมการ์ดใส่ในมือถือได้เลย ราคาอาจแพงกว่าซื้อข้างนอกหน่อย แต่เพื่อความสะดวกและปลอดภัยค่ะ
3. ถ้าจะเรียกแท็กซี่แนะนำให้ใช้บริการของ UBER, LYFT, JUNO, VIA นะคะ อูเบอร์ใช้ได้หลายประเทศค่ะ ก่อนมาโหลดแอพลงทะเบียนใช้งานไว้ก่อนก็ได้ค่ะ
เราสามารถเรียกใช้บริการได้ปกติค่ะ สามารถมารับมาส่งผู้โดยสารได้โดยไม่ผิดกฏหมาย หรือถ้าจะนั่งแทกซี่เหลืองที่จอดรอคิวรับผู้โดยสารเหมือนบ้านเราก็ทำได้ค่ะ แต่ตามมิเตอร์นะคะ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือแทกซี่ดำ ซึ่งจะตกลงเรทกับเราก่อนว่าจะไปไหนราคาเท่าไร ถ้าเรารู้ราคาว่าประมาณไหน สามารถตกลงจ่ายแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาค่ะ
4. มือถือมีใช้ให้เป็นประโยชน์ค่ะ จะถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ บันทึกเสียงการสนทนาอะไรก็ว่าไปค่ะ เก็บไว้เป็นหลักฐานเผื่อเกิดอะไรขี้น
ที่นี่การคุ้มครองผู้บริโภคค่อนข้างสูง ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผู้บริโภคมักจะได้เปรียบ แต่ก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเผชิญกับปัญหาจุกจิก เสียเงินกับเรื่องที่ไม่ควรจะเสียแบบนี้ ไปไหนมาไหนก็ระวังตัว จะอัพเดทโซเชี่ยวไว้เผื่อให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ที่ไหน ก็ช่วยได้ค่ะ
Friend and Foundation
เอเจ้นไทยในสหรัฐอเมริกา
สนใจเรียนภาษาติดต่อเรา