ประเทศอินโดเนเซีย มีสิทธิ์แซงเราได้มากน้อยแค่ไหนครับ ?

แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ปัญหาของอินโดนีเซียตอนนี้คือการขาดดุลแฝดครับ คือขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด -4%กว่าๆ ทุนสำรองฯน้อย (ไทยบวก+11% เกินดุลปีละเกือบห้าหมื่นล้านเหรียญ) ทำให้ตอนนี้อินโดฯถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง(คล้ายไทยยุคต้มยำกุ้ง) ซึ่งตรงนี้เวียดนามทำได้ดีกว่าเพราะเริ่มเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้าแล้ว(ผลจากเกาหลีใต้ย้ายฐานผลิตเข้าไปมาก และการลงทุนต่างประเทศ)
ตรงนี้ทำให้รัฐบาลอินโดฯต้องประกาศชะลอโครงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไปนับสิบโครงการเมื่อช่วงกลางปี ตรงนี้จะทำให้อินโดฯช้าลง

อินโดฯมีข้อได้เปรียบตรงตลาดภายในประเทศที่ใหญ่มาก อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเติบโต แต่บริษัทภายในประเทศยังมีขนาดเล็กไปหน่อย สองสามปีก่อนเคยอ่านเจอว่าบ.ลูกของซีพี เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอินโดฯ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่แล้วมั๊ง ถ้าเขาเริ่มโตคงโตเร็วมากๆ

อินโดฯกับเวียดนามตอนนี้ ได้พัฒนามาใกล้ถึงคอขวดที่ไทยติดอยู่หลายปี (สิบปีมานี้ ไทยส่งออกประมาณเดือนละสองหมื่นล้านเหรียญ แทบไม่เพิ่มขึ่นเลย พึ่งเริ่มเพิ่มขึ้นในปีสองปีนี้เอง..แบบเบาๆ) ถ้าเขาไม่ติดคอขวดหยุดชะงักแถวๆนี้เหมือนไทย ก็อาจไล่จี้ไทยได้ใกล้ขึ้นก็ได้

แต่ปัจจุบันนี้ ไทยเราเริ่มมีนโยบายที่จะทำให้เร่งตัวพ้นคอขวดได้เร็วขึ้น เช่น การพยายามผนวกตลาดCLMVให้เป็นตลาดที่ไทยได้เปรียบ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยการใช้การร่วมทุนรัฐกับเอกชนPPPเพื่อไม่ให้ก่อหนี้มากไป (ซึ่งอินโดฯ มาเลเซีย กับเวียดนามยังทำไม่ได้ เพราะสภาพคล่องในประเทศยังน้อย และบริษัทภายในประเทศยังมีขนาดเล็กเกินไป) และการเน้นเทคโนโลยี่และนวัตกรรมให้มากขึ้น เช่น งบวิจัยของไทยได้เพิ่มจากไม่ถึง0.25% เมื่อสี่ปีก่อน เป็น 1%ของจีดีพี(ประมาณ 1.6แสนล้านบาท รัฐ30% เอกชน 70%)ในปีนี้ และคาดว่าจะไปเกิน 1.5%ในอีกสามปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ไทยเริ่มกลายเป็นประเทศผู้ผลิตนวัตกรรมใหม่(ตามทฤษฏี)

แต่การวิจัยเองมันช้าไป ได้ยินว่า ไทยเราแอบมีนโยบายให้กงศุลทั่วโลกเล็งหาเทคโนโลยี่ใหม่ๆทั่วโลก แล้วเตรียมกองทุนเข้าไปซื้อสิทธิบัตรหรือบ.วิจัยนั้น รวมทั้งการกระซิบให้บ.ใหญ่ๆของไทยเข้าไปซื้อด้วย (มีบ.เอกชนไทยทำแบบนี้ไปบ้างแล้ว)

ยกตัวอย่าง นโยบายของไทยที่ตั้งเป้าว่า จะเป็นประเทศแถวหน้าในการเป็นผู้ผลิตแบตฯลิเธียมไอออนในอีกห้าปีข้างหน้านี้ ซึ่งตอนนี้ ภาคเอกชนก็มีปตท.กับEAที่เตรียมสร้างโรงงานอยู่ ส่วนภาครัฐก้ได้วิจัยและเตรียมทำโรงงานแบตฯต้นแบบ(สิทธิบัตรไทยแท้)ในปลายปีนี้ เพื่อทดลองสร้างแบตฯสำหรับทำรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าทั่วประเทศ(สองหมื่นกว่าคัน) และบ.รถต่างชาติ โตโยต้า นิสสัน ฮอนด้า เบนซ์และBMWก็เตรียมมาสร้างโรงงานแบตฯในไทยด้วยเช่นกัน(แลกกับการยอมให้ทำรถไฮบริดก่อน-เพื่อรักษาฐานสายการผลิตในยุคเปลี่ยนผ่าน ไม่ให้ซับฯสองหมื่นบ. เจ๊งทันทีถ้าเปลี่ยนเร็วไป) ตรงนี้น่าจะพอทำให้ไทยเรามีโอกาสก้าวกระโดดด้านรถไฟฟ้าได้ในอีกห้าปีข้างหน้า (แว่วๆว่า เทคโนโลยี่หุ่นยนต์ ไทยเราก็แอบวางแผนซิกแซกในการดูดด่วนไว้แล้วเหมือนกันนะ หวังว่าจะทำได้)

นอกจากนี้ยังมีนโยบายดึงคนเก่งวิจัยทั่วโลกเข้ามา  นโยบายเกื่ยวกับอุตสาหกรรมผลิตยา(ให้ปตท.เข้ามาอุ้มองค์การเภสัชฯ ผลิตยามะเร็งร่วมกับคิวบา(เห็นเค้าว่ายาดีมาก แต่สหรัฐกีดกัน)  การเป็นฮับเป็นศูนย์กลางในหลายๆเรื่อง ฯลฯ

ซึ่งถ้าการดูดเทคโนโลยี่ในช่วงแรก และเป้าหมายการวิจัยเองในอีกสิบปีข้างหน้าทำได้สำเร็จ เพื่อนบ้านก็คงยากจะแซงไทยได้ ตรงกันข้ามไทยเราอาจจะเริ่มแซงหลายประเทศที่นำหน้าอยู่ก้ได้ เพราะยุคเทคโนโลยี่ใหม่นี่ เทคโนฯของเก่าไม่นับแล้ว ถ้าระบบสาธารณูปโภคเราพร้อม หนี้ประเทศไม่เยอะ มีเงินง่ายๆต้นทุนต่ำจากการท่องเที่ยวปีละมหาศาล ภาพพจน์ประเทศเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ(อาหารไทย มวยไทย ละครไทย ฯลฯ) การฝันจะเป็นประเทศแถวหน้าๆของโลก ก็อาจเป็นจริงก็ได้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่