.
ตอนแรก
https://pantip.com/topic/37975285
200 ปีต่อมา
“อ้าว..ยัยแป้ง แกยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ นี่เกือบจะสองทุ่มแล้วนะ กะจะทำงานเอาตำแหน่งพนักงานดีเด่นหรือไงย่ะ”
วาวเพื่อนร่วมงานเดินมาหยุดอยู่โต๊ะทำงานของเพื่อนสาว คนที่ตนเพิ่งเอ่ยถามไปเมื่อครู่
“อีกเดียวเดี๋ยวน่า เราใกล้จะเขียนจบแล้ว ว่าแต่แกเถอะ ยังไม่ถึงบ้านอีก”
แป้งวางมือจากแป้นพิมพ์แล้วหันหน้ามาคุยกับวาว
“ฉันไปทานข้าวกับพี่ดลมา บังเอิญลืมเอกสารไว้ที่ออฟฟิศเลยแวะกลับมาเอาน่ะ”
วาวยื่นหน้าก้มลงไปอ่าน บทความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แป้งพิมพ์ค้างไว้ และพูดเสียงดังทันทีที่เห็นว่าเพื่อนกำลังเขียนเกี่ยวกับอะไร
“แกกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับอะไรเนี่ย นักล่าปิศาจเหรอ
นิตยสารอ่านดี จะลงบทความเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้วเหรอแก ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย บอกอจะเปลี่ยนแนวจากสาระรอบตัวมาเป็น แนวภูตผีปิศาจหรือไง”
“ภูตผีปิศาจก็เป็นเรื่องสาระรอบตัวได้เหมือนกันนะแก บอกออยากให้ฉันลองเขียนบทความดู แล้วส่งให้บอกออ่าน ถ้าเข้าท่าอาจได้ตีพิมพ์ในเดือนหน้า”
“ฉันว่าดูงมงายซะมากกว่า”
“แต่ฉันว่าไม่ใช่เรื่องงมงายนะ ฉันไปอ่านเจอบันทึกเล่มหนึ่งที่อยู่ห้องสมุด เค้าเขียนเล่าถึงนักล่าปิศาจสองพี่น้องตระกูลโซกุ ที่ออกล่าแวมไพร์ มนุษย์ป่าหมา พวกพ่อมดหมอผีที่โดนอวิชาเล่นงานจนกลายมาเป็นสัตว์ร้ายในคราบคน พวกมันโหดร้ายป่าเถื่อน คลั่งไคล้การเข่นฆ่า นักล่าปิศาจต้องออกมาปราบพวกมันไว้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเราอย่างทุกวันนี้แน่ๆ” แป้งเล่า
“นิทานหลอกเด็กชัดๆ” วาวโต้กลับ
“ก็แล้วแต่แกจะคิด ถึงอย่างไรฉันก็จะค้นคว้าเรื่องราวของสองพี่สองโซลกุให้ได้มากที่สุด แล้วจะเขียนบทความถึงพวกเขา แกรออ่านแล้วกัน”
“ย่ะ แม่สาวนักล่าปิศาจ ฉันจะรออ่าน ส่วนตอนนี้ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน พี่ดลรออยู่ และแกก็ควรกลับบ้านได้แล้วนะ”
“จ้า..อีกแป๊บเดียว ขออีกสิบนาที อยากเอนหลังแล้วเหมือนกัน”
“งั้นฉันไปก่อนนะ บ๊ายบาย” วาวโบกมือลาเพื่อนก่อนจะเดินจากห้องไป
แป้งบิดขี้เกียจซ้ายขวา หญิงสาวเหลียวมองเวลาที่หน้าจอ สองทุ่มตรง
“ได้เวลากลับบ้านแล้วสินะ ค่อยไปเขียนต่อที่บ้านดีกว่า” หล่อนพึมพำกับตัวเอง แล้วปิดคอมพิวเตอร์ เก็บโทรศัพท์ ปากกา สมุดและหนังสืออีกสองเล่มยัดลงเป้
“กลับแล้วหรือครับคุณแป้ง วันนี้กลับช้านะครับ” ยามหน้าออฟฟิศเอ่ยทักหญิงสาวทันทีที่หล่อนเดินมาถึงประตูทางออก
“เรียกแป้งเฉยๆก็ได้ค่ะ น้าแสน ไม่ต้องมีคุณก็ได้ วันนี้แป้งมีงานให้ต้องเคลียร์หลายอย่างค่ะ เลยอยู่ดึกหน่อย”
“ครับ เดินทางกลับบ้านดีๆนะครับ”
“ค่ะ แป้งไปนะคะ”
หญิงสาวยกมือไหว้น้ายาม ก่อนจะเดินออกมารอรถแท็กซี่ที่ริมฟุตบาธ
รถแท็กซี่หายากกว่าที่หล่อนคิดไว้ ยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะวิ่งผ่านมาสักคัน และพอหญิงสาวระบุจุดหมายที่ต้องการลง คนขับก็ปฏิเสธไม่รับหล่อนขึ้นรถ สามคันผ่านไปแป้งยังหารถกลับบ้านไม่ได้
หญิงสาวล้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาสามทุ่มครึ่ง หล่อนเริ่มกังวล ถ้าคืนนี้หารถแท็กซี่กลับที่บ้านไม่ได้ มีหวังได้นอนที่ออฟฟิศแน่ๆ ไม่เอา..แค่คิดก็ไม่อยากนอนแล้ว หญิงสาวโอดโอยในใจ
แต่ความหวังยังมี เมื่อรถแท็กซี่คันหนึ่งตีไฟเลี้ยวชะลอรถมาจอดตรงหน้าหญิงสาว
แป้งบอกจุดหมายที่ต้องการลง และแท็กซี่คันนี้ก็รับหล่อนขึ้นมา
รถราบนท้องถนนแล่นได้คล่องตัว รถจึงวิ่งได้เร็ว แป้งรู้สึกใจชื่นขึ้นมาหน่อยถ้าเป็นแบบนี้คงถึงบ้านเร็วกว่าที่คิดไว้
หล่อนเผลอหลับไปหลายตื่น และพอตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่บนถนนสายเปลี่ยว ไม่มีรถคันอื่นแล่นสวนผ่านมาเลย
“พี่พาหนูมาทางไหนคะ” แป้งเอ่ยถามคนขับ
“ทางลัด”
“จอดรถเดี๋ยวนี้นะ” แป้งตะโกนเสียงดัง หัวใจเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว หล่อนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบขวดสเปรย์พริกไทยมากำไว้ หากคนขับคิดทำไม่ดีไม่ร้าย หญิงสาวก็พร้อมฉีดสเปรย์ใส่หน้ามันทันที
รถหยุดแล่น คนขับหันหน้ามามองผู้โดยสาร
หล่อนแทบกรีดร้องเมื่อเห็นใบหน้าคนขับ ขาวซีด ดวงตาแดงก่ำ เขี้ยวสองข้างยาวเฟื้อย
“คืนนี้แกต้องเป็นอาหารของฉัน”
หญิงสาวฉีดสเปรย์พริกไทยใส่หน้ามัน แล้วรีบเปิดประตูวิ่งหนีออกมา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ มีใครอยู่แถวนี้ไหมคะ ช่วยด้วยค่ะ”
แป้งวิ่งพร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ไร้สัญญาณตอบรับ
“แกจะหนีไปไหน” คนขับวิ่งมาประชิดตัวหญิงสาว แล้วผลักร่างหล่อนให้ล้มลง
แป้งกรีดร้องเสียงหลง ตะเกียดตะกายคลานหนี มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ดึงผมหญิงสาวเพื่อจับให้เงยหน้าขึ้น
“แกเป็นแวมไพร์ ทะไม..ทำไมยังมีพวกแกเหลืออยู่ พวกแกน่าจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว” แป้งพูดกับมัน
“งั้น ฉันจะบอกอะไรให้แกรู้ ก่อนที่แกจะกลายมาเป็นอาหารของฉัน”
แป้งอาศัยช่วงจังหวะที่มันพูด ใช้มีดพกที่ตนแอบดึงออกมาจากกระเป๋าแทงลงไปที่ขาของมัน
แล้วรีบลุกวิ่งหนีทันทีที่มันปล่อยมือจากผม แต่ก็ช้าไปมามันวิ่งตามทัน และชกหน้าท้องหล่อนไปหนึ่งที
หญิงสาวล้มลงนอนตัวงออยู่บนพื้น
“ที่จริงฉันตั้งใจจะเก็บแกไว้ เลี้ยงดูแก คอยดูดเลือดแกไปทีละนิดทีละน้อย แต่แกทำฉันเจ็บ คืนนี้ฉันไม่เอาแกไว้แน่”
มันเดินย่างสามขุมเข้าหาหล่อน หมายจะดูดเลือดหล่อนให้หมดตัว
“ถอยออกมาจากตัวเธอ ถ้าแกยังไม่อยากตาย” น้ำเสียงทุ้มทรงพลังเอ่ยขึ้นเสียงดัง
คนขับรถหันไปมองตามทิศทางที่ได้ยินเสียง เห็นบุรุษชุดดำ ด้านหลังสะพายดาบสองเล่ม ยืนตะหง่านอยู่ถนนอีกฝั่งหนึ่ง
“นักล่าปิศาจ” มันเอ่ยขึ้น
แป้งได้ยินเช่นนั้น ดวงตาพลันลุกวาว พยายามชะเง้อคอเหลียวมองชายชุดดำเพื่อจะได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ
“อยากตายก็เข้ามาสู้กับข้า หรือแกจะกลับไปบอกนายแก ให้ทำตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าจะไปเผารังนายแกให้สิ้นซาก” ชายชุดดำเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้อยู่สังกัดใครโว้ย อยากสู้กับพวกนักล่ามานานแล้ว”
“งั้นเตรียมตัวไปลงนรกได้เลย”
ชายชุดดำเคลื่อนตัวพลิ้วไหวราวสายลม เข้ามาประชิดตัวคนขับรถเพียงชั่วพริบตา เขาสะบัดดาบเพียงครั้งเดียวก็ตัดศีรษะมันขาดได้อย่างง่ายดาย
“คุณไม่เป็นไรนะ” ชายชุดดำหันมาพูดกับแป้งเมื่อเก็บดาบเข้าฝัก หญิงสาวนั่งตัวสั่นเทา
“ไม่เป็นค่ะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะคะ”
แป้งลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับชายชุดดำ
“เขาบอกว่าคุณเป็นนักล่าปิศาจ”
“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”
“คิดว่าคุณเป็น แล้วคุณรู้จักนักล่าปิศาจ สองพี่น้องตระกูลโซกุไหมคะ” แป้งยิงคำถามทันทีที่ควบคุมอารมณ์หวาดกลัวของตัวเองได้
ชายชุดดำไม่ตอบคำถาม และเดินจากไป หญิงสาววิ่งตามมาติดๆ
“ถ้าคุณรู้จัก ช่วยเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ฉันกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับสองพี่น้องตระกูลโซลกุ ข้อมูลในบันทึกก็มีไม่มาก หากคุณรู้ช่วยบอกหน่อยนะคะ”
“ผมไม่รู้”
“งั้นคุณชื่ออไรคะ”
“บอกไม่ได้”
“ฉันชื่อแป้งค่ะ”
“ผมไม่ได้อยากรู้ชื่อคุณ”
“รู้ไว้หน่อยก็ดีนะคะ เผื่อครั้งหน้าเราเจอกัน คุณจะได้เรียกฉันถูกไง”
ชายชุดดำชำเลืองมองหญิงสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะวิ่งหนีห่างออกมาแล้วกระโดดปราดเดียวขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าน
“ฉันรู้ว่า คุณต้องรู้อะไรเกี่ยวกับสองพี่น้องตระกูลโซลกุแน่ๆ ฉันจะตามหาคุณและขอให้คุณเล่าให้เรื่องราวของสองพี่น้องให้ฟัง เราต้องได้เจอกันอีกแน่”
หญิงสาวยืนตะโกนก้องขึ้นไปจุดที่ชายชุดดำยืนอยู่ สิ้นคำพูดหญิงสาว ชายชุดดำพลันจากไปอย่างไร้ร่องรอย
.............................................
ข้าชื่อเลโอ เป็นนักล่าปิศาจ ข้ามีชีวิตเป็นอมตะ ชีวิตอมตะที่บิสเก็ตยัดเยียดมาให้ การมีชีวิตยืนยาวและเฝ้าดูคนที่รักจากไปทีละคน ทีละคน เป็นสิ่งที่ข้ามิปรารถนา
ข้าอยากตาย..แต่ก็มิอาจจะตายได้ตามความต้องการ
ข้าจำต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสานต่องานของอาจารย์จินและคิรัวร์
อดีตกาล ยาวนานมาแล้ว ข้าติดตามจินและคิรัวร์สองพี่น้องตระกูลโซกุไปทุกที่ เราสามคนออกล่าปิศาจ ทำงานรวมกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันบนเส้นทางที่มีแต่อันตรายรอบด้าน
เราทำลายอัญมณีโลหิตจนสิ้นซาก ทว่า..ก็มิอาจหยุดยั้งความชั่วร้ายของเหล่าปิศาจได้หมดสิ้น
จินและคิรัวร์สอนวิชาการต่อสู้ให้ข้าทุกรูปแบบ ฝึกฝน สั่งสอน และคอยควบคุมข้ายามที่ข้าหิวกระหายเลือด
ใช่แล้ว...ข้ากลายเป็นแวมไพร์ อสูรกายผีดิบ เผ่าพันธุ์ที่ข้าต้องการให้พวกมันสูญพันธุ์ ทว่าข้ากลับกลายเป็นสิ่งที่ข้าเกลียดชัง
จินสอนให้ข้าฝึกควบคุมความหิวกระหาย และคอยหาเลือดสัตว์มาให้ข้าดื่ม สอนให้ข้าใช้พลังที่แข็งแกร่งของแวมไพร์มาสู้กับพวกมัน
ข้าเรียนรู้ ฝีกฝน วันแล้ว วันเล่า นานนับเดือน นานนับปี จนข้ารู้ว่าข้าพร้อมที่จะสู้กับพวกมัน
เราสามคนบุกไปทำลายภาคีอัลคาร่าจนย่อยยัยแตกสลายไปในที่สุด ข้าสังหารบิสเก็ตด้วยมือของข้าเอง
ทว่า..แม้ภาคีนี้จะแตกสลายไป ไม่กี่ปีต่อมาแวมไพร์กลุ่มใหม่ก็ก่อตัวขึ้น พวกมันรวมตัวกันอย่างเงียบๆ และติดต่อรวมมือกับมนุษย์หมาป่า ระดมกำลังคนเป็นฝ่ายออกไล่ล่าพวกนักล่าปิศาจที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก
จินถูกฆ่าในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่การตายของจินไม่สูญเปล่า เพราะจินเองก็สามารถฆ่าผู้นำของมันได้เช่นกัน
พวกมันถอยร่นหนีไปเมื่อผู้นำถูกสังหาร และหยุดการเคลื่อนไหวนานหลายปี
และเมื่อพวกมันกลับมาอีกครั้ง กองกำลังทหารของฝ่ายทางการก็เตรียมพร้อมรับมือ การต่อสู้ระหว่างคนกับแวมไพร์จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างมีคนล้มตายเป็นจำนานมาก ไม่มีฝ่ายใดชนะ มีแต่ความเสียหาย และบอบช้ำ
ฝ่ายแวมไพร์ได้ผู้นำคนใหม่ ผู้นำที่ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้หรือทำให้ใครล้มตายอีก จึงได้เดินทางมาตกลงกับทางการให้ยุติการสู้กัน และมาเพื่อทำสัญญาสงบศึก
วันเวลาผ่านไปคิรัวร์แก่ตัวลง แต่ข้ายังมีสภาพร่างกายเหมือนเดิม ไม่ต่างจากครั้งแรกที่เจอเขา ข้ารู้แล้วว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของคิรัวร์
คิรัวร์มอบดาบคู่ให้แก่ข้า และบอกให้ข้าสานต่องานที่ทำ หากพวกมันผิดสัญญา
โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป ข้าใช้ชิวิตเยี่ยงชาวโลกแสนธรรมดา ไปเรียนหนังสือ เรียนจบหางานทำ ข้าทำงานเป็นทนายความ กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นครูในโรงเรียนมัธยม
กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นคนขับแท็กซี่ กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นนักโบราณคดี กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ข้ายังใช้ชีวิตอยู่บนโลกอย่างยาวนาน เฝ้าดูคนที่ข้ารู้จักตายไปทีละคน ทีละคน แสนทรมานและเจ็บปวด
แต่ข้าก็ยังต้องอยู่เพื่อล่าพวกปิศาจที่ผิดสัญญา และนับวันพวกมันกลุ่มนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น ....
ค่ำคืนที่เงียบสงบของข้ากลายมาเป็นคืนล่าอีกครั้ง
ข้าคือบุรุษชุดดำ นักล่ายามราตรี
อัญมณีโลหิต....ตอนจบ
ตอนแรก https://pantip.com/topic/37975285
200 ปีต่อมา
“อ้าว..ยัยแป้ง แกยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ นี่เกือบจะสองทุ่มแล้วนะ กะจะทำงานเอาตำแหน่งพนักงานดีเด่นหรือไงย่ะ”
วาวเพื่อนร่วมงานเดินมาหยุดอยู่โต๊ะทำงานของเพื่อนสาว คนที่ตนเพิ่งเอ่ยถามไปเมื่อครู่
“อีกเดียวเดี๋ยวน่า เราใกล้จะเขียนจบแล้ว ว่าแต่แกเถอะ ยังไม่ถึงบ้านอีก”
แป้งวางมือจากแป้นพิมพ์แล้วหันหน้ามาคุยกับวาว
“ฉันไปทานข้าวกับพี่ดลมา บังเอิญลืมเอกสารไว้ที่ออฟฟิศเลยแวะกลับมาเอาน่ะ”
วาวยื่นหน้าก้มลงไปอ่าน บทความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แป้งพิมพ์ค้างไว้ และพูดเสียงดังทันทีที่เห็นว่าเพื่อนกำลังเขียนเกี่ยวกับอะไร
“แกกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับอะไรเนี่ย นักล่าปิศาจเหรอ นิตยสารอ่านดี จะลงบทความเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้วเหรอแก ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย บอกอจะเปลี่ยนแนวจากสาระรอบตัวมาเป็น แนวภูตผีปิศาจหรือไง”
“ภูตผีปิศาจก็เป็นเรื่องสาระรอบตัวได้เหมือนกันนะแก บอกออยากให้ฉันลองเขียนบทความดู แล้วส่งให้บอกออ่าน ถ้าเข้าท่าอาจได้ตีพิมพ์ในเดือนหน้า”
“ฉันว่าดูงมงายซะมากกว่า”
“แต่ฉันว่าไม่ใช่เรื่องงมงายนะ ฉันไปอ่านเจอบันทึกเล่มหนึ่งที่อยู่ห้องสมุด เค้าเขียนเล่าถึงนักล่าปิศาจสองพี่น้องตระกูลโซกุ ที่ออกล่าแวมไพร์ มนุษย์ป่าหมา พวกพ่อมดหมอผีที่โดนอวิชาเล่นงานจนกลายมาเป็นสัตว์ร้ายในคราบคน พวกมันโหดร้ายป่าเถื่อน คลั่งไคล้การเข่นฆ่า นักล่าปิศาจต้องออกมาปราบพวกมันไว้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเราอย่างทุกวันนี้แน่ๆ” แป้งเล่า
“นิทานหลอกเด็กชัดๆ” วาวโต้กลับ
“ก็แล้วแต่แกจะคิด ถึงอย่างไรฉันก็จะค้นคว้าเรื่องราวของสองพี่สองโซลกุให้ได้มากที่สุด แล้วจะเขียนบทความถึงพวกเขา แกรออ่านแล้วกัน”
“ย่ะ แม่สาวนักล่าปิศาจ ฉันจะรออ่าน ส่วนตอนนี้ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน พี่ดลรออยู่ และแกก็ควรกลับบ้านได้แล้วนะ”
“จ้า..อีกแป๊บเดียว ขออีกสิบนาที อยากเอนหลังแล้วเหมือนกัน”
“งั้นฉันไปก่อนนะ บ๊ายบาย” วาวโบกมือลาเพื่อนก่อนจะเดินจากห้องไป
แป้งบิดขี้เกียจซ้ายขวา หญิงสาวเหลียวมองเวลาที่หน้าจอ สองทุ่มตรง
“ได้เวลากลับบ้านแล้วสินะ ค่อยไปเขียนต่อที่บ้านดีกว่า” หล่อนพึมพำกับตัวเอง แล้วปิดคอมพิวเตอร์ เก็บโทรศัพท์ ปากกา สมุดและหนังสืออีกสองเล่มยัดลงเป้
“กลับแล้วหรือครับคุณแป้ง วันนี้กลับช้านะครับ” ยามหน้าออฟฟิศเอ่ยทักหญิงสาวทันทีที่หล่อนเดินมาถึงประตูทางออก
“เรียกแป้งเฉยๆก็ได้ค่ะ น้าแสน ไม่ต้องมีคุณก็ได้ วันนี้แป้งมีงานให้ต้องเคลียร์หลายอย่างค่ะ เลยอยู่ดึกหน่อย”
“ครับ เดินทางกลับบ้านดีๆนะครับ”
“ค่ะ แป้งไปนะคะ”
หญิงสาวยกมือไหว้น้ายาม ก่อนจะเดินออกมารอรถแท็กซี่ที่ริมฟุตบาธ
รถแท็กซี่หายากกว่าที่หล่อนคิดไว้ ยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะวิ่งผ่านมาสักคัน และพอหญิงสาวระบุจุดหมายที่ต้องการลง คนขับก็ปฏิเสธไม่รับหล่อนขึ้นรถ สามคันผ่านไปแป้งยังหารถกลับบ้านไม่ได้
หญิงสาวล้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาสามทุ่มครึ่ง หล่อนเริ่มกังวล ถ้าคืนนี้หารถแท็กซี่กลับที่บ้านไม่ได้ มีหวังได้นอนที่ออฟฟิศแน่ๆ ไม่เอา..แค่คิดก็ไม่อยากนอนแล้ว หญิงสาวโอดโอยในใจ
แต่ความหวังยังมี เมื่อรถแท็กซี่คันหนึ่งตีไฟเลี้ยวชะลอรถมาจอดตรงหน้าหญิงสาว
แป้งบอกจุดหมายที่ต้องการลง และแท็กซี่คันนี้ก็รับหล่อนขึ้นมา
รถราบนท้องถนนแล่นได้คล่องตัว รถจึงวิ่งได้เร็ว แป้งรู้สึกใจชื่นขึ้นมาหน่อยถ้าเป็นแบบนี้คงถึงบ้านเร็วกว่าที่คิดไว้
หล่อนเผลอหลับไปหลายตื่น และพอตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่บนถนนสายเปลี่ยว ไม่มีรถคันอื่นแล่นสวนผ่านมาเลย
“พี่พาหนูมาทางไหนคะ” แป้งเอ่ยถามคนขับ
“ทางลัด”
“จอดรถเดี๋ยวนี้นะ” แป้งตะโกนเสียงดัง หัวใจเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว หล่อนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบขวดสเปรย์พริกไทยมากำไว้ หากคนขับคิดทำไม่ดีไม่ร้าย หญิงสาวก็พร้อมฉีดสเปรย์ใส่หน้ามันทันที
รถหยุดแล่น คนขับหันหน้ามามองผู้โดยสาร
หล่อนแทบกรีดร้องเมื่อเห็นใบหน้าคนขับ ขาวซีด ดวงตาแดงก่ำ เขี้ยวสองข้างยาวเฟื้อย
“คืนนี้แกต้องเป็นอาหารของฉัน”
หญิงสาวฉีดสเปรย์พริกไทยใส่หน้ามัน แล้วรีบเปิดประตูวิ่งหนีออกมา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ มีใครอยู่แถวนี้ไหมคะ ช่วยด้วยค่ะ”
แป้งวิ่งพร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ไร้สัญญาณตอบรับ
“แกจะหนีไปไหน” คนขับวิ่งมาประชิดตัวหญิงสาว แล้วผลักร่างหล่อนให้ล้มลง
แป้งกรีดร้องเสียงหลง ตะเกียดตะกายคลานหนี มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ดึงผมหญิงสาวเพื่อจับให้เงยหน้าขึ้น
“แกเป็นแวมไพร์ ทะไม..ทำไมยังมีพวกแกเหลืออยู่ พวกแกน่าจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว” แป้งพูดกับมัน
“งั้น ฉันจะบอกอะไรให้แกรู้ ก่อนที่แกจะกลายมาเป็นอาหารของฉัน”
แป้งอาศัยช่วงจังหวะที่มันพูด ใช้มีดพกที่ตนแอบดึงออกมาจากกระเป๋าแทงลงไปที่ขาของมัน
แล้วรีบลุกวิ่งหนีทันทีที่มันปล่อยมือจากผม แต่ก็ช้าไปมามันวิ่งตามทัน และชกหน้าท้องหล่อนไปหนึ่งที
หญิงสาวล้มลงนอนตัวงออยู่บนพื้น
“ที่จริงฉันตั้งใจจะเก็บแกไว้ เลี้ยงดูแก คอยดูดเลือดแกไปทีละนิดทีละน้อย แต่แกทำฉันเจ็บ คืนนี้ฉันไม่เอาแกไว้แน่”
มันเดินย่างสามขุมเข้าหาหล่อน หมายจะดูดเลือดหล่อนให้หมดตัว
“ถอยออกมาจากตัวเธอ ถ้าแกยังไม่อยากตาย” น้ำเสียงทุ้มทรงพลังเอ่ยขึ้นเสียงดัง
คนขับรถหันไปมองตามทิศทางที่ได้ยินเสียง เห็นบุรุษชุดดำ ด้านหลังสะพายดาบสองเล่ม ยืนตะหง่านอยู่ถนนอีกฝั่งหนึ่ง
“นักล่าปิศาจ” มันเอ่ยขึ้น
แป้งได้ยินเช่นนั้น ดวงตาพลันลุกวาว พยายามชะเง้อคอเหลียวมองชายชุดดำเพื่อจะได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ
“อยากตายก็เข้ามาสู้กับข้า หรือแกจะกลับไปบอกนายแก ให้ทำตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าจะไปเผารังนายแกให้สิ้นซาก” ชายชุดดำเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้อยู่สังกัดใครโว้ย อยากสู้กับพวกนักล่ามานานแล้ว”
“งั้นเตรียมตัวไปลงนรกได้เลย”
ชายชุดดำเคลื่อนตัวพลิ้วไหวราวสายลม เข้ามาประชิดตัวคนขับรถเพียงชั่วพริบตา เขาสะบัดดาบเพียงครั้งเดียวก็ตัดศีรษะมันขาดได้อย่างง่ายดาย
“คุณไม่เป็นไรนะ” ชายชุดดำหันมาพูดกับแป้งเมื่อเก็บดาบเข้าฝัก หญิงสาวนั่งตัวสั่นเทา
“ไม่เป็นค่ะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะคะ”
แป้งลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับชายชุดดำ
“เขาบอกว่าคุณเป็นนักล่าปิศาจ”
“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”
“คิดว่าคุณเป็น แล้วคุณรู้จักนักล่าปิศาจ สองพี่น้องตระกูลโซกุไหมคะ” แป้งยิงคำถามทันทีที่ควบคุมอารมณ์หวาดกลัวของตัวเองได้
ชายชุดดำไม่ตอบคำถาม และเดินจากไป หญิงสาววิ่งตามมาติดๆ
“ถ้าคุณรู้จัก ช่วยเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ฉันกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับสองพี่น้องตระกูลโซลกุ ข้อมูลในบันทึกก็มีไม่มาก หากคุณรู้ช่วยบอกหน่อยนะคะ”
“ผมไม่รู้”
“งั้นคุณชื่ออไรคะ”
“บอกไม่ได้”
“ฉันชื่อแป้งค่ะ”
“ผมไม่ได้อยากรู้ชื่อคุณ”
“รู้ไว้หน่อยก็ดีนะคะ เผื่อครั้งหน้าเราเจอกัน คุณจะได้เรียกฉันถูกไง”
ชายชุดดำชำเลืองมองหญิงสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะวิ่งหนีห่างออกมาแล้วกระโดดปราดเดียวขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าน
“ฉันรู้ว่า คุณต้องรู้อะไรเกี่ยวกับสองพี่น้องตระกูลโซลกุแน่ๆ ฉันจะตามหาคุณและขอให้คุณเล่าให้เรื่องราวของสองพี่น้องให้ฟัง เราต้องได้เจอกันอีกแน่”
หญิงสาวยืนตะโกนก้องขึ้นไปจุดที่ชายชุดดำยืนอยู่ สิ้นคำพูดหญิงสาว ชายชุดดำพลันจากไปอย่างไร้ร่องรอย
.............................................
ข้าชื่อเลโอ เป็นนักล่าปิศาจ ข้ามีชีวิตเป็นอมตะ ชีวิตอมตะที่บิสเก็ตยัดเยียดมาให้ การมีชีวิตยืนยาวและเฝ้าดูคนที่รักจากไปทีละคน ทีละคน เป็นสิ่งที่ข้ามิปรารถนา
ข้าอยากตาย..แต่ก็มิอาจจะตายได้ตามความต้องการ
ข้าจำต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสานต่องานของอาจารย์จินและคิรัวร์
อดีตกาล ยาวนานมาแล้ว ข้าติดตามจินและคิรัวร์สองพี่น้องตระกูลโซกุไปทุกที่ เราสามคนออกล่าปิศาจ ทำงานรวมกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันบนเส้นทางที่มีแต่อันตรายรอบด้าน
เราทำลายอัญมณีโลหิตจนสิ้นซาก ทว่า..ก็มิอาจหยุดยั้งความชั่วร้ายของเหล่าปิศาจได้หมดสิ้น
จินและคิรัวร์สอนวิชาการต่อสู้ให้ข้าทุกรูปแบบ ฝึกฝน สั่งสอน และคอยควบคุมข้ายามที่ข้าหิวกระหายเลือด
ใช่แล้ว...ข้ากลายเป็นแวมไพร์ อสูรกายผีดิบ เผ่าพันธุ์ที่ข้าต้องการให้พวกมันสูญพันธุ์ ทว่าข้ากลับกลายเป็นสิ่งที่ข้าเกลียดชัง
จินสอนให้ข้าฝึกควบคุมความหิวกระหาย และคอยหาเลือดสัตว์มาให้ข้าดื่ม สอนให้ข้าใช้พลังที่แข็งแกร่งของแวมไพร์มาสู้กับพวกมัน
ข้าเรียนรู้ ฝีกฝน วันแล้ว วันเล่า นานนับเดือน นานนับปี จนข้ารู้ว่าข้าพร้อมที่จะสู้กับพวกมัน
เราสามคนบุกไปทำลายภาคีอัลคาร่าจนย่อยยัยแตกสลายไปในที่สุด ข้าสังหารบิสเก็ตด้วยมือของข้าเอง
ทว่า..แม้ภาคีนี้จะแตกสลายไป ไม่กี่ปีต่อมาแวมไพร์กลุ่มใหม่ก็ก่อตัวขึ้น พวกมันรวมตัวกันอย่างเงียบๆ และติดต่อรวมมือกับมนุษย์หมาป่า ระดมกำลังคนเป็นฝ่ายออกไล่ล่าพวกนักล่าปิศาจที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก
จินถูกฆ่าในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่การตายของจินไม่สูญเปล่า เพราะจินเองก็สามารถฆ่าผู้นำของมันได้เช่นกัน
พวกมันถอยร่นหนีไปเมื่อผู้นำถูกสังหาร และหยุดการเคลื่อนไหวนานหลายปี
และเมื่อพวกมันกลับมาอีกครั้ง กองกำลังทหารของฝ่ายทางการก็เตรียมพร้อมรับมือ การต่อสู้ระหว่างคนกับแวมไพร์จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างมีคนล้มตายเป็นจำนานมาก ไม่มีฝ่ายใดชนะ มีแต่ความเสียหาย และบอบช้ำ
ฝ่ายแวมไพร์ได้ผู้นำคนใหม่ ผู้นำที่ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้หรือทำให้ใครล้มตายอีก จึงได้เดินทางมาตกลงกับทางการให้ยุติการสู้กัน และมาเพื่อทำสัญญาสงบศึก
วันเวลาผ่านไปคิรัวร์แก่ตัวลง แต่ข้ายังมีสภาพร่างกายเหมือนเดิม ไม่ต่างจากครั้งแรกที่เจอเขา ข้ารู้แล้วว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของคิรัวร์
คิรัวร์มอบดาบคู่ให้แก่ข้า และบอกให้ข้าสานต่องานที่ทำ หากพวกมันผิดสัญญา
โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป ข้าใช้ชิวิตเยี่ยงชาวโลกแสนธรรมดา ไปเรียนหนังสือ เรียนจบหางานทำ ข้าทำงานเป็นทนายความ กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นครูในโรงเรียนมัธยม
กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นคนขับแท็กซี่ กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นนักโบราณคดี กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ข้ายังใช้ชีวิตอยู่บนโลกอย่างยาวนาน เฝ้าดูคนที่ข้ารู้จักตายไปทีละคน ทีละคน แสนทรมานและเจ็บปวด
แต่ข้าก็ยังต้องอยู่เพื่อล่าพวกปิศาจที่ผิดสัญญา และนับวันพวกมันกลุ่มนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น ....ค่ำคืนที่เงียบสงบของข้ากลายมาเป็นคืนล่าอีกครั้ง