ผมมีประสบการณ์หนึ่งที่อยากแชร์ครับ เป็นเรื่องสยองๆนิดๆที่ผมประสบมากับตัวเอง เลยอยากเล่า เผื่อว่าเป็นแง่คิดหรือมีท่านใดจะให้ข้อมูลผมเพิ่มเติมได้
ก่อนอื่น ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่ใช่คนมีเซนส์เห็นผีหรือคนมีองค์อะไรทั้งสิ้น เกิดมาไม่เคยเห็นผี ได้แต่ฟังคนอื่นเค้าเล่าๆกันมา และเป็นคนกลัวผีมาก (บางทีกลัวจนไม่กล้าอาบน้ำคนเดียว ต้องให้เพื่อนมาเฝ้าหน้าห้องน้ำเลย)
ทั้งๆที่ไม่เคยเจอผี แต่ถ้าถามว่าเชื่อเรื่องผีไหม ตอบได้ว่าเชื่อครับ เพราะครอบครัวผมเชื่อ โดยเฉพาะแม่จะสอนผมเรื่องการปฏิบัติต่างๆเกี่ยวกับความเชื่อ เช่น การทำบุญ การไม่พูดลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง การรู้จักเทวดาอารักษ์ต่างๆ และผมก็ชอบเข้าวัด ไหว้พระ สวดมนต์
เรื่องเกิดขึ้นที่หาดใหญ่ครับ สมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปี 4 ผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ชอบผจญภัยแนวธรรมชาติ แล้วบังเอิญได้รู้จักกับสถานที่แห่งหนึ่ง ที่สวยมากครับ ลักษณะเป็นเนินสูงที่ติดกับถนนสายเล็กๆ ห่างไกลจากตัวเมือง ถ้าเราไปยืนตรงเนินนั้นจะมองเห็นวิวทิวเขาที่สวยมากๆครับ เรียกได้ว่าเป็นที่ๆสวยมาก และเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่จะรู้จักกันในหมู่ของนักปั่นจักรยานซะเป็นส่วนใหญ่
วันนึง มีรุ่นพี่ที่ผมสนิทคนนึงแกมีเรื่องไม่สบายใจ แกโทรหาผม ถามผมว่ารู้จักที่ๆสงบๆสวยๆแนะนำไหม ผมคิดๆ ก็เลยแนะนำให้ไปที่เนินแห่งนั้นครับ ซึ่งตอนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่มได้ แกขับรถยนต์มารับผม และไปด้วยกัน 2 คน
ระหว่างทางแกก็บ่นๆเรื่องที่แกไม่สบายใจให้ผมฟัง ผมเลยชวนแกฟังเพราะสนุกๆ และโย้กย้ายออกสเตปตามเพลงไป ตอนแรกๆก็สนุกดีอ่ะครับ แต่พอเริ่มเข้าสู่ช่วงถนนสายที่มืด เพราะต้องเข้าไปในป่า ผมเองก็รู้สึกหมดสนุก (ต้องขอบอกว่าตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องผีเลย ไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเรามากับรถยนต์ แถมผู้ชาย 2 คน ก็ไม่คิดถึงอันตรายอะไรทั้งสิ้น) ผมรู้สึกหมดสนุก รู้สึกบรรยากาศมันอึมครึม พอดีกับที่ขับรถมาถึงตรงเนินนั้นพอดี พอรถจอด พี่แกก็ดับเครื่องยนต์และลดกระจกลงทั้ง 4 ด้าน ... สิ่งที่ผมเห็นเบื้องหน้า คือบรรยากาศมันอึมครืม ท้องฟ้ามืด ไม่มีแสงเดือนแสงดาวอย่างที่ผมคิดไว้ มีหมอกจางๆลอยอยู่ในบรรยากาศเต็มไปหมด แตกต่างกับตอนกลางวันลิบลับ (ผมคิดในใจว่า

เอ้ย ทำไมไม่สวยเลยว่ะ ไม่สวยเหมือนตอนกลางวันเลย) ......... (ถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องผีอะไรเลย.......คิดแค่ว่าวิวมันไม่สวยเฉยๆ)
เรา 2 คนนั่งอยู่บนรถเงียบๆซักพัก ......... ถึงตอนนี้เองครับ .... ชั่ววูบหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียง เป็นน้ำเสียงแปลกๆ ว่า "กลับเถอะลูก กลับเดี๋ยวนี้เลย" (เสียงที่ผมได้ยิน เป็นเสียงที่แปลกมากครับ ... ที่ว่าแปลก เพราะ ผมไม่ได้ยินเสียงนั้นกับหู จับไม่ได้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นเสียงที่รู้อุ่นๆอยู่ในใจ มันดังเข้ามาในความรู้สึก จะว่าชัดก็ไม่ชัด จะว่าแผ่วเบาก็ไม่แผ่วเบา แต่ได้ยินครั้งเดียว มันลึกซึ้งเข้าไปในความรู้สึก และที่สำคัญคือ ผมไม่ได้กลัวเสียงนั้น ผมอยากได้ยินเสียงนั้นอีก) ....พอผมได้ยินเสียงนั้นแล้ว ผมก็นิ่งไปพักนึง...ประจวบกับที่รุ่นพี่แกหันมาบอกผม ให้นั่งอยู่ในรถ พี่แกจะออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกซักพัก ... แต่ในขณะที่แกกำลังจะเปิดประตูรถออกไป ... ผมก็เรียกแก และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "พี่อย่าออกไป ล็อกประตูรถ เอากระจกขึ้น แล้วกลับกันเถอะ" พี่แกก็งงๆแล้วถามผมว่า "เป็นเชี่ยอะไรเนี้ย" ....(คือตอนนั้น ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ แต่รู้สึกอยากกลับมากๆ อยากกลับแบบสุดๆไปเลย และผมก็ไม่กล้าพูดคำว่า ผี ออกไปด้วย ผมกลัวว่าเรื่องจะเลวร้ายไปกันใหญ่ ... แม้ว่าตอนนั้นผมจะไม่เห็นอะไรเลย แต่ผมก็รู้สึกกลัวมากๆ) ....ผมยืนยันคำเดิมด้วยเสียงเข้ม ว่า "พี่อย่าออกไป ล็อกประตูรถ เอากระจกขึ้น แล้วกลับกันเถอะ" แล้วผมก็ย้ำไปว่า "พี่เชื่อผมเถอะนะ กลับได้แล้ว" แต่แกก็ยังรั้นที่จะลงจากรถอยู่ดี ผมเลยถามแกว่า บนรถพี่มีพระไหม แกตอบว่าไม่มี แล้วผมก็ถามว่ายันต์ที่ลงไว้ด้านบนเพดานรถ ใครลงให้ แกตอบว่า พระที่เป็นเพื่อนกัน ผมก็เลยพูดไปว่า "

แล่ะ" ..... ตอนนั้นผมอึนไปหมด สิ่งที่ผมทำก็คือ ย้ำคำพูดให้รุ่นพี่พาผมกลับ แล้วเอามือไปแตะเพดานรถ แล้วสวดคาถาว่า "พุทโธล้อม ธัมโมล้อม สังโฆล้อม พระเจ้าแสนล้อมอ้อมไปมา 16 พระองค์อยู่หน้า 15 พระองค์อยู่หลัง ศัตรูจังงัง อรหังพุทธโธ" ...(เป็นบทสวดป้องกันตัวที่ผมได้มาตอนบวชเณร)...เสร็จแล้วผมก็พูดเสียงดังขึ้นว่า "รถคันนี่มีแม่ย่านางรถนะ ใครก็ขึ้นมาไม่ได้" (เป็นความเชื่อที่คุณแม่เคยสอนว่า บนรถจะมีแม่ย่านางคอยปกปักรักษาไม่ให้ภูตผีปีศาจขึ้นมาบนรถของเราได้ง่ายๆ) ... พอผมพูดเท่านั้นแหล่ะครับ รุ่นพี่แกก็ล็อกรถ เอากระจกขึ้น แล้วรีบบึ่งรถ ถอยหลัง เพื่อจะออกจากเนินตรงนั้น ... แต่รถกลับติดครับ รถถอยไม่ได้ แกหันไปมองกระจกข้างหลัง แกก็ร้องขึ้นมาว่า "

แล้ว" ... ผมได้ยินแบบนั้นก็รู้เลยว่าแกเห็นอะไร จังหวะนั้นผมเลย ก้มหน้าหลับตา เพราะกลัวมากๆๆๆๆๆ แล้วพูดว่า "พี่เห็นอะไร ไม่ต้องพูด ไม่ต้องบอกผม ถอยไปเลย ออกไปจากตรงนี้ให้ได้"
พอแกถอยรถพ้นจากเนิน เข้าสู่ถนน ผมก็รู้ได้ว่ารุ่นพี่แกสติแตก ผมเลยเรียกชื่อแก เรียกซำ้ๆ แล้วบอกให้แกตั้งสติ บอกว่ามันขึ้นรถของเราไม่ได้ เราอยู่ในรถเราปลอดภัย พี่ขับไปดีๆ ขับช้าๆ อย่าขับเร็ว ... ถ้าขับเร็ว มันจะแกล้งเราได้ ... แต่รุ่นพี่ผมก็ขับเร็วอยู่ดี พอขับไปซักพักนึง แกก็เบรกกะทันหัน เบรกจนหัวทิ่มเลยครับ แกร้องเสียงหลงว่า "เห็นอะไรไหม๊" (จริงๆ ผมไม่เห็นอะไรเลย แต่ผมก็บอกรุ่นพี่ไปว่า "เห็น พี่ไม่ต้องกลัว ขับไปๆๆๆ ... มันขึ้นมาไม่ได้") ... แกก็ขับรถออกมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง ก็พยายามจะพูดว่าเห็นอะไร แต่ผมยั้งไว้ว่า ไม่ต้องพูด เราจะไปพูดกันตอนถึงมหาวิทยาลัยแล้ว
พอถึงมหาวิทยาลัย เรา 2 คนก็มานั่งตั้งสติกันที่หน้าเซเว่นโรงอาหาร เพราะตรงนั้นสว่างและมีคนอยู่เยอะ จากนั้นผมก็เล่าสิ่งที่ผมได้ยินให้แกฟัง แกก็เล่าสิ่งที่เเกเห็นให้ผมฟังคร่าวๆว่า ตอนถอยรถ ... แกเห็นมีคนตัวดำๆตัวสูงใหญ่ ยืนอยู่หลังรถ พอแกเห็นอย่างนั้น แกก็เลยสติแตก ... แล้วพอขับรถออกมาที่ถนน แกก็เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีขาว ยืนอยู่ข้างทาง ลักษณะแบบคนปกติเลย แต่มันกระโดดข้ามถนนจากฝั่งหนึ่ง ไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งแกตกใจมาก ... แกบอกว่าทั้งชีวิตไม่เคยเห็นผี มาวันนี้หลอน-ไปเลย ... คืนนั้นผมเอาหนังสือมาสวดมนต์ชุดใหญ่ แล้วไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยให้ท่านช่วยคุ้มครอง
วันรุ่งขึ้นผมรีบโทรหาแม่ เล่าเรื่องให้แม่ฟัง ... แม่ด่าผมใหญ่เลย แล้วแม่ก็บอกว่า เสียงที่ผมได้ยินคงเป็นเทวดาอารักษ์หรือไม่ก็บรรพบุรุษของเรา ที่มาช่วยผมไว้ ... หลังจากนั้น ... ผมกับรุ่นพี่ก็ไปทำบุญ และไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
*สิ่งที่ค้างคาใจผม คือ ผมอยากรู้ว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นใครกันแน่ เป็นสิ่งที่แปลกมากสำหรับผม จะว่าเป็นเสียงก็ไม่ใช่ แต่สิ่งที่ผมมานั่งทบทวนและยืนยันได้คือ 1.เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของผม และไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาเองเพราะความกลัว (เพราะตอนแรกที่ผมไปถึงเนินนั้น ผมยังไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย แต่อยู่ดีๆ เพลินๆ ก็ได้ยินเสียงนั้น ... หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องราว) 2.เสียงนั้นเป็นสิ่งที่มาจากถายนอก ไม่ใช่ภายใน 3.เสียงนั้นเป็นเสียงที่ฟังแล้วอุ่นๆในใจ 4.เจ้าของเสียงต้องมาดี ไม่ได้มาร้าย
ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ผมอยากแชร์ไว้ให้เพื่อนๆครับ ขอบคุณครับ
กลับเถอะลูก
ก่อนอื่น ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่ใช่คนมีเซนส์เห็นผีหรือคนมีองค์อะไรทั้งสิ้น เกิดมาไม่เคยเห็นผี ได้แต่ฟังคนอื่นเค้าเล่าๆกันมา และเป็นคนกลัวผีมาก (บางทีกลัวจนไม่กล้าอาบน้ำคนเดียว ต้องให้เพื่อนมาเฝ้าหน้าห้องน้ำเลย)
ทั้งๆที่ไม่เคยเจอผี แต่ถ้าถามว่าเชื่อเรื่องผีไหม ตอบได้ว่าเชื่อครับ เพราะครอบครัวผมเชื่อ โดยเฉพาะแม่จะสอนผมเรื่องการปฏิบัติต่างๆเกี่ยวกับความเชื่อ เช่น การทำบุญ การไม่พูดลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง การรู้จักเทวดาอารักษ์ต่างๆ และผมก็ชอบเข้าวัด ไหว้พระ สวดมนต์
เรื่องเกิดขึ้นที่หาดใหญ่ครับ สมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปี 4 ผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ชอบผจญภัยแนวธรรมชาติ แล้วบังเอิญได้รู้จักกับสถานที่แห่งหนึ่ง ที่สวยมากครับ ลักษณะเป็นเนินสูงที่ติดกับถนนสายเล็กๆ ห่างไกลจากตัวเมือง ถ้าเราไปยืนตรงเนินนั้นจะมองเห็นวิวทิวเขาที่สวยมากๆครับ เรียกได้ว่าเป็นที่ๆสวยมาก และเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่จะรู้จักกันในหมู่ของนักปั่นจักรยานซะเป็นส่วนใหญ่
วันนึง มีรุ่นพี่ที่ผมสนิทคนนึงแกมีเรื่องไม่สบายใจ แกโทรหาผม ถามผมว่ารู้จักที่ๆสงบๆสวยๆแนะนำไหม ผมคิดๆ ก็เลยแนะนำให้ไปที่เนินแห่งนั้นครับ ซึ่งตอนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่มได้ แกขับรถยนต์มารับผม และไปด้วยกัน 2 คน
ระหว่างทางแกก็บ่นๆเรื่องที่แกไม่สบายใจให้ผมฟัง ผมเลยชวนแกฟังเพราะสนุกๆ และโย้กย้ายออกสเตปตามเพลงไป ตอนแรกๆก็สนุกดีอ่ะครับ แต่พอเริ่มเข้าสู่ช่วงถนนสายที่มืด เพราะต้องเข้าไปในป่า ผมเองก็รู้สึกหมดสนุก (ต้องขอบอกว่าตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องผีเลย ไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเรามากับรถยนต์ แถมผู้ชาย 2 คน ก็ไม่คิดถึงอันตรายอะไรทั้งสิ้น) ผมรู้สึกหมดสนุก รู้สึกบรรยากาศมันอึมครึม พอดีกับที่ขับรถมาถึงตรงเนินนั้นพอดี พอรถจอด พี่แกก็ดับเครื่องยนต์และลดกระจกลงทั้ง 4 ด้าน ... สิ่งที่ผมเห็นเบื้องหน้า คือบรรยากาศมันอึมครืม ท้องฟ้ามืด ไม่มีแสงเดือนแสงดาวอย่างที่ผมคิดไว้ มีหมอกจางๆลอยอยู่ในบรรยากาศเต็มไปหมด แตกต่างกับตอนกลางวันลิบลับ (ผมคิดในใจว่า
เรา 2 คนนั่งอยู่บนรถเงียบๆซักพัก ......... ถึงตอนนี้เองครับ .... ชั่ววูบหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียง เป็นน้ำเสียงแปลกๆ ว่า "กลับเถอะลูก กลับเดี๋ยวนี้เลย" (เสียงที่ผมได้ยิน เป็นเสียงที่แปลกมากครับ ... ที่ว่าแปลก เพราะ ผมไม่ได้ยินเสียงนั้นกับหู จับไม่ได้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นเสียงที่รู้อุ่นๆอยู่ในใจ มันดังเข้ามาในความรู้สึก จะว่าชัดก็ไม่ชัด จะว่าแผ่วเบาก็ไม่แผ่วเบา แต่ได้ยินครั้งเดียว มันลึกซึ้งเข้าไปในความรู้สึก และที่สำคัญคือ ผมไม่ได้กลัวเสียงนั้น ผมอยากได้ยินเสียงนั้นอีก) ....พอผมได้ยินเสียงนั้นแล้ว ผมก็นิ่งไปพักนึง...ประจวบกับที่รุ่นพี่แกหันมาบอกผม ให้นั่งอยู่ในรถ พี่แกจะออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกซักพัก ... แต่ในขณะที่แกกำลังจะเปิดประตูรถออกไป ... ผมก็เรียกแก และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "พี่อย่าออกไป ล็อกประตูรถ เอากระจกขึ้น แล้วกลับกันเถอะ" พี่แกก็งงๆแล้วถามผมว่า "เป็นเชี่ยอะไรเนี้ย" ....(คือตอนนั้น ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ แต่รู้สึกอยากกลับมากๆ อยากกลับแบบสุดๆไปเลย และผมก็ไม่กล้าพูดคำว่า ผี ออกไปด้วย ผมกลัวว่าเรื่องจะเลวร้ายไปกันใหญ่ ... แม้ว่าตอนนั้นผมจะไม่เห็นอะไรเลย แต่ผมก็รู้สึกกลัวมากๆ) ....ผมยืนยันคำเดิมด้วยเสียงเข้ม ว่า "พี่อย่าออกไป ล็อกประตูรถ เอากระจกขึ้น แล้วกลับกันเถอะ" แล้วผมก็ย้ำไปว่า "พี่เชื่อผมเถอะนะ กลับได้แล้ว" แต่แกก็ยังรั้นที่จะลงจากรถอยู่ดี ผมเลยถามแกว่า บนรถพี่มีพระไหม แกตอบว่าไม่มี แล้วผมก็ถามว่ายันต์ที่ลงไว้ด้านบนเพดานรถ ใครลงให้ แกตอบว่า พระที่เป็นเพื่อนกัน ผมก็เลยพูดไปว่า "
พอแกถอยรถพ้นจากเนิน เข้าสู่ถนน ผมก็รู้ได้ว่ารุ่นพี่แกสติแตก ผมเลยเรียกชื่อแก เรียกซำ้ๆ แล้วบอกให้แกตั้งสติ บอกว่ามันขึ้นรถของเราไม่ได้ เราอยู่ในรถเราปลอดภัย พี่ขับไปดีๆ ขับช้าๆ อย่าขับเร็ว ... ถ้าขับเร็ว มันจะแกล้งเราได้ ... แต่รุ่นพี่ผมก็ขับเร็วอยู่ดี พอขับไปซักพักนึง แกก็เบรกกะทันหัน เบรกจนหัวทิ่มเลยครับ แกร้องเสียงหลงว่า "เห็นอะไรไหม๊" (จริงๆ ผมไม่เห็นอะไรเลย แต่ผมก็บอกรุ่นพี่ไปว่า "เห็น พี่ไม่ต้องกลัว ขับไปๆๆๆ ... มันขึ้นมาไม่ได้") ... แกก็ขับรถออกมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง ก็พยายามจะพูดว่าเห็นอะไร แต่ผมยั้งไว้ว่า ไม่ต้องพูด เราจะไปพูดกันตอนถึงมหาวิทยาลัยแล้ว
พอถึงมหาวิทยาลัย เรา 2 คนก็มานั่งตั้งสติกันที่หน้าเซเว่นโรงอาหาร เพราะตรงนั้นสว่างและมีคนอยู่เยอะ จากนั้นผมก็เล่าสิ่งที่ผมได้ยินให้แกฟัง แกก็เล่าสิ่งที่เเกเห็นให้ผมฟังคร่าวๆว่า ตอนถอยรถ ... แกเห็นมีคนตัวดำๆตัวสูงใหญ่ ยืนอยู่หลังรถ พอแกเห็นอย่างนั้น แกก็เลยสติแตก ... แล้วพอขับรถออกมาที่ถนน แกก็เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีขาว ยืนอยู่ข้างทาง ลักษณะแบบคนปกติเลย แต่มันกระโดดข้ามถนนจากฝั่งหนึ่ง ไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งแกตกใจมาก ... แกบอกว่าทั้งชีวิตไม่เคยเห็นผี มาวันนี้หลอน-ไปเลย ... คืนนั้นผมเอาหนังสือมาสวดมนต์ชุดใหญ่ แล้วไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยให้ท่านช่วยคุ้มครอง
วันรุ่งขึ้นผมรีบโทรหาแม่ เล่าเรื่องให้แม่ฟัง ... แม่ด่าผมใหญ่เลย แล้วแม่ก็บอกว่า เสียงที่ผมได้ยินคงเป็นเทวดาอารักษ์หรือไม่ก็บรรพบุรุษของเรา ที่มาช่วยผมไว้ ... หลังจากนั้น ... ผมกับรุ่นพี่ก็ไปทำบุญ และไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
*สิ่งที่ค้างคาใจผม คือ ผมอยากรู้ว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นใครกันแน่ เป็นสิ่งที่แปลกมากสำหรับผม จะว่าเป็นเสียงก็ไม่ใช่ แต่สิ่งที่ผมมานั่งทบทวนและยืนยันได้คือ 1.เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของผม และไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาเองเพราะความกลัว (เพราะตอนแรกที่ผมไปถึงเนินนั้น ผมยังไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย แต่อยู่ดีๆ เพลินๆ ก็ได้ยินเสียงนั้น ... หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องราว) 2.เสียงนั้นเป็นสิ่งที่มาจากถายนอก ไม่ใช่ภายใน 3.เสียงนั้นเป็นเสียงที่ฟังแล้วอุ่นๆในใจ 4.เจ้าของเสียงต้องมาดี ไม่ได้มาร้าย
ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ผมอยากแชร์ไว้ให้เพื่อนๆครับ ขอบคุณครับ