สงสัยมาก หลังจากทราบข่าวว่า รัฐบาลลุงตู่ กำลัง ให้การสนับสนุน และ ให้เงินทุน กับ บริษัท Nissan และ บริษัทต่างชาติ อื่น ๆ ที่กำลัง มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด เลือดพล่าน ซึ่งก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า นั่นเอง ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมกำลังสงสัย ก่อนหน้านี้ กระผมเห็น มีคนไทย มีความพยายามอย่างมาก ที่จะเปิดตัว และ พยายามจะเสนอขาย รถยนต์ไฟฟ้า แต่ตอนนี้ หลายราย (คนไทย) ได้ยกธงขาวไปเกือบหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ เห็นชัด ก็มี รถยนต์ ยี่ห้อไทย Mine นี่ยังไม่มีข่าวยกธงขาวนะ คือผมสงสัยว่า ถ้า บริษัท nissan ได้เงินทุนจากรัฐบาลไทยมากขนาดนี้ แล้ว ไอ้เจ้า nissan leaf ที่จะเปิดตัวในปี 2019 นี่หล่ะ หากเกิดปรากฏการณ์ว่า มีราคา มากกว่า 1 ล้านบาท ขึ้นไป ซึ่งแน่นอนบริษัทพวกนี้ จะต้องอ้างว่า ต้นทุนหลัก คือ แบตเตอรี่ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเท่าที่ทราบ ส่วนใหญ่ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้า มักจะมีค่าใช้ใช้ 30- 60 % ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่มากพอ ที่สมเหตุ สมผลที่จะใช้เป็นข้ออ้าง ในการแสวงหาผลประโยชน์ และ การที่ข้อมูลบางอย่างยังดูเคลือบแคลงน่าสงสัย หากให้การช่วยเหลือด้านเงินลงทุนไปแล้ว ต้นทุนในระยะยาว ในเรื่องของสัดส่วนทางการตลาด ควรจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดต้นทุนแปรผัน ในระยะยาวด้วยเช่นกัน แต่หากว่า เป็นเช่นนั้นจริง การคิดค่าความเสี่ยงในทางธุรกิจ กับ การผลักภาระความรับผิดชอบ มาให้กลุ่มผู้บริโภคคนไทย มันดูจะสวนทางกลับนโยบาย นะ ใครได้ ใครเสีย งง อ่ะ เห็นชัด ๆ ว่าคนไทย เสียเปรียบ ......เสียเปรียบอย่างไร ที่เสียเปรียบ ก็คือ นอกจากพวกบริษัทต่างชาติพวกนี้จะลดต้นทุนการผลิตไปด้วยแล้ว (คือ รัฐบาลไทย BOI ) เป็นผู้ผลักดัน และ เมื่อเงินภาษีของประชาชนคนไทย ต้องเสียไปให้กับบริษัทต่างชาติ ก็ควรจะมีราคาที่ถูกลงอย่างมาก โอเครหล่ะ หากมีกระแสต่อต้าน ขึ้นมา บริษัท ต่างชาติพวกนี้ ก็จะมาคำนวณราคาใหม่ คือ เล่นมายากล เล่น กลยุทธ เล่ห์เหลี่ยม ทางการตลาดใหม่ ปรับ ราคาให้ถูกลงเพื่อตอบสนอง และ ลดกระแสต่อต้านลง ราคา คงจะเหลือ ประมาณ 500,000 - 800,000.- บาท แต่ยังไง ๆ เมื่อเทียบกับอัตราส่วนเงินภาษีที่คนไทยเสียไปให้กับกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเหล่านี้ กับราคา ที่หั่นลงมา แค่ไม่กี่ เปอร์เซ็นต์ บริษัทเหล่านี้ ก็จะหั่นราคาลงอีกนิดหน่อย แล้ว เปลี่ยน วัสดุภายในให้เป็นเกรดต่ำ ๆ เช่น ออฟชั่น ต่าง ๆ ภายในรถยนต์ไฟฟ้า ก็จะถูกปรับเกรดคุณภาพให้ลดต่ำลง และ ใชัวัสดุราคาถูก แต่ไม่มีความคงทน ไม่เป็นที่น่านิยม หากจะได้วัสดุดีมาก มีคุณภาพมากกว่าเดิม ผู้บริโภคคนไทยต้องจ่ายมากขึ้น ต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง ที่สำคัญ ข้อได้เปรียบทางการค้าที่มีกลุ่มนักลงทุนจากการมีพันธมิตรร่วมชาติเดียวกัน ย่อมเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก กอปรกับ มีประสบการณ์ ในการประกอบธุรกิจยานยนต์ มาก่อน อีกหลายอย่างที่เป็นข้อได้เปรียบ คนไทยที่คิดจะลงทุนธุรกิจด้านนี้ จะไหวหรือครับ ถ้าคิดจะสู้ เห็นก็มีแต่ บริษัท Mine นี่หล่ะ ที่ยังเหลืออยู่ ดูเป็นตัวอย่างได้ หาก Toyota ในอีก 2-3 ปี คิดเทคโลยี แบตเตอรี่ Solid State ได้สำเร็จ เท่ากับ บริษัท Mine คงจะอยู่รอดในธุรกิจนี้ได้ยาก แม้ว่า บริษัทจะใช้วิธีการ เปลี่ยนคอนเซ็ป์ แบตลิเธียม ไปเป็น Solid State ก็ตามที ลองคิดดูว่า โตโยต้า จะใจดี ให้ยืม แบตที่ตนเองต้องลงทุนด้วยเงินมหาศาล คือ รัฐบาลญี่ปุ่น ให้การสนับสนุน งานวิจัยแบต Solid State สรุปแล้ว ก็ไม่พ้นมาตีตลาดในไทย อย่างแน่นอน เพราะ ขี้เกียจรอ การชาร์จ เป็นเวลานาน ๆ ทุกคนก็จะเปลี่ยนพฤติกรรม การบริโภค มาเป็น ใช้รถของโตโยต้า คือ ชาร์จ แค่ 1 นาที ก็วิ่งได้ 800-1200 กิโลเมตร เชื่อได้ว่า อย่างน้อย ๆ ก็จะตอบสนองความต้องการในตลาดได้อย่างดีทีเดียว หากแต่ว่า ถ้าไทย ไม่ตอบสนองมากนัก โตโยต้า ก็คงจะมีวิธี วิเคราะห์สภาพตลาดในอนาคตได้อย่างดีด้วย เพราะมีประสบการณ์มาก่อน คือ เลือกได้ว่า รถรุ่นไหน ควรจะผลิด ลงทุน สเปค ราคา สารพัด แล้วเลือกประเทศอื่น ที่ตอบโจทย์ที่ดีกว่า สงสัยว่า BOI ไทย ให้เงินลงทุนนักลงทุนในครั้งนี้แล้ว ได้ด้วยเหรอ งง มาก......................
BOI รัฐบาลไทย ให้การสนับสนุน และ ให้เงินทุน กับ บริษัทต่างชาติ ได้ด้วยเหรอ ครับ ? ( รถยนต์ ไฟฟ้า )