บทที่ 1 – นครสาบสูญ
จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยชอบเรื่องที่ผมจะเล่ามากนักหรอก มันอาจจะดูเท่ ดูเป็นฮีโร่ แต่มันเสี่ยงกับชีวิต ผมต้องสูญเสียคนรักที่อยู่รอบตัวมากมาย แถมยังต้องกลายเป็นนักรบที่อาวุธคือพลังวิเศษ มันคงดูเกินจริงสำหรับคุณที่กำลังฟังผมอยู่แน่ แน่ล่ะ ทุกวันนี้ผมยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับผมได้ แต่ถ้าสิ่งที่จะเล่านี้สามารถไขข้อข้องใจของคุณทุกคนเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติสอาณาจักรที่สูญหายไปจากโลกประมาณหมื่นปีก่อน อาณาจักรที่หลายคนสงสัยว่ามีจริงหรือแค่นิยาย ผมว่ามันก็คงไม่แย่จนเกินไปที่คุณจะสนใจในสิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้หรอก
ผมเทเลอร์ บรู๊คส์ เด็กเกรดสิบเอ็ดของโรงเรียนมัธยมแกรนด์ไพร์ม สถานศึกษาสำหรับลูกคนรวยในย่านนี้ โรงเรียนที่ผมอยู่ มันก็คล้ายกับโรงเรียนทั่ว ๆ ไปแหละครับแต่ต่างที่ตัวนักเรียนซะมากกว่าเพราะถ้าไม่ใช่ลูกคนใหญ่คนโตหรือเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน อย่าหวังจะทนกับค่าใช้จ่ายอันแสนหฤโหดในแต่ละภาคของที่นี่ได้
ครั้นที่ผมเรียนในโรงเรียนคนรวยแบบนี้ หลาย ๆ คนคงคิดว่าผมรวยละสิ แต่เปล่าเลย ผมแค่โชคดีที่ได้ทุนสนับสนุนการศึกษาจากที่ทำงานของพ่อ มันเลยทำให้ผมสามารถเรียนที่นี้ได้และด้วยสิทธิที่มีนั้น ผมจึงต้องเรียนเก่ง เวลาของผมส่วนใหญ่จึงอยู่ในห้องสมุด ดังนั้นมันจึงทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก นอกจาก แมท เพื่อนร่วมชั้นที่อายุเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เราเหมือนกันเพราะดูเหมือนเขาจะโตเกินวัยของตัวเองไปมาก แมทมีดวงตาคมเข้มสีน้ำตาลเหมือนกับสีผม จมูกโด่งรับกับริมฝีปากเรียวเล็กได้อย่างเหมาะเจาะ ผิวสีแทน มรดกพันธุกรรมจากปู่บราซิลเลี่ยน ผมจึงสามารถเดาอนาคตของเขาออกได้อย่างสบาย ถ้าเขาจบไฮสกูลเมื่อไหร่ อาชีพแรกที่เขาจะทำได้ก็คือ นายแบบ พอมาถึงตรงนี้ ผมก็อดที่จะนำเสนอตัวเองบ้างไม่ได้ ถึงแม้ว่าความหล่อของผมจะเป็นรองจากแมทแต่นัยน์ตาสีฟ้าเข้มและผมดกดำ ก็ทำให้มั่นใจในระดับหนึ่งว่า ผมเอง ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน และแน่นอนเรียนเก่ง ๆ แบบผมไม่จำเป็นต้องใส่แว่น
เรื่องของผมเริ่มต้นก่อนอายุครบสิบเจ็ดเพียงอาทิตย์ มันเหมือนกับวันปกติในรอบปี พวกเรานั่งเรียนวิชาน่าเบื่อเหมือนเดิมในช่วงบ่ายขณะที่หลายคนเอามือกุมขมับกันอยู่ในห้องเรียน ด้านนอกฝนห่าใหญ่ตกลงมาราวกับกำลังจะพังตึก ว่ากันตามตรง การที่พายุจะเข้าหรือมรสุมยักษ์จะเกิดขึ้นแล้วทำให้โลกปั่นป่วน ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกประหลาดใจแต่อย่างไรแล้ว เพราะปีที่ผมอยู่ โลกมันร้อนมากกว่าไมโครเวฟซะอีก นี่ก็เหมือนพวกเราใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพื่อรอให้โลกระเบิดแค่นั้นเอง
“นายนี่ชอบเหมอลอยจริง ๆ นะ” เสียงของหญิงสาวผมน้ำตาลที่นั่งข้างผมกระซิบให้กลับมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “นายจะทำโครงงานเรื่องอะไร”
ผมยักไหล่...มันเป็นท่าที่แทนคำตอบได้ดีทีเดียว
“ก็อาจารย์สวันน่าบอกว่าเราต้องร่างโครงงานให้อาจารย์ดูก่อนภายในอาทิตย์นี้ นี่นายยังไม่ได้เริ่มอีกเลยหรอ”
“เธอสนด้วยเหรอ” ผมขมวดคิ้ว
“ไม่น่าเชื่อว่านายจะยังไม่ได้เริ่ม” หญิงสาวกระซิบเสียงดัง อาการตกใจนั้นมันเป็นความพิเศษในดีเอ็นเอของเธอหรือเปล่า ผมสงสัย “นายเริ่มจะเหลวไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ ละ”
และรีแอ็คของผมก็คือ การทำหน้างง ๆ
“มีใครสงสัยอะไรไหม”
อาจารย์หน้าห้องกลอกดวงตาสีเขียวเมื่อเธอจบความพยายามในการดึงความสนใจของนักเรียนในห้อง คุณหนูทั้งหลายเหล่านั้นเงียบกริบ ไม่มีใครขยับปาก ไม่ใช่เพราะเราเข้าใจมันอย่างดีนะ แต่เพราะมันตรงกันข้ามเลยล่ะ ชีวิตพวกนั้นในแต่ละวันมีแต่ปาร์ตี้และปาร์ตี้
“ดีมากจ้ะ...” อาจารย์สวันน่าถอนหายใจ “และก่อนจะจากกันวันนี้ ครูมีเซอรไพร์สให้กับทุกคน”
อาจารย์สวันน่าก้าวขาออกมาจากโต๊ะ มือประสานแล้วยืดอก “ครูมีเพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอารยธรรมโบราณ จะมาเป็นที่ปรึกษาให้กับทุกคนสำหรับโครงงานที่พวกเธอกำลังทำอยู่นี้ ดังนั้นครูอยากขอเวลาพวกคุณหลังเลิกเรียนวันละครึ่งชั่วโมง ช่วยมาอธิบายรายละเอียดย่อ ๆ แรงจูงใจ สิ่งที่คุณอยากจะนำเสนอปลายภาคเรียน”
อาจารย์สวันน่ายิ้ม ขยับแว่น ส่ออาการประหม่า “เริ่มจาก คุณแมคคาเลนในวันพรุ่งนี้ก่อนเป็นไง”
และก็เป็นแบบที่ผมคิดไว้ ต่างคนต่างมองหน้าแล้วอ้าปากถามกันว่าพวกเธอทำโครงงานกันถึงไหนแล้ว อันที่จริง นั่นดูเหมือนจะเป็นคำถามที่ผิด เราควรถามกันว่า เราเริ่มกันหรือยังดีกว่า แต่มันก็ยังไม่เลวร้ายเท่าแมท ที่ในวันพรุ่งนี้ที่จะต้องเป็นคนแรกสำหรับการพบผู้เชี่ยวชาญด้านอารยธรรมโบราณที่น่าอัศจรรย์
“ฉันคงไม่ได้ทุนมหาลัยแน่ ถ้าวันนี้ฉันยังไม่ได้เรื่องที่จะทำโครงงานปลายเทอมนี้” แมทถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่เราทั้งคู่กำลังเดินสวนกับคนอื่น ๆ ในโถงทางเดิน ถึงแม้ว่านั่นจะดูเหมือนการตัดพ้อถึงความพ่ายแพ้ในอนาคตอันใกล้ แต่ผมก็เข้าใจว่าแมทกำลังจะสื่ออะไรต่อไปจากนี้
“อารยธรรมโบราณมีตั้งหลายแห่งบนโลก นายสนใจเรื่องอะไรล่ะ” ผมยิงคำถามกว้าง ๆ ให้แมทได้ใช้หัวคิดขณะที่เขากำลังเปิดล็อกเกอร์เพื่อเก็บหนังสือ
“โธ่! เทย์...” แมทร้อง “ฉันจะยินดีมากถ้าคำตอบนายเป็น ‘นายควรจะไปศึกษาเรื่องนั้นไหม หรือจะเอาเรื่องนี้’
“จริง ๆ นายบอกฉันมาเลยอะไรที่น่าสนใจที่สุด” แมทย้ำ
นั่นไงครับ ผมเรียกการร้องขอแบบหักคอแบบนี้ว่า อัลติเมทแมท อันที่จริงผมสามารถมองหน้าแมท ตีมึน แสร้งว่าผมไม่เข้าใจและไม่ยินดีจะช่วยเขาก็ได้นะ แต่แมทมองผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขารู้ดีว่าว่าผมรักเขา ‘แบบเพื่อนน่ะ’ และยินดีที่จะเสนอตัวรับปัญหาอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เหมือนที่เขาทำให้ผมอยู่บ่อย ๆ
ดังนั้นที่เดียวที่จะมีทุกกสิ่งที่ผมต้องการในการช่วยเหลือแมท และตัวผมในครั้งนี้ก็คือ ห้องสมุด
มีห้องสมุดหลายแห่งครับ ที่ใกล้กับโรงเรียนที่ผมอยู่ในมอแกนทาวน์ แต่ที่ผมกับแมทกำลังจะไป มันอยู่ห่างจากโรงเรียนเราราว ๆ ครึ่งไมล์ เหตุผลเดียวที่ทำให้แมทและผมเดินมาไกลกว่าสิบนาทีก็คือ ผู้ช่วยบรรณารักษ์สุดเซ็กซี่ที่ทำงานอยู่ที่นี่ เธอชื่อกลอเรีย ด้วยรูปลักษณ์ที่สุดเย้ายวนนี้ เธอสามารถพาตัวเองไปอยู่บนรันเวย์ของวิกตอเรียส์ซีเคร็ตได้ไม่ยาก
“เฮ้ กลอเรีย” แมทยิ้มกริ่ม “คือเราทั้งคู่อยากจะมาหาหนังสือประวัติศาสตร์ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับอาณาจักรโบราณน่ะ”
“ชั้นสอง หมวด 930 ประวัติศาสตร์โลกโบราณ” เธอตอบแบบไม่ใยดี
“เอิ่ม...ถ้าเธอจะพา...” ไม่ทันที่แมทจะพูดจบ กลอเรียวางมือกับหนังสือกองโตที่กำลังทำอยู่ แล้วใช้สายมองทางเดิน เป็นนัยว่าให้เราทั้งคู่ช่วยตัวเอง
“แมทเอ๊ย...หล่อนไม่ได้มองหน้านายด้วยซ้ำ” ผมบอกในขณะที่เราเดินมาถึงหมวด 900
แมทยิ้ม ดูเหมือนไม่ยี่หระกับเหตุการณ์เมื่อกี้ ในทางกลับกันคำตอบเขาก็พระเอกดี ๆ นี่เอง “แค่ทำให้เธอสนใจเราสักประเดี๋ยว ก็เพียงพอแล้ว”
อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 1 – นครสาบสูญ
จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยชอบเรื่องที่ผมจะเล่ามากนักหรอก มันอาจจะดูเท่ ดูเป็นฮีโร่ แต่มันเสี่ยงกับชีวิต ผมต้องสูญเสียคนรักที่อยู่รอบตัวมากมาย แถมยังต้องกลายเป็นนักรบที่อาวุธคือพลังวิเศษ มันคงดูเกินจริงสำหรับคุณที่กำลังฟังผมอยู่แน่ แน่ล่ะ ทุกวันนี้ผมยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับผมได้ แต่ถ้าสิ่งที่จะเล่านี้สามารถไขข้อข้องใจของคุณทุกคนเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติสอาณาจักรที่สูญหายไปจากโลกประมาณหมื่นปีก่อน อาณาจักรที่หลายคนสงสัยว่ามีจริงหรือแค่นิยาย ผมว่ามันก็คงไม่แย่จนเกินไปที่คุณจะสนใจในสิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้หรอก
ผมเทเลอร์ บรู๊คส์ เด็กเกรดสิบเอ็ดของโรงเรียนมัธยมแกรนด์ไพร์ม สถานศึกษาสำหรับลูกคนรวยในย่านนี้ โรงเรียนที่ผมอยู่ มันก็คล้ายกับโรงเรียนทั่ว ๆ ไปแหละครับแต่ต่างที่ตัวนักเรียนซะมากกว่าเพราะถ้าไม่ใช่ลูกคนใหญ่คนโตหรือเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน อย่าหวังจะทนกับค่าใช้จ่ายอันแสนหฤโหดในแต่ละภาคของที่นี่ได้
ครั้นที่ผมเรียนในโรงเรียนคนรวยแบบนี้ หลาย ๆ คนคงคิดว่าผมรวยละสิ แต่เปล่าเลย ผมแค่โชคดีที่ได้ทุนสนับสนุนการศึกษาจากที่ทำงานของพ่อ มันเลยทำให้ผมสามารถเรียนที่นี้ได้และด้วยสิทธิที่มีนั้น ผมจึงต้องเรียนเก่ง เวลาของผมส่วนใหญ่จึงอยู่ในห้องสมุด ดังนั้นมันจึงทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก นอกจาก แมท เพื่อนร่วมชั้นที่อายุเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เราเหมือนกันเพราะดูเหมือนเขาจะโตเกินวัยของตัวเองไปมาก แมทมีดวงตาคมเข้มสีน้ำตาลเหมือนกับสีผม จมูกโด่งรับกับริมฝีปากเรียวเล็กได้อย่างเหมาะเจาะ ผิวสีแทน มรดกพันธุกรรมจากปู่บราซิลเลี่ยน ผมจึงสามารถเดาอนาคตของเขาออกได้อย่างสบาย ถ้าเขาจบไฮสกูลเมื่อไหร่ อาชีพแรกที่เขาจะทำได้ก็คือ นายแบบ พอมาถึงตรงนี้ ผมก็อดที่จะนำเสนอตัวเองบ้างไม่ได้ ถึงแม้ว่าความหล่อของผมจะเป็นรองจากแมทแต่นัยน์ตาสีฟ้าเข้มและผมดกดำ ก็ทำให้มั่นใจในระดับหนึ่งว่า ผมเอง ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน และแน่นอนเรียนเก่ง ๆ แบบผมไม่จำเป็นต้องใส่แว่น
เรื่องของผมเริ่มต้นก่อนอายุครบสิบเจ็ดเพียงอาทิตย์ มันเหมือนกับวันปกติในรอบปี พวกเรานั่งเรียนวิชาน่าเบื่อเหมือนเดิมในช่วงบ่ายขณะที่หลายคนเอามือกุมขมับกันอยู่ในห้องเรียน ด้านนอกฝนห่าใหญ่ตกลงมาราวกับกำลังจะพังตึก ว่ากันตามตรง การที่พายุจะเข้าหรือมรสุมยักษ์จะเกิดขึ้นแล้วทำให้โลกปั่นป่วน ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกประหลาดใจแต่อย่างไรแล้ว เพราะปีที่ผมอยู่ โลกมันร้อนมากกว่าไมโครเวฟซะอีก นี่ก็เหมือนพวกเราใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพื่อรอให้โลกระเบิดแค่นั้นเอง
“นายนี่ชอบเหมอลอยจริง ๆ นะ” เสียงของหญิงสาวผมน้ำตาลที่นั่งข้างผมกระซิบให้กลับมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “นายจะทำโครงงานเรื่องอะไร”
ผมยักไหล่...มันเป็นท่าที่แทนคำตอบได้ดีทีเดียว
“ก็อาจารย์สวันน่าบอกว่าเราต้องร่างโครงงานให้อาจารย์ดูก่อนภายในอาทิตย์นี้ นี่นายยังไม่ได้เริ่มอีกเลยหรอ”
“เธอสนด้วยเหรอ” ผมขมวดคิ้ว
“ไม่น่าเชื่อว่านายจะยังไม่ได้เริ่ม” หญิงสาวกระซิบเสียงดัง อาการตกใจนั้นมันเป็นความพิเศษในดีเอ็นเอของเธอหรือเปล่า ผมสงสัย “นายเริ่มจะเหลวไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ ละ”
และรีแอ็คของผมก็คือ การทำหน้างง ๆ
“มีใครสงสัยอะไรไหม”
อาจารย์หน้าห้องกลอกดวงตาสีเขียวเมื่อเธอจบความพยายามในการดึงความสนใจของนักเรียนในห้อง คุณหนูทั้งหลายเหล่านั้นเงียบกริบ ไม่มีใครขยับปาก ไม่ใช่เพราะเราเข้าใจมันอย่างดีนะ แต่เพราะมันตรงกันข้ามเลยล่ะ ชีวิตพวกนั้นในแต่ละวันมีแต่ปาร์ตี้และปาร์ตี้
“ดีมากจ้ะ...” อาจารย์สวันน่าถอนหายใจ “และก่อนจะจากกันวันนี้ ครูมีเซอรไพร์สให้กับทุกคน”
อาจารย์สวันน่าก้าวขาออกมาจากโต๊ะ มือประสานแล้วยืดอก “ครูมีเพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอารยธรรมโบราณ จะมาเป็นที่ปรึกษาให้กับทุกคนสำหรับโครงงานที่พวกเธอกำลังทำอยู่นี้ ดังนั้นครูอยากขอเวลาพวกคุณหลังเลิกเรียนวันละครึ่งชั่วโมง ช่วยมาอธิบายรายละเอียดย่อ ๆ แรงจูงใจ สิ่งที่คุณอยากจะนำเสนอปลายภาคเรียน”
อาจารย์สวันน่ายิ้ม ขยับแว่น ส่ออาการประหม่า “เริ่มจาก คุณแมคคาเลนในวันพรุ่งนี้ก่อนเป็นไง”
และก็เป็นแบบที่ผมคิดไว้ ต่างคนต่างมองหน้าแล้วอ้าปากถามกันว่าพวกเธอทำโครงงานกันถึงไหนแล้ว อันที่จริง นั่นดูเหมือนจะเป็นคำถามที่ผิด เราควรถามกันว่า เราเริ่มกันหรือยังดีกว่า แต่มันก็ยังไม่เลวร้ายเท่าแมท ที่ในวันพรุ่งนี้ที่จะต้องเป็นคนแรกสำหรับการพบผู้เชี่ยวชาญด้านอารยธรรมโบราณที่น่าอัศจรรย์
“ฉันคงไม่ได้ทุนมหาลัยแน่ ถ้าวันนี้ฉันยังไม่ได้เรื่องที่จะทำโครงงานปลายเทอมนี้” แมทถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่เราทั้งคู่กำลังเดินสวนกับคนอื่น ๆ ในโถงทางเดิน ถึงแม้ว่านั่นจะดูเหมือนการตัดพ้อถึงความพ่ายแพ้ในอนาคตอันใกล้ แต่ผมก็เข้าใจว่าแมทกำลังจะสื่ออะไรต่อไปจากนี้
“อารยธรรมโบราณมีตั้งหลายแห่งบนโลก นายสนใจเรื่องอะไรล่ะ” ผมยิงคำถามกว้าง ๆ ให้แมทได้ใช้หัวคิดขณะที่เขากำลังเปิดล็อกเกอร์เพื่อเก็บหนังสือ
“โธ่! เทย์...” แมทร้อง “ฉันจะยินดีมากถ้าคำตอบนายเป็น ‘นายควรจะไปศึกษาเรื่องนั้นไหม หรือจะเอาเรื่องนี้’
“จริง ๆ นายบอกฉันมาเลยอะไรที่น่าสนใจที่สุด” แมทย้ำ
นั่นไงครับ ผมเรียกการร้องขอแบบหักคอแบบนี้ว่า อัลติเมทแมท อันที่จริงผมสามารถมองหน้าแมท ตีมึน แสร้งว่าผมไม่เข้าใจและไม่ยินดีจะช่วยเขาก็ได้นะ แต่แมทมองผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขารู้ดีว่าว่าผมรักเขา ‘แบบเพื่อนน่ะ’ และยินดีที่จะเสนอตัวรับปัญหาอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เหมือนที่เขาทำให้ผมอยู่บ่อย ๆ
ดังนั้นที่เดียวที่จะมีทุกกสิ่งที่ผมต้องการในการช่วยเหลือแมท และตัวผมในครั้งนี้ก็คือ ห้องสมุด
มีห้องสมุดหลายแห่งครับ ที่ใกล้กับโรงเรียนที่ผมอยู่ในมอแกนทาวน์ แต่ที่ผมกับแมทกำลังจะไป มันอยู่ห่างจากโรงเรียนเราราว ๆ ครึ่งไมล์ เหตุผลเดียวที่ทำให้แมทและผมเดินมาไกลกว่าสิบนาทีก็คือ ผู้ช่วยบรรณารักษ์สุดเซ็กซี่ที่ทำงานอยู่ที่นี่ เธอชื่อกลอเรีย ด้วยรูปลักษณ์ที่สุดเย้ายวนนี้ เธอสามารถพาตัวเองไปอยู่บนรันเวย์ของวิกตอเรียส์ซีเคร็ตได้ไม่ยาก
“เฮ้ กลอเรีย” แมทยิ้มกริ่ม “คือเราทั้งคู่อยากจะมาหาหนังสือประวัติศาสตร์ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับอาณาจักรโบราณน่ะ”
“ชั้นสอง หมวด 930 ประวัติศาสตร์โลกโบราณ” เธอตอบแบบไม่ใยดี
“เอิ่ม...ถ้าเธอจะพา...” ไม่ทันที่แมทจะพูดจบ กลอเรียวางมือกับหนังสือกองโตที่กำลังทำอยู่ แล้วใช้สายมองทางเดิน เป็นนัยว่าให้เราทั้งคู่ช่วยตัวเอง
“แมทเอ๊ย...หล่อนไม่ได้มองหน้านายด้วยซ้ำ” ผมบอกในขณะที่เราเดินมาถึงหมวด 900
แมทยิ้ม ดูเหมือนไม่ยี่หระกับเหตุการณ์เมื่อกี้ ในทางกลับกันคำตอบเขาก็พระเอกดี ๆ นี่เอง “แค่ทำให้เธอสนใจเราสักประเดี๋ยว ก็เพียงพอแล้ว”