เมื่อคุณพูดถึงเฉียนหลงฮ่องเต้ คุณจะนึกถึงจักรพรรดิผู้มีพระปรีชาสามารถ ผู้มีความเจ้าสำราญ เมตตาผู้คน แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราย่อมมีด้านดีด้านชั่วออกมา เพียงแต่ว่า เรามีด้านไหนมากกว่า หรือ ผู้คนมักจะเห็นด้านไหนของเรามากกว่า
ในบรรดา 10 การทัพใหญ่ที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน ศึกแรกของฮ่องเต้เฉียนหลงคือการทำสงครามกับอาณาจักรซุงการ์ (Dzungar) ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นชนเผ่านอกด่านทางตะวันออก โดยชนเผ่าซุงการ์ เป็นชนเผ่ามองโกลพวกหนึ่งที่นับถือพุทธ เดิมอาศัยอยู่ในบริเวณมณฑลซินเจียงในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในจักรวรรดิสุดท้ายของพวกนอกด่านที่ได้รุกรานจีน ก่อนที่ฮ่องเต้เฉียนหลงจะสั่งให้ปราบปรามเป็นครั้งแรก ไมเคิล คลาร์ก (Michael Clarke) นักประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก ได้กล่าวไว้ว่า "จักรวรรดิชิงไม่เพียงแต่ต้องการทำลายล้างอาณาจักรซุงการ์ แต่จะยังทำลายชนชาติซุงการ์ให้สิ้นอีกด้วย" หลังจากที่ฮ่องเต้เฉียนหลงสามารถปราบปรามได้ในปี 1755 ก็ได้พยายามแยกพวกซุงการ์เป็น 4 เผ่า โดยให้อามูซานา (Amursana) ซึ่งเป็นข่านของพวกซุงการ์ ลดเป็นเพียงข่านของเผ่าโคอิต (Khoit) แต่อามูร์ซานาไม่เห็นด้วยและยังต้องการเป็นข่านของชนชาติอย่างเดิม และกลับมาก่อกบฏอีก ทำให้ฮ่องเต้เฉียนหลงสั่งจับผู้หญิงและเด็กชายซุงการ์เป็นทาส ส่วนที่เหลือได้สังหารจนสิ้น
อามูร์ซานา ข่านของซุงการ์
เจ้าชายชินกึนจับ (Chingünjav) แห่งคัลกา (Khalkha) ได้ร่วมมือกับอามูร์ซานาเพื่อทำการก่อกบฏต่อจักรวรรดิชิง แต่ทว่าก็ถูกปราบปรามลงในปี 1757 และทั้งเจ้าชายและครอบครัวต้องถูกประหารสังหารสิ้น จากนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสังหารหมู่ ที่ว่ากันว่ามากที่สุดในโลก!
ปีเตอร์ ซี. เพอร์ดู (Peter C. Perdue) ได้แปลพระราชโองการของจักรพรรดิเฉียนหลงซึ่งส่งไปถึงแม่ทัพผู้บัญชาการไว้ว่า "จงแสดงความไร้ปราณีต่อพวกกบฏ เฉพาะคนแก่และคนอ่อนแอให้ไว้ชีวิตไว้ การทัพก่อนหน้านี้อ่อนท่าเกินไป หากเราทำเช่นนี้แต่ก่อน เราก็คงได้ถอนทัพและไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น หากพวกกบฏถูกจับกุมและบรรดาลูกน้องขอยอมสวามิภักดิ์ ให้มาที่ค่ายด้วยตัวเอง และต้องคำนับต่อผู้บัญชาการ และเรียกร้องขอสวามิภักดิ์ หากส่งมาเพียงแค่ผู้ถือสาส์น ถือว่าเป็นการหลอกลวง ให้เซนกึนจับ (Tsengünjav) ฆ่าล้างพวกซุงการ์เจ้าเล่ห์ให้หมด อย่าไว้ใจคำของพวกนี้"
เว่ย หยวน (Wei Yuan) กล่าวไว้ว่า จักรวรรดิชิงได้ทำการขับไล่และเข่นฆ่าผู้ชายชาวซุงการ์ออกไปจนหมดสิ้น แล้วจับเอาผู้หญิงและเด็กมาเป็นทาสรับใช้ โดยเว่ย หยวน กล่าวว่า 50% ของชาวซุงการ์เสียชีวิตเพราะฝีดาษ 20% หนีไปรัสเซียหรืออาณาจักรคาซัค และ 30% ถูกฆ่าโดยทหารจักรวรรดิชิง ขณะที่คลาร์กยังกล่าวอีกว่า 80% หรือประมาณของ 480,000 คน ถึง 600,000 คน ถูกฆ่าล้างโดยทหารชิงจนกระทั่งแทบไม่มีกระโจมในระยะพันลี้อีก ขณะที่เอกสารรัสเซียระบุว่า ทหารชิงทำการสังหารทั้งชาย หญิง เด็ก โดยไม่มีเว้น โดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้มีโคจาอีมิน (Khoja Emin) ผู้นำของอุยกูร์ร่วมด้วย
หลังจากได้ทำการฆ่าล้างชาวซุงการ์แล้ว จักรวรรดิชิงได้นำชาวฮั่น หุย อุยกูร์ และซีเบ มาเป็นพลเมืองแทนที่พร้อมกับตั้งกองธงไว้
ในปี 1989 เชื่อกันว่า ยังมีเชื้อสายชาวซุงการ์ปะปนอยู่ในกลุ่มชาวโอรัต (Oirat) อยู่ประมาณ 9,100 คนในมณฑล Khovd ประเทศมองโกเลีย
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ซุงการ์ ด้านมืดของฮ่องเต้เฉียนหลง
เมื่อคุณพูดถึงเฉียนหลงฮ่องเต้ คุณจะนึกถึงจักรพรรดิผู้มีพระปรีชาสามารถ ผู้มีความเจ้าสำราญ เมตตาผู้คน แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราย่อมมีด้านดีด้านชั่วออกมา เพียงแต่ว่า เรามีด้านไหนมากกว่า หรือ ผู้คนมักจะเห็นด้านไหนของเรามากกว่า
ในบรรดา 10 การทัพใหญ่ที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน ศึกแรกของฮ่องเต้เฉียนหลงคือการทำสงครามกับอาณาจักรซุงการ์ (Dzungar) ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นชนเผ่านอกด่านทางตะวันออก โดยชนเผ่าซุงการ์ เป็นชนเผ่ามองโกลพวกหนึ่งที่นับถือพุทธ เดิมอาศัยอยู่ในบริเวณมณฑลซินเจียงในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในจักรวรรดิสุดท้ายของพวกนอกด่านที่ได้รุกรานจีน ก่อนที่ฮ่องเต้เฉียนหลงจะสั่งให้ปราบปรามเป็นครั้งแรก ไมเคิล คลาร์ก (Michael Clarke) นักประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก ได้กล่าวไว้ว่า "จักรวรรดิชิงไม่เพียงแต่ต้องการทำลายล้างอาณาจักรซุงการ์ แต่จะยังทำลายชนชาติซุงการ์ให้สิ้นอีกด้วย" หลังจากที่ฮ่องเต้เฉียนหลงสามารถปราบปรามได้ในปี 1755 ก็ได้พยายามแยกพวกซุงการ์เป็น 4 เผ่า โดยให้อามูซานา (Amursana) ซึ่งเป็นข่านของพวกซุงการ์ ลดเป็นเพียงข่านของเผ่าโคอิต (Khoit) แต่อามูร์ซานาไม่เห็นด้วยและยังต้องการเป็นข่านของชนชาติอย่างเดิม และกลับมาก่อกบฏอีก ทำให้ฮ่องเต้เฉียนหลงสั่งจับผู้หญิงและเด็กชายซุงการ์เป็นทาส ส่วนที่เหลือได้สังหารจนสิ้น
เจ้าชายชินกึนจับ (Chingünjav) แห่งคัลกา (Khalkha) ได้ร่วมมือกับอามูร์ซานาเพื่อทำการก่อกบฏต่อจักรวรรดิชิง แต่ทว่าก็ถูกปราบปรามลงในปี 1757 และทั้งเจ้าชายและครอบครัวต้องถูกประหารสังหารสิ้น จากนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสังหารหมู่ ที่ว่ากันว่ามากที่สุดในโลก!
ปีเตอร์ ซี. เพอร์ดู (Peter C. Perdue) ได้แปลพระราชโองการของจักรพรรดิเฉียนหลงซึ่งส่งไปถึงแม่ทัพผู้บัญชาการไว้ว่า "จงแสดงความไร้ปราณีต่อพวกกบฏ เฉพาะคนแก่และคนอ่อนแอให้ไว้ชีวิตไว้ การทัพก่อนหน้านี้อ่อนท่าเกินไป หากเราทำเช่นนี้แต่ก่อน เราก็คงได้ถอนทัพและไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น หากพวกกบฏถูกจับกุมและบรรดาลูกน้องขอยอมสวามิภักดิ์ ให้มาที่ค่ายด้วยตัวเอง และต้องคำนับต่อผู้บัญชาการ และเรียกร้องขอสวามิภักดิ์ หากส่งมาเพียงแค่ผู้ถือสาส์น ถือว่าเป็นการหลอกลวง ให้เซนกึนจับ (Tsengünjav) ฆ่าล้างพวกซุงการ์เจ้าเล่ห์ให้หมด อย่าไว้ใจคำของพวกนี้"
เว่ย หยวน (Wei Yuan) กล่าวไว้ว่า จักรวรรดิชิงได้ทำการขับไล่และเข่นฆ่าผู้ชายชาวซุงการ์ออกไปจนหมดสิ้น แล้วจับเอาผู้หญิงและเด็กมาเป็นทาสรับใช้ โดยเว่ย หยวน กล่าวว่า 50% ของชาวซุงการ์เสียชีวิตเพราะฝีดาษ 20% หนีไปรัสเซียหรืออาณาจักรคาซัค และ 30% ถูกฆ่าโดยทหารจักรวรรดิชิง ขณะที่คลาร์กยังกล่าวอีกว่า 80% หรือประมาณของ 480,000 คน ถึง 600,000 คน ถูกฆ่าล้างโดยทหารชิงจนกระทั่งแทบไม่มีกระโจมในระยะพันลี้อีก ขณะที่เอกสารรัสเซียระบุว่า ทหารชิงทำการสังหารทั้งชาย หญิง เด็ก โดยไม่มีเว้น โดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้มีโคจาอีมิน (Khoja Emin) ผู้นำของอุยกูร์ร่วมด้วย
หลังจากได้ทำการฆ่าล้างชาวซุงการ์แล้ว จักรวรรดิชิงได้นำชาวฮั่น หุย อุยกูร์ และซีเบ มาเป็นพลเมืองแทนที่พร้อมกับตั้งกองธงไว้
ในปี 1989 เชื่อกันว่า ยังมีเชื้อสายชาวซุงการ์ปะปนอยู่ในกลุ่มชาวโอรัต (Oirat) อยู่ประมาณ 9,100 คนในมณฑล Khovd ประเทศมองโกเลีย